วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

Lenten Lights - แสงไฟแห่งเทศกาลมหาพรต (1)

Saturday of Palm Sunday weekend

God created the universe—from galaxies to water spiders. He created the breeze that calms us and the hurricane that terrifies us. All of it is to show us what he is like, to display his glory and personality.

BUT people have let themselves be blinded to the truth. Some take all of God's creation for granted and say it just got there somehow—no need for God. Others worship the things that were created and don't see God behind it.

In the beginning was the Word, and the Word was with God, and the Word was God. He was in the beginning with God. All things were made through him, and without him was not any thing made that was made. In him was life, and the life was the light of men. The light shines in the darkness, and the darkness has not overcome it.

In the beginning, God created the heavens and the earth. . . . And God saw everything that he had made, and behold, it was very good. . . . Thus the heavens and the earth were finished, and all the host of them. And on the seventh day God finished his work that he had done, and he rested on the seventh day from all his work that he had done. So God blessed the seventh day and made it holy, because on it God rested from all his work that he had done in creation.

For the wrath of God is revealed from heaven against all ungodliness and unrighteousness of men, who by their unrighteousness suppress the truth. For what can be known about God is plain to them, because God has shown it to them. For his invisible attributes, namely, his eternal power and divine nature, have been clearly perceived, ever since the creation of the world, in the things that have been made. So they are without excuse. For although they knew God, they did not honor him as God or give thanks to him, but they became futile in their thinking, and their foolish hearts were darkened. Claiming to be wise, they became fools, and exchanged the glory of the immortal God for images resembling mortal man and birds and animals and reptiles. . . .

They exchanged the truth about God for a lie and worshiped and served the creature rather than the Creator, who is blessed forever! Amen.

(Taken from John 1:1-5; Genesis 1:1-2:3; Romans 1:18-25.)

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org


วันเสาร์ก่อนวันใบปาล์ม

พระเจ้าทรงสร้างจักรวาล จากกาแล็กซีทั้งหลาย ไปจนถึงแมงมุมนักประดาน้ำ (water spiders) พระองค์ทรงสร้างสายลมที่พัดเบา ๆ ซึ่งทำให้เราสงบ และเฮอริเคนที่ทำให้เราหวัดกลัว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแสดงให้เราได้เห็นว่าพระองค์มีลักษณะเช่นไร เพื่อสำแดงพระสิริและบุคลิกของพระองค์

แต่ผู้คนได้ทำให้ตนเองตาบอดต่อความจริง บางคนมิได้ให้ความสำคัญกับการทรงสร้างทั้งปวงของพระเจ้า และบอกว่าสิ่งต่าง ๆ ก็อยู่ตามที่ของมันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า บางคนก็นมัสการสิ่งซึ่งถูกสร้างขึ้นมา และไม่เห็นพระเจ้าที่อยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านั้น

ใน​ปฐม‌กาล​พระ‌วาทะ​ทรง​ดำรง​อยู่ และ​พระ‌วาทะ​ทรง​อยู่​กับ​พระ‌เจ้า และ​พระ‌วาทะ​ทรง​เป็น​พระ‌เจ้า ใน​ปฐม‌กาล​พระ‌องค์​ทรง​อยู่​กับ​พระ‌เจ้า พระ‌เจ้า​ทรง​สร้าง​สรรพ‌สิ่ง​ขึ้น​มา​โดย​พระ‌วาทะ ใน​บรร‍ดา​สิ่ง​ที่​เป็น​อยู่​นั้น ไม่‌มี​สัก​สิ่ง​เดียว​ที่​เป็น​อยู่​นอก​เหนือ​พระ‌วาทะ พระ‌องค์​ทรง​เป็น​แหล่ง​ชีวิต และ​ชีวิต​นั้น​เป็น​ความ​สว่าง​ของ​มนุษย์ ความ​สว่าง​ส่อง​เข้า​มา​ใน​ความ​มืด และ​ความ​มืด​ไม่​อาจ​เอา​ชนะ​ความ​สว่าง​ได้

ใน​ปฐม‌กาล พระ‌เจ้า​ทรง​เนร‍มิต​สร้างฟ้า​และ​แผ่น‌ดิน ... พระ‌เจ้า​ทอด​พระ‌เนตร​สิ่ง​ทั้ง‌ปวง​ที่​พระ‌องค์​ทรง​สร้าง​ไว้ ดู‌สิ ทรง​เห็น​ว่า​ดี​ยิ่ง​นัก ... ฟ้า​สวรรค์​และ​แผ่น‌ดิน และ​สรรพ‍สิ่ง​ทั้ง‌สิ้น​ที่​มี​อยู่​ใน​นั้น​ก็​ถูก​สร้าง​เสร็จ วัน​ที่​เจ็ด พระ‌เจ้า​ก็​เสร็จ​งาน​ของ​พระ‌องค์​ที่​ทรง​ทำ​มา​นั้น ใน​วัน​ที่​เจ็ด​นั้น​ก็​ทรง​หยุด​พัก​จาก​การ​งาน​ทั้ง‌สิ้น​ของ​พระ‌องค์​ที่​ได้​ทรง​กระ‍ทำ พระ‌เจ้า​จึง​ทรง​อวย​พร​วัน​ที่​เจ็ด ทรง​ตั้ง​ไว้​เป็น​วัน​บริ‍สุทธิ์ เพราะ​ใน​วัน​นั้น​พระ‌องค์​ทรง​หยุด​พัก​จาก​การ​งาน​ทั้ง‌ปวง​ที่​พระ‌เจ้า​ทรง​เนร‍มิต​สร้าง​และ​ทรง​กระ‍ทำ

เพราะ‌ว่า​พระ‌เจ้า​ทรง​สำ‍แดง​พระ‌พิโรธ​ของ​พระ‌องค์​จาก​สวรรค์ ต่อ​ความ​หมิ่น‌ประ‍มาท​พระ‌องค์ และ​ความ​ชั่ว‌ร้าย​ทั้ง‌มวล​ของ​มนุษย์ ที่​เอา​ความ​ชั่ว‌ร้าย​นั้น​บีบ‌คั้น​ความ​จริง เพราะ​การ​ที่​จะ​รู้‌จัก​พระ‌เจ้า​ได้​ก็​แจ้ง​อยู่​กับ​พวก​เขา เพราะ‌ว่า​พระ‌เจ้า​ได้​ทรง​สำ‍แดง​แก่​เขา​แล้ว ตั้ง‌แต่​เริ่ม​สร้าง​โลก​มา​นั้น สภาพ​ของ​พระ‌เจ้า​ซึ่ง​ตา​มนุษย์​มอง​ไม่​เห็น คือ​ฤท‍ธา‍นุ‍ภาพ​อัน​ถา‍วร​และ​เทว‍สภาพ​ของ​พระ‌องค์ ก็​ได้​ปรา‍กฏ​ชัด​ใน​สรรพ‌สิ่ง​ที่​พระ‌องค์​ได้​ทรง​สร้าง ฉะนั้น​พวก​เขา​จึง​ไม่​มี​ข้อ​แก้​ตัว​เลย เพราะ​ถึง​แม้​ว่า​เขา​ได้​รู้จัก​พระ‌เจ้า​แล้ว เขา​ก็​ไม่​ได้​ถวาย​พระ‌เกียรติ​แด่​พระ‌องค์​ให้​สม​กับ​ที่​ทรง​เป็น​พระ‌เจ้า หรือ​ขอบ​พระ‌คุณ​พระ‌องค์ แต่​พวก​เขา​กลับ​คิด​ใน​สิ่ง​ที่​ไม่​เป็น​สาระ และ​จิต​ใจ​โง่​เขลา​ของ​เขา​ก็​มืด​มัว​ไป ใน​การ​อ้าง​ตัว​ว่า​เป็น​คน​มี​ปัญ‍ญา เขา​กลาย​เป็น​คน​โง่‌เขลา​ไป และ​เขา​ได้​เอา​พระ‌สิริ​ของ​พระ‌เจ้า​ผู้​เป็น​อมตะ​มา​แลก​กับ​รูป​มนุษย์​ที่​ต้อง​ตาย หรือ​รูป​นก รูป​สัตว์​สี่​เท้า และ​รูป​สัตว์​เลื้อย‌คลาน ...

​เขา​ได้​เอา​ความ​จริง​เรื่อง​พระ‌เจ้า​มา​แลก​กับ​ความ​เท็จ ทั้ง​นมัส‍การ​และ​ปรน‍นิบัติ​สิ่ง​ที่​ถูก​สร้าง​ขึ้น แทน​พระ‌องค์​ผู้​ทรง​สร้าง ผู้​ซึ่ง​ควร​จะ​ได้​รับ​การ​สรร‍เสริญ​เป็น​นิตย์ อา‍เมน

(จาก ยอห์น 1:1-5; ปฐมกาล 1:1-2:3; โรม 1:18-25 THSV2011)

 

อ. โนเอล ไพเพอร์

หัวข้อ "แสงไฟแห่งเทศกาลมหาพรต บทใคร่ครวญเพื่อเตรียมตัวสู่วันอีสเตอร์"

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/articles/lenten-lights.

 

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

คันหน้าคว่ำ คันหลังอย่าตามไป (7)

บัพติมา 5 ประเภท

3. บัพติศมาตามพระมหาบัญชาที่พระเยซูคริสต์ตรัสสั่งให้สาวกทำ

พิธีบัพติศมาที่พี่น้องได้รับ ไม่เกี่ยวกับความรอด วินาทีที่คุณเชื่อพระเยซูคริสต์ คุณก็รอดแล้ว แต่บัพติศมาไม่เกี่ยวกับความรอด ดังนั้นต้องระวังคำสอนให้ดี

คริสตจักรเทียมเท็จบางแห่งสอนว่า เชื่ออย่างเดียวไม่รอด ต้องรับบัพติศมาด้วย ถ้าไม่รับบัพติศมาไม่รอด ขอพี่น้องระวัง

ข้าพเจ้าเคยเจอผู้นำของคริสตจักรเทียมเท็จคนหนึ่ง

ข้าพเจ้าถามว่า "โจรบนไม้กางเขน รับบัพติศมาตั้งแต่เมื่อไร แต่เขารอด เขาไม่เคยรับบัพติศมา"

เขาตอบว่า "อาจารย์รู้ได้อย่างไรว่าโจรไม่ได้รับบัพติศมา"

ข้าพเจ้าตอบว่า "ไม่เคยอ่านเจอ"

เขาตอบว่า "รับบัพติศมาของยอห์นแล้ว แต่ไม่ได้บันทึกไว้"

ข้าพเจ้าสรุปได้ว่า นี่เป็นการมั่วนิ่ม

บัพติศมานี้ไม่เกี่ยวกับความรอด แต่เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า เป็นการเชื่อฟังขั้นพื้นฐาน เป็นการประกาศตัวต่อเบื้องสูงและเบื้องล่างว่าเป็นคนของพระเจ้าแล้ว

ดังนั้นบัพติศมา เป็นเหมือนพิธีแต่งงาน แต่งงานกับพระเยซูคริสต์ ประกาศตัวว่าต่อไปนี้เราเป็นของพระเยซูคริสต์แล้ว แต่ก่อนไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ แต่เดี๋ยวนี้เป็นของพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นส่วนหนึ่งของเจ้าสาวของพระคริสต์ เป็นส่วนหนึ่งของพระกายพระคริสต์

พระคริสต์และคริสตจักรเป็นหนึ่งเดียวกัน กายหากไม่ติดกับหัว ส่วนบนก็คงเป็นเหมือนกับผีกระสือ ส่วนล่างก็เป็นเหมือนผีหัวขาด

แต่บัพติศมาเป็นการประกาศตัวว่า เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เรากับพระคริสต์เป็นของซึ่งกันและกันแล้ว พระคริสต์เป็นศีรษะ คริสตจักรเป็นร่างกาย

พระคริสต์รักคริสตจักร คริสตจักรต้องเชื่อฟังพระคริสต์

22 ส่วน​ภรร​ยา​จง​ยอม​เชื่อ​ฟัง​สามี​ของ​ตน เหมือน​ยอม​เชื่อ​ฟัง​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า
23 เพราะ​ว่า​สามี​เป็น​ศีรษะ​ของ​ภรร​ยา เหมือน​พระ​คริสต์​ทรง​เป็น​ศีรษะ​ของ​คริสต​จักร​ซึ่ง​เป็น​พระ​กาย​ของ​พระ​องค์ โดย​พระ​องค์​เป็น​พระ​ผู้​ช่วย​ให้​รอด
24 คริสต​จักร​ยอม​เชื่อ​ฟัง​พระ​คริสต์​อย่าง​ไร ภรร​ยา​ก็​ควร​ยอม​เชื่อ​ฟัง​สามี​ทุก​ประ​การ​อย่าง​นั้น
25 ส่วน​สามี​ก็​จง​รัก​ภรร​ยา​ของ​ตน เหมือน​พระ​คริสต์​ทรง​รัก​คริสต​จักร และ​ประ​ทาน​พระ​องค์​เอง​เพื่อ​คริสต​จักร (เอเฟซัส 5:22-25 THSV2011)

เปาโลกล่าวว่า พระคริสต์รักคริสตจักรฉันใด สามีต้องรักภรรยาฉันนั้น และคริสตจักรเชื่อฟังพระคริสต์ฉันใด ภรรยาต้องเชื่อฟังสามีฉันนั้น

ทำไมพระคัมภีร์จึงเทียบสามีเป็นศีรษะ?

  1. ศีรษะมีหน้าที่เลี้ยงดูร่างกาย ทุกวันนี้ เวลารับประทานอาหาร อาหารก็เข้าทางหัว ไม่ใช่ทางสะดือ เลี้ยงดูร่างกาย
  2. ศีรษะมีหน้าที่ดูแลร่างกาย เวลาได้บาดเจ็บก็ต้องใช้หัวในการดู
  3. ศีรษะมีไว้เพื่อเตรียมสำหรับการปวดศีรษะ สามีจึงมักจะปวดศีรษะมาก

ภรรยาเป็นเหมือนร่างกาย เช่นเดียวกับที่คริสตจักรเชื่อฟังพระคริสต์ เมื่อสามีสั่ง ภรรยาต้องเชื่อฟัง

แต่สามีอย่าดีใจไป การที่ภรรยาเชื่อฟัง ไม่ใช่เพราะสามีเป็นศีรษะ แต่เป็นเพราะว่าภรรยารักพระเจ้า เชื่อพระเจ้า ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น อย่าคิดเลยว่าจะเชื่อฟัง

 

อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการรวม คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 24/07/2011

เรื่อง คันหน้าคว่ำ คันหลังอย่าตามไป

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

 

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

คันหน้าคว่ำ คันหลังอย่าตามไป (6)

บัพติมา 5 ประเภท

2. บัพติศมาที่พระเยซูคริสต์ทรงรับ

บัพติศมาที่พระเยซูคริสต์ทรงรับ เป็นบัพติศมาที่ทำให้แผนการในการไถ่บาปของพระเจ้าสำเร็จ ทำให้ความรอดที่กำหนดไว้ก่อนการวางรากสร้างโลกสำเร็จ รอเวลาที่มนุษย์ยื่นมือรับเท่านั้น แต่จะรับไม่รับก็เรื่องของมนุษย์ พระเจ้ามิได้ทรงบังคับมนุษย์ พระเจ้าไม่เคยขอร้องมนุษย์ เพราะพระองค์ประทานอิสระในการเลือก พระองค์ไม่ได้ขอร้อง เพราะทรงเป็นเจ้าของเหนือฟ้าสวรรค์ แต่พระองค์ตรัสสั่งให้มนุษย์กลับใจใหม่

20 ปีก่อน มีนักเทศผู้หนึ่งเทศนาบนเวที ท่านได้นำเอารูปที่พระเยซูยืนเคาะที่ประตู และท่านเทศนาว่า "พี่น้องครับ ได้ยินเสียงพระเยซูเคาะประตูอยู่หรือเปล่า พระองค์ทรงเคาะหลายปี สงสารพระองค์บ้างเถิด เปิดประตูให้พระองค์เข้าไปเถิด"

ข้าพเจ้าได้ฟังก็รู้สึกไม่พอใจ เพราะความจริงคือ พระเยซูไม่เคยขอร้องให้คนเชื่อ พระเจ้าไม่เคยขอร้องให้มนุษย์เชื่อ แต่ตรัสสั่งให้มนุษย์กลับใจใหม่ หากไม่กลับใจใหม่ ก็จะต้องตาย

แต่คนที่ขอร้องคือใคร? ก็คือข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านคืนดีกับพระเจ้าเถิด

 

อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการรวม คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 24/07/2011

เรื่อง คันหน้าคว่ำ คันหลังอย่าตามไป

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

 

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

คันหน้าคว่ำ คันหลังอย่าตามไป (5)

บัพติมา 5 ประเภท

1. บัพติศมาของยอห์นผู้ให้บัพติศมา

บัพติศมาของยอห์น มีวัตถุประสงค์เพื่อเล็งถึงการกลับใจใหม่

ยอห์น​ผู้​ให้​บัพ​ติศ​มา​ปรา​กฏ​ตัว​ขึ้น​ใน​ถิ่น​ทุร​กัน​ดาร ท่าน​ประ​กาศ​ถึง​บัพ​ติศ​มา​ที่​แสดง​การ​กลับ​ใจ​ใหม่ เพื่อ​รับ​การ​ยก​โทษ​ความ​ผิด​บาป (มาระโก 1:4 THSV2011)

ชีวิตคริสเตียนเริ่มไม่ได้เลยถ้าหากไม่มีการกลับใจใหม่

การกลับใจใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่การเสียใจที่ได้ทำบาป ภาษาจีน ใช้คำว่า "รู้สึกเสียใจในความบาป และมีการเปลี่ยนแปลงชีวิต" ตอนแรกกำลังมุ่งหน้าสู่ความตาย ตอนนี้หันสู่พระเจ้า

ยอห์นกล่าวว่า

"ข้าพ​เจ้า​ให้​ท่าน​รับ​บัพ​ติศ​มา​ด้วย​น้ำ แสดง​ว่า​กลับ​ใจ​ใหม่​ก็​จริง แต่​พระ​องค์​ผู้​จะ​มา​ภาย​หลัง​ข้าพ​เจ้า ทรง​ยิ่ง​ใหญ่​กว่า​ข้าพ​เจ้า ซึ่ง​ข้าพ​เจ้า​ไม่​คู่​ควร​แม้​แต่​จะ​ถือ​ฉลอง​พระบาท​ของ​พระ​องค์ พระ​องค์​จะ​ทรง​ให้​พวก​ท่าน​รับ​บัพ​ติ​ศมา​ด้วย​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์​และ​ด้วย​ไฟ" (มัทธิว 3:11 THSV2011)

ซึ่งมีความหมายว่า "ข้าพเจ้าให้ชีวิตใหม่ไม่ได้ แต่ต้องการให้ท่านทั้งหลายกลับใจ เพื่อรอผู้หนึ่งที่จะทำให้ท่านรับชีวิต ผู้ซึ่งจะทำให้ท่านได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ"

บัพ​ติ​ศมา​ด้วย​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์​และ​ด้วย​ไฟ หมายความว่า คนที่เชื่อ จะได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่คนที่ไม่เชื่อจะได้รับบัพติศมาด้วยไฟแห่งการพิพากษา

ดังนั้น ข่าวประเสริฐที่ถูกประกาศไปจะส่งผล 2 อย่าง คือ คนเชื่อ จะได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ หมายถึงความรอด และคนไม่เชื่อ ข่าวประเสริฐจะส่งผลถึงการพิพากษา

คนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า "ทำไมพระเยซูต้องรับโทษแทนผม ผมลูกผู้ชายพอ บาปใครบาปมัน ทำเองรับเอง"

ข้าพเจ้าตอบว่า "คุณพูดเช่นนี้ แสดงว่าคุณไม่รู้จักความรักของพ่อแม่ สมมุติว่าวันหนึ่งลูกของผมไปติดหนี้ และไม่มีปัญญาใช้หนี้ พ่อมีความรักจึงเอาเงินไปใช้หนี้ให้ และหากลูกจะบอกว่า 'พ่อไม่ต้องยุ่ง ผมลูกผู้ชายพอ หนี้ของผม ผมใช้เอง' ผมเป็นพ่อ ไม่ได้ติดหนี้เขา แต่ด้วยความรักและด้วยความผูกพัน จึงต้องการใช้หนี้ให้"

ถ้าพระเจ้าไม่ใช่พระผู้สร้าง ก็คงจะสามารถพูดเช่นนี้ได้ ว่าบาปใครบาปมัน แต่พระเจ้าผู้นี้สร้างคุณ รักคุณ และเตรียมความรอดให้กับคุณแล้ว คุณพูดเช่นนี้ จะพ้นนรกได้อย่างไร ถ้าหากคุณปฏิเสธข่าวประเสริฐก็จะพ้นบึงไฟนรกไม่ได้ เพราะคุณปฏิเสธวิธีเดียวที่จะช่วยคุณได้

นี่คือบัพติศมาของยอห์น

 

อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการรวม คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 24/07/2011

เรื่อง คันหน้าคว่ำ คันหลังอย่าตามไป

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

 

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

คันหน้าคว่ำ คันหลังอย่าตามไป (4)

บัพติมา 5 ประเภท

วันนี้มีพิธีบัพติสมา ซึ่งแสดงให้เห็นแผนการที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

จากพระวจนะของพระเจ้า แผนการของพระองค์ปรากฎในพิธีบัพติศมา

บัพติศมาทำให้เห็นแผนการยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ว่าพระองค์เสด็จมาโลกนี้ทำไม และพิธีบัพติสมาทำให้เราได้เห็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

บัพติศมาในพระคัมภีร์มี 5 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

  1. บัพติศมาของยอห์นผู้ให้บัพติศมา
  2. บัพติศมาที่พระเยซูคริสต์ทรงรับ
  3. บัพติศมาตามพระมหาบัญชาที่พระเยซูคริสต์ตรัสสั่งให้สาวกทำ
  4. บัพติศมาของเปาโล
  5. บัพติศมาของเปโตร

บัพติศมาทั้ง 5 ประเภท แสดงให้เราได้เห็นถึงแผนการยิ่งใหญของพระเจ้า นี่คือชีวิตคริสเตียน เป็นแผนการที่พระเจ้ามีให้กับมนุษย์ทุกคน เพื่อคุณจะไปถึงแผนการยิ่งใหญ่ของพระเจ้า คือความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า

เป้าหมายสูงสุดของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์ คือ มนุษย์กับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูคริสต์เข้ามาในโลกเพื่อให้มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกั

20 'ข้า​พระ​องค์​ไม่​ได้​อธิษ​ฐาน​เพื่อ​คน​เหล่า​นี้​พวก​เดียว แต่​เพื่อ​ทุก​คน​ที่​วาง​ใจ​ใน​ข้า​พระ​องค์​เพราะ​ถ้อย​คำ​ของ​พวก​เขา
21 เพื่อ​พวก​เขา​จะ​ได้​เป็น​อัน​หนึ่ง​อัน​เดียว​กัน ดัง​เช่น​พระ​องค์​ผู้​เป็น​พระ​บิดา​สถิต​ใน​ข้า​พระ​องค์​และ​ข้า​พระ​องค์​ใน​พระ​องค์ เพื่อ​พวก​เขา​จะ​ได้​อยู่​ใน​พระ​องค์​และ​ใน​ข้า​พระ​องค์​ด้วย เพื่อ​โลก​จะ​ได้​เชื่อ​ว่า​พระ​องค์​ทรง​ใช้​ข้า​พระ​องค์​มา
22 เกียรติ​ซึ่ง​พระ​องค์​ประ​ทาน​แก่​ข้า​พระ​องค์​นั้น ข้า​พระ​องค์​มอบ​ให้​แก่​พวก​เขา เพื่อ​พวก​เขา​จะ​ได้​เป็น​อัน​หนึ่ง​อัน​เดียว​กัน ดัง​เช่น​พระ​องค์​กับ​ข้า​พระ​องค์
23 ข้า​พระ​องค์​อยู่​ใน​พวก​เขา​และ​พระ​องค์​ทรง​อยู่​ใน​ข้า​พระ​องค์ เพื่อ​พวก​เขา​จะ​ได้​เป็น​อัน​หนึ่ง​อัน​เดียว​กัน​อย่าง​สม​บูรณ์ เพื่อ​โลก​จะ​ได้​รู้​ว่า​พระ​องค์​ทรง​ใช้​ข้า​พระ​องค์​มา และ​พระ​องค์​ทรง​รัก​พวก​เขา​เหมือน​อย่าง​ที่​พระ​องค์​ทรง​รัก​ข้า​พระ​องค์' (ยอห์น 17:20-23 THSV2011)

เพื่อตามวัตถุประสงค์นี้ พระองค์จึงได้ทรงประทานพิธีบัพติศมา 5 อย่าง โดยการที่ทรงดลใจคนของพระองค์ให้เขียนขึ้นมา

 

อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการรวม คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 24/07/2011

เรื่อง คันหน้าคว่ำ คันหลังอย่าตามไป

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

 

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

คันหน้าคว่ำ คันหลังอย่าตามไป (3)

เหตุผลที่พระเยซูคริสต์เข้ามาในโลกนี้

2. พระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลกนี้ เพราะมนุษย์ไม่มีทางที่จะไป

นักปรัชญากรีกพยายามหาทางออกจากโลกนี้ เพราะเขารู้ดีว่ามนุษย์เราอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราว ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า "คนเรา หากไม่รู้ที่มา ก็ไม่รู้ที่ไป"

ข้าพเจ้ามาจากขอนแก่น มาเทศนาที่กรุงเทพ เมื่อเทศนาเสร็จก็กลับขอนแก่น เช่นเดียวกัน ทีมงานจากไต้หวัน มากรุงเทพ เมื่อเสร็จภาระกิจก็เดินทางกลับไปยังประเทศของตน
เมื่อคุณไม่รู้ว่าวิญญาณคุณมาจากไหน คุณก็ไม่รู้ว่าวิญญาณจะไปไหน

มนุษย์ไม่รู้ว่าวิญญาณจะไปไหน เพราะปัญญามนุษย์มีขีดจำกัด

แพทย์สามารถรักษาโรคทางกายได้ แต่โรคทางจิตวิญญาณรักษาไม่ได้ พระเยซูคริสต์มาในโลกนี้มาเพื่อรักษาโรคบาป

25 ปีก่อน เมื่อข้าพเจ้าเข้าโบสถ์ครั้งแรก ข้าพเจ้าได้ฟังเพลงจีนหนึ่งแล้วน้ำตาไหล

ไม่มีสหายช่วยเราเหมือนพระเยซู ไม่มีใคร ไม่มีใคร
ใครล้างบาปได้นอกจากองค์พระเยซู ไม่มีใคร ไม่มีใคร

ความบาปของเราพระเจ้าทรงทราบหมด
พระองค์ช่วยเราจนตลอดกาล
ไม่มีสหายช่วยเราเหมือนพระเยซู
ไม่มีใคร ไม่มีใคร

(เพลงชีวิตคริสเตียน "ไม่มีใคร")

พระเยซูคริสต์มาเรียกคนบาปให้กลับใจ

บางคนอาจถามข้าพเจ้าว่า "พูดเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเทศนาเลย" นี่แหละ เกี่ยวข้องโดยตรง พระเยซูคริสต์เข้ามาในโลกนี้เพื่อช่วยมนุษย์ให้กลับสู่วัตถุประสงค์ที่งดงามของพระเจ้า

 

อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการรวม คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 24/07/2011

เรื่อง คันหน้าคว่ำ คันหลังอย่าตามไป

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

 

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

คันหน้าคว่ำ คันหลังอย่าตามไป (2)

เหตุผลที่พระเยซูคริสต์เข้ามาในโลกนี้

1 พระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลกนี้ เพราะมนุษย์ถูกสร้างตามอย่างพระฉายาพระเจ้า (2)

นักปรัชญากรีกผู้หนึ่งกล่าวว่า ถ้าหากอยากรู้ว่ามนุษย์มีจิตวิญญาณหรือไม่ ให้ดูปรารกฎการณ์ดังต่อไปนี้

1. มนุษย์สามารถคิดอย่างหนึ่ง และแสดงออกต่างจากที่คิดได้

เพราะมนุษย์มีจิตวิญญาณ จึงสามารถคิดอย่างหนึ่ง และแสดงออกต่างจากที่คิดได้

ปรากฎการณ์นี้ไม่มีในสัตว์ เมื่อสุนัขโกรธก็แสดงอาการโกรธ ชอบก็แสดงอาการชอบ แต่สำหรับมนุษย์ บางครั้งเกลียดในใจ แต่ยิ้มข้างนอกได้ เมื่อคุณมองหน้าข้าพเจ้าแล้ว อาจด่าข้าพเจ้าในใจขณะที่ยิ้มอยู่ก็เป็นได้ สิ่งนี้สุนัขทำไม่ได้ มีหมาเดียวที่ทำได้ คือ "หมานุษย์" เพราะมนุษย์มีวิญญาณ จึงสามารถทำได้

2. มนุษย์ต้องการความอิ่มใจฝ่ายวิญญาณ

เพราะมนุษย์มีจิตวิญญาณ จึงต้องการความอิ่มใจฝ่ายวิญญาณ

สัตว์ไม่ต้องการความอิ่มใจฝ่ายวิญญาณ เพราะอิ่มทางร่างกายก็เพียงพอแล้ว แต่มนุษย์ต้องการความอิ่มใจ ต้องการความรักที่ทำให้อิ่มใจ

ถ้าคุณไปที่ศูนย์ส่งเสริมที่ขอนแกนที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่ และสังเกตแมวตัวหนึ่งของข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้ายกขาขึ้น มันจะวิ่งเอาหัวมาถูขาของข้าพเจ้า สักพักหนึ่งข้าพเจ้าก็จะเอาเท้าลูบหัวมัน มันก็หลับตาพริ้มด้วยความสุข นี่คือสัตว์ ให้อาหาร และลูบหัว มันก็มีความสุข

แต่สำหรับลูกของข้าพเจ้า มิได้เป็นเช่นนั้น หากนำอาหารให้ลูกกิน และเอาเท้าลูบหัว ลูกก็คงจะไม่พอใจ เพราะลูกต้องการที่จะให้ข้าพเจ้ากระทำอย่างเหมาะสมด้วย นี่เป็นเพราะมนุษย์มีวิญญาณ

3. มนุษย์สามารถโมโหตัวเองและทำร้ายตัวเองได้

คุณคงจะไม่เคยเห็นสัตว์ตัวไหนเลย ที่จะทำร้ายตัวเอง โมโหตัวเอง พูดกับตัวเอง นอกจากมนุษย์

คุณเคยเห็นสัตว์ฆ่าตัวตายหรือไม่? ปรากฎการณ์ที่มนุษย์ฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตัวเอง ก็เป็นเพราะมนุษย์มีวิญญาณ มีความเจ็บปวดฝ่ายวิญญาณ

พระเยซูคริสต์เสด็จมาก็เพราะมนุษย์มีวิญญาณ และพระองค์ทรงตีคุณค่าวิญญาณมนุษย์สูงมาก แม้ทรัพย์สินทั้งโลกรวมกัน ก็ยังซื้อวิญญาณดวงหนึ่งไม่ได้ ดังนั้นวิญญาณของคุณแต่ละคนมีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า

มีคนถามข้าพเจ้าว่า ถ้าโลกนี้มีมนุษย์เพียงคนเดียวที่หลงจากทางของพระเจ้า ไม่เอาพระเจ้า พระเยซูจะเสด็จมาตายแทนเขาหรือไม่?

ข้าพเจ้าตอบว่า "ฟังธง พระเยซูคริสต์มาแน่นอน"

พระคัมภีร์บอกว่า

4 "ใคร​ใน​พวก​ท่าน​ที่​มี​แกะ​ร้อย​ตัว​และ​ตัว​หนึ่ง​หลง​หาย​ไป จะ​ไม่​ทิ้ง​เก้า​สิบ​เก้า​ตัว​นั้น​ไว้​ที่​กลาง​ทุ่ง​หญ้า​แล้ว​ออก​ไป​ตาม​หา​ตัว​ที่​หาย​ไป​นั้น​จน​กว่า​จะ​พบ​หรือ?
5 และ​เมื่อ​พบ​แล้ว เขา​จะ​ยก​ขึ้น​ใส่​บ่า​แบก​มา​ด้วย​ความ​ชื่น​ชม​ยินดี
6 เมื่อ​มา​ถึง​บ้าน เขา​ก็​เชิญ​มิตร​สหาย​และ​เพื่อน​บ้าน​ให้​มา​พร้อม​กัน แล้ว​พูด​กับ​พวก​เขา​ว่า 'มา​ร่วม​ยินดี​กับ​ข้า เพราะ​ข้า​พบ​แกะ​ของ​ข้า​ที่​หาย​ไป​นั้น​แล้ว' (ลูกา 15:4-6 THSV2011)

พระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลกนี้ เพราะมนุษย์ถูกสร้างตามอย่างพระฉายาของพระเจ้า

 

อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการรวม คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 24/07/2011

เรื่อง คันหน้าคว่ำ คันหลังอย่าตามไป

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

คันหน้าคว่ำ คันหลังอย่าตามไป (1)

เหตุผลที่พระเยซูคริสต์เข้ามาในโลกนี้

มีคนถามข้าพเจ้าว่า "พระเยซูคริสต์เข้ามาในโลกนี้ทำไม?"

ข้าพเจ้าตอบว่าพระเยซูคริสต์เข้ามาในโลกนี้เพราะเหตุผล 2 ประการ

 

1 พระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลกนี้ เพราะมนุษย์ถูกสร้างตามอย่างพระฉายาพระเจ้า (1)

มนุษย์ถูกสร้างตามอย่างพระฉายาพระเจ้า ดังนั้นในสายพระเนตรพระเจ้า มนุษย์มีค่ามากที่สุด

เมื่อพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งในโลก พระองค์ทรงกำหนดคุณค่าให้กับมัน

พระองค์ทรงสร้างวัตถุ พืช สัตว์ และมนุษย์ ถ้าพี่น้องสังเกตดี ๆ ทั้งวัตถุ พืช และสัตว์มีค่า แต่มีคุณค่าต่างกัน

วัตถุ คือสิ่งที่ไม่มีชีวิต ถ้าหากนำก้อนหินตามถนนไปขายสัก 10 บาทก็คงจะไม่มีคนซื้อ คิดจะขายก็ผิดปกติแล้ว ถ้ามีใครที่คิดจะซื้อ ก็คงจะยิ่งผิดปกติ แต่ขณะเดียวกัน ทองก้อนหนึ่งย่อมมีคุณค่ามากกว่าก้อนหิน

พืชก็มีคุณค่าต่างกันเช่นเดียวกัน ถ้าหากถอนต้นหญ้าต้นหนึ่งคงจะไม่สะเทือน แต่หากจะตัดต้นสักทองก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่ ในทำนองเดียวกัน หากนำหญ้าไปขายต้นละ 20 บาทก็ไม่มีใครซื้อ แต่กล้วยไม้บางครั้งขายได้เป็นแสนบาท

สำหรับสัตว์ ยิ่งเห็นได้ชัด คุณค่าต่างกันเช่นกัน อาทิเช่น สุนัขขี้เรื้อน ให้ฟรีก็คงจะไม่มีใครเอา แต่บางครั้งสุนัขกลับมีราคาเป็นล้าน ดังที่ออกในทีวี

แต่พี่น้องสังเกตหรือไม่ว่า สำหรัมนุษย์แล้ว คุณค่าไม่ต่างกัน

คนคนหนึ่งมีรถเบนส์ขับ มีทรัพย์สินเป็นล้าน เมื่อเทียบกับคนเก็บขยะคนหนึ่ง จะพบว่าทั้งสองมีคุณค่าไม่ต่างกัน คนยากดีมีจน คนพิการ ทุกคนล้วนมีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เพราะมนุษย์ทุกคนถูกสร้างตามอย่างพระฉายาของพระเจ้า มนุษย์จึงมีคุณค่า

มนุษย์มีค่า ไม่ใช่เพราะมีร่างกาย แต่เพราะมีจิตวิญญาณที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์ และพระเยซูเข้ามาในโลกนี้ ก็เพราะมนุษย์มีจิตวิญญาณ และจิตวิญญาณมีค่ามาก

 

อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการรวม คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 24/07/2011

เรื่อง คันหน้าคว่ำ คันหลังอย่าตามไป

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

 

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

Eternal Life Has Appeared in Christ - ชีวิตนิรัน​ดร์ได้ปราก​ฎในพระคริส​ต์ (11)

Five Assertions in 1 John 1:1–4

5. Finally, the reason John writes his testimony to Christ in this letter is because he longs for the fullness of joy that comes when others share his delight in the fellowship of the Father and the Son Jesus Christ.

Verse 4: "And we are writing this that our joy may be complete." I think all the modern versions are right in accepting the reading "our joy" instead of the King James' "your joy."

Of course in a church where one of our distinctives is Christian Hedonism, this is not a surprise at all. First comes the tremendous joy of knowing God and experiencing fellowship with him. But then we hunger for something more. Not that anything could be added to God, but that more of God can be experienced in the fellowship of the saints (cf. Psalm 16:1–3

 
). If this were not true, the longing for fellowship would be idolatry. Our joy in God's fellowship is made complete in the joy that others have in God's fellowship.

This is the very essence of Christian Hedonism—the doctrine that it is not only permissible but necessary to pursue your own happiness in the holy happiness of others. If you were to make it your aim to lead a friend into the fellowship of God, but in your heart said, "It is a matter of indifference to me if he finds fellowship with God," you would be evil. God does not want our heart to be indifferent to the good we seek. He wants us to delight in it. He wants us to pursue our joy in it just like John did. "We are writing this that our joy may be complete."

What a devastating doctrine—to teach that it is wrong for a Christian to pursue his own happiness. This doctrine is an insult to God who commands us to delight ourselves in the Lord and to count it all joy when we lay down our lives in order to share that delight with others.

In Summary:

1. Christ, our Life, has eternally existed with the Father.

2. Christ, our Life, was manifested in the flesh.

3. Through this incarnation we obtain fellowship with the Father and with his Son Jesus Christ.

4. Therefore we should make the biblical understanding of Christ the basis of the fellowship with other believers.

5. And we should seek to draw others into this fellowship because we long for the fullness of joy that comes when others share the delight we have in the fellowship of the Father and the Son.

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 


การยืนยัน 5 ประการใน 1 ยอห์น 1:1-4

5. เหตุผลที่ยอห์นเขียนคำพยานของท่านเกี่ยวกับพระคริสต์ในจดหมายฉบับนี้ เพราะว่าท่านปรารถนาความสุขอย่างเต็มเปี่ยมที่จะมี เมื่อผู้อื่นได้ร่วมปีติยินดีในสามัคคีธรรมกับพระบิดาและพระบุตร พระเยซูคริสต์

และ​เรา​เขียน​ข้อ​ความ​เหล่า​นี้​เพื่อ​ความ​ชื่น​ชม​ยินดี​ของ​เรา​จะ​ได้​เต็ม​เปี่ยม (1 ยอห์น 1:4 THSV2011)

ข้าพเจ้าคิดว่าพระคัมภีร์ฉบับที่แปลใหม่นั้น ตัดสินใจถูกที่ยอมรับในการใช้คำว่า "ความชื่นชมยินดีของเรา" แทนคำว่า "ความยินดีของท่าน" ที่ใช้ในฉบับ King James

แน่นอนว่าในคริสตจักรที่มีลักษณะเด่นของเรา คือ การแสวงหาความสุขแบบคริสเตียน (Christian Hedonism) นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าประหลาดใจเลย เริ่มแรกด้วยความชื่นชมยินดีอย่างมากแห่งการรู้จักพระเจ้า และมีประสบการณ์กับการสามัคคีธรรมกับพระองค์ แต่เมื่อนั้นเรารู้สึกขวนขวายหาบางสิ่งที่มากกว่านั้น ไม่ใช่ว่าจะมีสิ่งใดเพิ่มเติมพระเจ้าได้ แต่ว่าเราจะสามารถมีประสบการณ์มากยิ่งขึ้นกับพระเจ้าในการสามัคคีธรรมกับธรรมิกชน

1 ข้า​แต่​พระ​เจ้า ขอ​ทรง​พิ​ทักษ์​ข้า​พระ​องค์​ไว้ เพราะ​ข้า​พระ​องค์​ลี้​ภัย​อยู่​ใน​พระ​องค์
2 ข้าพ​เจ้า​ทูล​พระ​ยาห์​เวห์​ว่า "พระ​องค์​ทรง​เป็น​องค์​เจ้า​นาย​ของ​ข้า​พระ​องค์ นอก​จาก​พระ​องค์​แล้ว ข้า​พระ​องค์​ไม่​มี​สิ่ง​ดี​ใด​เลย"
3 วิ​สุทธิ​ชน​ใน​แผ่น​ดิน​เป็น​ผู้​ประ​เสริฐ เป็น​พวก​ที่​ข้าพ​เจ้า​ปีติ​ยินดี (สดุดี 16:1-3 THSV2011)

หากสิ่งนี้ไม่เป็นจริง ความปรารถนาที่จะมีสามัคคีธรรมก็จะเป็นเพียงการนับถือรูปเคารพ ความสุขของเราในการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าจะถูกทำให้สมบูรณ์ในความชื่นชมยินดีที่ผู้อื่นมีในการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า

นี่เป็นแก่นแท้ของการแสวงหาความสุขแบบคริสเตียนทีเดียว หลักคำสอนที่ว่า นี่ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ยอมได้ แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะไล่ล่าหาความสุขของคุณเองในความสุขอันบริสุทธิ์ของผู้อื่น ถ้าหากคุณให้สิ่งนี้เป็นเป้าหมายของคุณในการที่จะนำเพื่อนคนหนึ่งของคุณมาถึงยังสามัคคีธรรมกับพระเจ้า แต่ในหัวใจของคุณกล่าวว่า "นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าพเจ้าจะต้องเอาใจใส่ว่าเขาจะได้พบกับสามัคคีธรรมกับพระเจ้าหรือไม่" คุณก็จะชั่วร้าย พระเจ้ามิได้ทรงต้องการให้หัวใจของเราเพิกเฉยต่อสิ่งดีที่เราแสวงหา พระองค์ทรงต้องการให้เราปีติยินดีในสิ่งนั้น พระองค์ทรงต้องการเราให้ไล่ล่าหาความชื่นชมยินดีของเราในสิ่งนั้น เช่นเดียวกับที่ยอห์นได้ทำ

และ​เรา​เขียน​ข้อ​ความ​เหล่า​นี้​เพื่อ​ความ​ชื่น​ชม​ยินดี​ของ​เรา​จะ​ได้​เต็ม​เปี่ยม (1 ยอห์น 1:4 THSV2011)

ช่างเป็นหลักคำสอนที่สร้างความเสียหายเหลือเกิน ในการที่สอนว่าเป็นสิ่งผิดที่คริสเตียนจะไล่ล่าหาความสุขของเขาเอง หลักคำสอนนี้เป็นการดูถูกพระเจ้าผู้ซึ่งบัญชาเราให้มีความปีติยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า และให้นับสิ่งนั้นเป็นความชื่นชมยินดีเมื่อเราได้สละชีวิตของเราเพื่อที่จะแบ่งปันความปีติยินดีนั้นให้กับผู้อื่น

 

บทสรุป

  1. พระคริสต์ ผู้ซึ่งเป็นชีวิตของเรา ทรงดำรงอยู่นิรันดร์กับพระบิดา
  2. พระคริสต์ ผู้ซึ่งเป็นชีวิตของเรา ถูกสำแดงในรูปกายของมนุษย์
  3. เราได้มีสามัคคีธรรมกับพระบิดาและพระเยซูคริสต์พระบุตร ผ่านทางการเสด็จมาบังเกิดของพระคริสต์
  4. ดังนี้ เราควรให้การเข้าใจพระคริสต์บนพื้นฐานของพระคัมภีร์เป็นพื้นฐานของสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ
  5. และเราควรหาโอกาสที่จะนำผู้อื่นมาถึงยังสามัคคีธรรมนี้ เพราะว่าเราปรารถนาความสุขอย่างเต็มเปี่ยมที่จะมี เมื่อผู้อื่นได้ร่วมปีติยินดีในสามัคคีธรรมกับพระบิดาและพระบุตร

 

ศจ. ดร. จอห์น ไพเพอร์

คำเทศนาในชุด "ให้เราดำเนินในความสว่าง (1 ยอห์น)"

หัวข้อ "ชีวิตนิรันดร์ได้ปรากฎในพระคริสต์ (1 ยอห์น 1:1-4)"

เมื่อวันที่ 03/05/2009

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 

For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/sermons/eternal-life-has-appeared-in-christ

 
.

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

Eternal Life Has Appeared in Christ - ชีวิตนิรัน​ดร์ได้ปราก​ฎในพระคริส​ต์ (10)

Five Assertions in 1 John 1:1–4

4. Therefore John makes the proclamation of Christ the basis of his fellowship with other believers. (2)

Three Lessons

There are so many lessons for us here. Let me mention three.

First, the great danger of the charismatic movement around the world today (with all the good I see in it) is that it often attempts to preserve fellowship among believers on the basis of a shared experience rather than on the basis of shared theology. This is not the biblical way, and will result eventually in the petering out of poorly founded experience or in the development of heretical theology to smooth over the differences.

Second, surely this text implies that no Christian should marry an unbeliever. Deep fellowship in the things that count most is not possible where we don't share the same understanding and affection for Christ.

Third, it is a great and sad irony that as a Conference, professing to cherish the Bible, we have the reputation of trying to preserve the unity of fellowship not by exalting the great doctrines of Scripture, but by avoiding them. When John wanted to cultivate and preserve the fellowship of his readers, he got theological. When the Conference wants to cultivate and preserve the fellowship, it gets a-theological. We are paying the price for this in many ways. And it is a great sadness.

God willing, we will set a different pace at Bethlehem. We will be explicitly theological and always lay our cards on the table. The last thing I want to do is attract or keep members by concealing the very distinctives that fill us with us with passion and zeal for the glory of God. To water down biblical theology to the lowest common denominator of acceptability is the death knell of worship and orthodoxy and missions and morality and growth. And the BGC is in trouble in everyone of those areas.

Let's be like John. Verse 3: "What we have seen, what we have heard, we proclaim to you, so that you may have fellowship with us." Here is what we believe of Christ! Do you cherish what we cherish? (Cf. 4:6.)

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 
 


การยืนยัน 5 ประการใน 1 ยอห์น 1:1-4

4. ดังนี้ ยอห์นได้ให้การกล่าวประกาศพระคริสต์เป็นพื้นฐานของสามัคคีธรรมของท่านกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ (2)

บทเรียน 3 บท

มีบทเรียนมากมายสำหรับพวกเราในที่นี่ ขอที่ข้าพเจ้าจะกล่าวถึง 3 บทเรียน

บทเรียนแรก อันตรายที่ยิ่งใหญ่ของการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่เน้นของประทาน (charismatic movement) ทั่วโลกในทุกวันนี้ (ร่วมกับสิ่งดีทั้งปวงที่ข้าพเจ้าเห็นในการเคลื่อนไหวนี้) ก็คือว่า การเคลื่อนไหวนี้มักจะพยายามที่จะธำรงรักษาสามัคคีธรรมท่ามกลางผู้เชื่อบนพื้นฐานแห่งการมีประสบการณ์ร่วมกัน มากกว่าการที่มีพื้นฐานแห่งศาสนศาสตร์ร่วมกัน นี่ไม่ใส่หนทางแห่งพระคัมภีร์ และในที่สุดจะส่งผลให้เกิดการหมดแรงแห่งประสบการณ์ที่มีพื้นฐานไม่มั่นคง หรือเกิดการพัฒนาศาสนศาสตร์นอกรีตเพื่อที่จะบรรเทาความแตกต่างทั้งหลาย

บทเรียนที่สอง แน่นอน พระคำตอนนี้ชี้นำว่าไม่มีคริสเตียนคนใดที่ควรจะแต่งงานกับผู้ที่ไม่เชื่อ สามัคคีธรรมที่ลึกซึ้งในสิ่งที่มีความสำคัญที่สุดนั้นเป็นไปไม่ได้เมื่อเราไม่ได้มีความเข้าใจและความรักสำหรับพระคริสต์ที่เหมือนกันร่วมกัน

บทเรียนที่สาม เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และเป็นคำเปรียบเปรยที่น่าเศร้าว่า ในการสัมมนาหนึ่ง ที่อ้างว่ารักพระคัมภีร์ เรามีชื่อเสียงของการพยายามธำรงรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกันแห่งสามัคคีธรรม มิได้ด้วยการยกย่องหลักข้อเชื่อที่ยิ่งใหญ่แห่งพระวจนะ แต่ด้วยการหลีกเลี่ยงหลักข้อเชื่อเหล่านั้น เมื่อยอห์นต้องการที่จะพัฒนาและธำรงรักษาสามัคคีธรรมของผู้อ่านของท่าน ท่านใช้ศาสนศาสตร์ เมื่อการสัมมนาต้องการที่จะพัฒนาและธำรงรักษาสามัคคีธรรม กลับใช้สิ่งซึ่งใช่ใช่ศาสนศาสตร์ เรากำลังจะจ่ายราคาสำหรับสิ่งนี้ในหลายหนทาง และนี่เป็นสิ่งที่น่าเศร้าที่ยิ่งใหญ่

หากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เราจะจัดตั้งก้าวที่แตกต่างที่เบธเลเฮม เราจะใช้ศาสนศาสตร์อย่างชัดเจน และวางไพ่ของพวกเราไว้บนโต๊ะเสมอ สิ่งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าต้องการที่จะทำก็คือการดึงดูดหรือรักษาสมาชิกโดยการปกปิดสิ่งชัดเจนทั้งหลายที่จะเติมเราด้วยความรักและร้อนรนเพื่อพระสิริของพระเจ้า

การทำให้ศาสนศาสตร์แห่งพระคัมภีร์เจือจางลงจนถึงจุดต่ำสุดที่ทุกคนสามารถรับได้ เป็นลางร้ายแห่งความตายของการนมัสการและหลักข้อเชื่อและมิชชันและศีลธรรมและการเติบโต

ขอที่เราจะเป็นเหมือนยอห์น

สิ่ง​ที่​เรา​ได้​เห็น​และ​ได้​ยิน​นั้น เรา​ก็​ประ​กาศ​ให้​พวก​ท่าน​รู้​ด้วย เพื่อ​ท่าน​จะ​ได้​มี​สา​มัคคี​ธรรม​กับ​เรา และ​เรา​ก็​มี​สา​มัคคี​ธรรม​กับ​พระ​บิดา และ​กับ​พระ​เยซู​คริสต์​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์ (1 ยอห์น 1:3 THSV2011)

นี่คือสิ่งที่เราเชื่อในพระคริสต์! คุณรักในสิ่งที่เรารักหรือไม่?

ส่วน​เรา​อยู่​ฝ่าย​พระ​เจ้า ผู้​ที่​รู้​จัก​พระ​เจ้า​ก็​ฟัง​เรา และ​ผู้​ที่​ไม่​ได้​อยู่​ฝ่าย​พระ​เจ้า​ก็​ไม่​ฟัง​เรา ดัง​นั้น​เรา​จึง​รู้​จัก​วิญ​ญาณ​ของ​ความ​จริง และ​วิญ​ญาณ​ของ​ความ​เท็จ (1 ยอห์น 4:6 THSV2011)

 

ศจ. ดร. จอห์น ไพเพอร์

คำเทศนาในชุด "ให้เราดำเนินในความสว่าง (1 ยอห์น)"

หัวข้อ "ชีวิตนิรันดร์ได้ปรากฎในพระคริสต์ (1 ยอห์น 1:1-4)"

เมื่อวันที่ 03/05/2009

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 
 

For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/sermons/eternal-life-has-appeared-in-christ

 
 
.

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

Eternal Life Has Appeared in Christ - ชีวิตนิรัน​ดร์ได้ปราก​ฎในพระคริส​ต์ (9)

Five Assertions in 1 John 1:1–4

4. Therefore John makes the proclamation of Christ the basis of his fellowship with other believers. (1)

Verse 3 says, "That which we have seen and heard we proclaim also to you, so that you may have fellowship with us; and our fellowship is with the Father and with his Son Jesus Christ." Or to read the verse backward, "Since our fellowship is with the Father and his Son, the only way we can cultivate fellowship with you is to proclaim to you what we know about the Son whom we have seen and heard."

Shared Doctrine as the Basis for Christian Fellowship
 

At Bethlehem we talk about the three priorities of ministry: commitment to God in worship, commitment to each other in nurture, and commitment to the world in witness. Notice how clearly this verse supports the relationship between the first two. In order to experience fellowship with his readers, John tells them what he believes about Jesus Christ. In other words, there is no significant fellowship among people who do not share the same view of Jesus Christ. Shared doctrine is the basis of Christian fellowship.

When John wants to cultivate fellowship with a group of people, he writes them a letter filled with theology. When Paul wanted to prepare a missionary fellowship to support him and send him on to Spain, he wrote a theological book called Romans. The deeper and stronger you want your fellowship to be, the more theology must be shared.

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 
 


การยืนยัน 5 ประการใน 1 ยอห์น 1:1-4

4. ดังนี้ ยอห์นได้ให้การกล่าวประกาศพระคริสต์เป็นพื้นฐานของสามัคคีธรรมของท่านกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ (1)

สิ่ง​ที่​เรา​ได้​เห็น​และ​ได้​ยิน​นั้น เรา​ก็​ประ​กาศ​ให้​พวก​ท่าน​รู้​ด้วย เพื่อ​ท่าน​จะ​ได้​มี​สา​มัคคี​ธรรม​กับ​เรา และ​เรา​ก็​มี​สา​มัคคี​ธรรม​กับ​พระ​บิดา และ​กับ​พระ​เยซู​คริสต์​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์ (1 ยอห์น 1:3 THSV2011)

และหากอ่านย้อนหลัง ก็จะเป็นว่า "เมื่อเราสามัคคีธรรมกับพระบิดาและพระบุตรของพระองค์ หนทางเดียวที่เราจะสามารถทำให้สามัคคีธรรมนี้พัฒนาขึ้นกับคุณ ก็คือการป่าวประกาศกับคุณถึงสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับพระบุตร ผู้ซึ่งเราได้เห็นและได้ยิน"

หลักข้อเชื่อร่วมกั ที่เป็นพื้นฐานแห่งสามัคคีธรรมของคริสเตียน

ที่เบธเลเฮม เราพูดคุยเกี่ยวกับ 3 สิ่งสำคัญแห่งพันธกิจ: การอุทิศให้กับพระเจ้าในการนมัสการ การอุทิศให้กันและกันในการเลี้ยงดู และการอุทิศให้กับโลกในการเป็นพยาน ขอที่จะสังเกตว่าพระคัมภีร์ข้อนี้สนับสนุนความสัมพันธ์ 2 สิ่งแรก ในการที่จะมีประสบการณ์กับสามัคคีธรรมกับผู้อ่าน ยอห์นบอกพวกเขาถึงสิ่งที่ท่านเชื่อเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ อีกนัยหนึ่ง ไม่มีสามัคคีธรรมที่มีนัยสำคัญท่ามกลางผู้คนที่ไม่ได้มีมุมมองเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ร่วมกัน หลักข้อเชื่อร่วมกันนั้นเป็นพื้นฐานแห่งสามัคคีธรรมของคริสเตียน

เมื่อยอห์นต้องการที่จะพัฒนาสามัคคีธรรมกับผู้คนกลุ่มหนึ่ง ท่านเขียนจดหมายที่เต็มไปด้วยศาสนศาสตร์ถึงพวกเขา เมื่อเปาโลต้องการที่จะเตรียมสามัคคีธรรมแห่งมิชชั่นเพื่อที่จะสนับสนุนท่านและส่งท่านไปยังสเปน ท่านเขียนตำราศาสนศาสตร์ที่เรียกว่า "โรม" ยิ่งคุณต้องการให้สามัคคีธรรมของคุณลึกซึ้งและแข้มแข็งมากเพียงไร คุณยิ่งจะต้องแบ่งปันศาสนศาสตร์มากขึ้นเท่านั้น

 

ศจ. ดร. จอห์น ไพเพอร์

คำเทศนาในชุด "ให้เราดำเนินในความสว่าง (1 ยอห์น)"

หัวข้อ "ชีวิตนิรันดร์ได้ปรากฎในพระคริสต์ (1 ยอห์น 1:1-4)"

เมื่อวันที่ 03/05/2009

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 
 

For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/sermons/eternal-life-has-appeared-in-christ

 
 
.

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

Eternal Life Has Appeared in Christ - ชีวิตนิรัน​ดร์ได้ปราก​ฎในพระคริส​ต์ (8)

Five Assertions in 1 John 1:1–4

3. Through Christ's incarnation John has obtained fellowship with the Father and with his Son Jesus Christ.

The last part of verse 3 says, "Our fellowship is with the Father and with his Son Jesus Christ." Fellowship (koinonia) is a personal experience of sharing something significant in common with others. It's the pleasure of being in a group when you see eye to eye on what really matters. It's having similar values and responding with the same kind of affections to what really counts. It's what makes working with Tom and Steve and Dean and Char one of the greatest delights of my life. It's what gives root and fiber and fruit to a Christian marriage.

So to say you have fellowship with the Father and his Son means that you have come to share their values. You believe what they believe and love what they love. And so you delight to spend time together. You love to include them in all that you do. You cherish the thought of spending an eternity getting to know them better.

Fellowship Through Word and Prayer

Very practically what this means is that we repeatedly call up into our minds memorized portions of God's Word; and as the Lord speaks a word of warning or promise or guidance, we pray for his help to respond as we should; and then we trust him as we walk with him in the light. He draws near to you in his Word. You draw near to him in prayer. And in the power of that fellowship you do his will. It is the most wonderful way to live your life.

Fellowship Through Jesus Christ

John knows that he owes the gift of this fellowship to Jesus Christ. Christ came and made himself the friend of tax collectors and sinners. He offered his fellowship to any who would be willing to change their values and see things eye to eye with him. You can't have fellowship with Jesus if you don't trust his judgment. But if you do trust Jesus, you have fellowship not only with him but also with God the Father. John says in 2:23, "No one who denies the Son has the Father. He who confesses the Son has the Father also." Fellowship with God comes only through Jesus Christ his Son.

So every time someone bears witness to the truth of Jesus Christ—who he was, and what he did, and what he values—the opportunity exists for those who hear the testimony to stop rebelling against the will of Christ, accept his values, and begin to have fellowship with the Father and with his Son Jesus Christ.

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 
 


การยืนยัน 5 ประการใน 1 ยอห์น 1:1-4

3. ยอห์นได้มีสามัคคีธรรมกับพระบิดาและพระเยซูคริสต์พระบุตร ผ่านทางการเสด็จมาบังเกิดของพระคริสต์

ส่วนท้ายของข้อที่ 3 กล่าวว่า

"...เพื่อ​ท่าน​จะ​ได้​มี​สา​มัคคี​ธรรม​กับ​เรา และ​เรา​ก็​มี​สา​มัคคี​ธรรม​กับ​พระ​บิดา และ​กับ​พระ​เยซู​คริสต์​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์" (1 ยอห์น 1:3 THSV2011)

คำว่าสามัคคีธรรม (koinonia) เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลถึงการแบ่งปันบางสิ่งที่สำคัญร่วมกันกับผู้อื่น นี่เป็นความปีติยินดีของการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเมื่อคุณเห็นพ้องกันถึงสิ่งที่สำคัญ นี่เป็นการมีคุณค่าเหมือนกันและการตอบสนองด้วยความรักประเภทเดียวกัต่อสิ่งที่มีความสำคัญ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้การทำงานร่วมกับ Tom, Steve, Dean และ Char เป็นหนึ่งในความยินดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า นี่เป็นสิ่งที่มอบรากและโครงสร้างและผลต่อการแต่งงานของคริสเตียน

ดังนั้น การบอกว่าคุณมีสามัคคีธรรมกับพระบิดาและพระบุตรของพระองค์ หมายความว่าคุณได้มาร่วมในคุณค่าของพระบิดาและพระบุตร คุณเชื่อสิ่งที่พระองค์เชื่อและรักสิ่งที่พระองค์รัก และดังนี้ คุณจึงชื่นชมยินดีที่จะใช้เวลาร่วมกัน คุณรักที่จะนำพระองค์เข้ามาเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งที่คุณทำ คุณรักความคิดของการใช้นิรันดร์กาลในการที่จะรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้น

สามัคคีธรรมผ่านทางพระคำและการอธิษฐาน

ในเชิงปฏิบัติอย่างแท้จริง สิ่งนี้หมายถึงการที่เราระลึกถึงตอนต่าง ๆ ของพระคำของพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกในความคิดของเรา และขณะที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสคำแห่งการเตือน หรือพระสัญญา หรือการทรงนำ เราอธิษฐานเพื่อการทรงช่วยของพระองค์ที่เราจะตอบสนองอย่างที่เราควรจะทำ และเมื่อนั้น เราจะวางใจพระองค์ขณะที่เราดำเนินกับพระองค์ในความสว่าง พระองค์ทรงเข้าใกล้คุณในพระคำของพระองค์ คุณเขาใกล้พระองค์ในการอธิษฐาน และในฤทธิ์เดชแห่งสามัคคีธรรมนี้เอง ที่คุณทำตามพระประสงค์ของพระองค์ นี่เป็นหนทางที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในการดำเนินชีวิต

สามัคคีธรรมผ่านทางพระเยซูคริสต์

ยอห์นทราบว่าท่านเป็นหนี้แห่งของประทานแห่งสามัคคีธรรมนี้ต่อพระเยซูคริสต์ พระคริสต์เสด็จมาและทรงเป็นเพื่อนกับคนเก็บภาษีและคนบาป พระองค์ยื่นเสนอสามัคคีธรรมของพระองค์ให้แก่ใครก็ตามที่ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงคุณค่าของพวกเขา และเห็นพ้องต้องกันกับพระองค์ คุณไม่สามารถมีสามัคคีธรรมกับพระเยซูหากคุณไม่วางใจในการพิพากษาของพระองค์ แต่หากคุณวางใจพระเยซู คุณมีสามัคคีธรรม ไม่เพียงแต่กับพระองค์เท่านั้น แต่กับพระเจ้าพระบิดาด้วย ยอห์นกล่าวใน 2:23 ว่า

ทุก​คน​ที่​ปฏิ​เสธ​พระ​บุตร ไม่​มี​พระ​บิดา ผู้​ที่​ยอมรับ​พระ​บุตร​ก็​มี​พระ​บิดา​ด้วย (1 ยอห์น 2:23 THSV2011)

ดังนั้น ทุกครั้งที่บางคนเป็นพยานถึงความจริงแห่งพระเยซูคริสต์ ถึงบุคคลที่พระองค์ทรงเป็น และสิ่งที่พระองค์ทรงทำ และสิ่งที่พระองค์ทรงให้คุณค่า โอกาสก็จะมีอยู่สำหรับคนเหล่านั้นที่ได้ยินคำพยาน ที่จะหยุดดื้อรั้นต่อพระประสงค์ของพระคริสต์ ยอมรับคุณค่าของพระองค์ และเริ่มที่จะมีสามัคคีธรรมกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์

 

ศจ. ดร. จอห์น ไพเพอร์

คำเทศนาในชุด "ให้เราดำเนินในความสว่าง (1 ยอห์น)"

หัวข้อ "ชีวิตนิรันดร์ได้ปรากฎในพระคริสต์ (1 ยอห์น 1:1-4)"

เมื่อวันที่ 03/05/2009

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 
 

For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/sermons/eternal-life-has-appeared-in-christ

 
 
.

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

Eternal Life Has Appeared in Christ - ชีวิตนิรัน​ดร์ได้ปราก​ฎในพระคริส​ต์ (7)

Five Assertions in 1 John 1:1–4

2. Christ, our Life, was manifested in the flesh. (2)

When God Becomes Man . . .

I don't think it is so much the mystery of a divine and human nature in one person that causes most people to stumble over the doctrine of the incarnation. The stumbling block is that if the doctrine is true, every single person in the world must obey this one particular Jewish man. Everything he says is law. Everything he did is perfect. And the particularity of his work and word flow out into history in the form of a particular inspired book (written in the particular languages of Greek and Hebrew) that claims a universal authority over every other book that has ever been written.

This is the stumbling block of the incarnation—when God becomes a man, he strips away every pretense of man to be God. We can no longer do our own thing; we must do what this one Jewish man wants us to do. We can no longer pose as self-sufficient, because this one Jewish man says we are all sick with sin and must come to him for healing. We can no longer depend on our own wisdom to find life, because this one Jewish man who lived for 30 obscure years in a little country in the Middle East says, "I am the way the truth and the life."

When God becomes a man, man ceases to be the measure of all things, and this man becomes the measure of all things. This is simply intolerable to the rebellious heart of men and women. The incarnation is a violation of the bill of human rights written by Adam and Eve in the Garden of Eden. It is totalitarian. It's authoritarian! Imperialism! Despotism! Usurpation! Absolutism! Who does he think he is!

GOD!

The Doctrinal Test of Spiritual Authenticity
 

And therefore the doctrine of the incarnation has from the beginning been a touchstone of orthodoxy and spiritual authenticity. 1 John 4:2, "By this you know the Spirit of God: every spirit which confesses that Jesus Christ has come in the flesh is of God, and every spirit which does not confess Jesus is not of God."

Only the Spirit of God can break our rebellion against the authoritarian particularity of the incarnation and cause us to submit gladly to this one Jewish man as our absolute sovereign. And therefore the confession that God has come in the flesh is John's doctrinal test of whether we are of God.

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 
 


การยืนยัน 5 ประการใน 1 ยอห์น 1:1-4

2. พระคริสต์ ผู้ซึ่งเป็นชีวิตของเรา ถูกสำแดงในรูปกายของมนุษย์ (2)

เมื่อพระเจ้ากลายเป็นมนุษย์

ข้าพเจ้าไม่คิดว่าความลึกลับของธรรมชาติของพระเจ้าและมนุษย์ในบุคคลเดียว จะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่สะดุดด้วยหลักข้อเชื่อของการบังเกิดของพระเยซูคริสต์ สิ่งกีดขวางที่ทำให้สะดุดก็คือว่า หากหลักข้อเชื่อนี้เป็นจริง ทุก ๆ คนในโลกจะต้องเชื่อฟังชาวยิวผู้นี้ ทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสเป็นกฎบัญญัติ ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นสมบูรณ์แบบ และความจำเพาะเจาะจงของพระราชกิจและคำสั่งสอนก็หลั่งไหลมาสู่ประวัติศาสตร์ ในรูปแบบของหนังสือที่ได้รับการดลใจที่จำเพาะเจาะจง (เขียนในภาษาที่จำเพาะเจาะจง ด้วยภาษากรีก และฮีบรู) ซึ่งกล่าวอ้างสิทธิอำนาจสากลเหนือหนังสือทุกเล่มอื่นใดที่ถูกเขียนขึ้นมา

นี่คือสิ่งกีดขวางที่ทำให้สะดุดของการบังเกิดของพระเยซูคริสต์ เมื่อพระเจ้ากลายเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง พระองค์ทรงเปิดโปงความเสแสร้งของมนุษย์ที่จะเป็นพระเจ้า เราไม่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของเราอีกต่อไป เราต้องทำสิ่งซึ่งมนุษย์ชาวยิวผู้หนึ่งต้องการให้เราทำ เราไม่สามารถมีท่าทีที่จะพึ่งพาตัวเองได้อีกต่อไป เพราะว่ามนุษย์ชาวยิวผู้นี้ได้กล่าวว่าเราทุกคนป่วยด้วยโรคบาป และต้องมาหาพระองค์เพื่อรับการรักษา เราไม่สามารถพึ่งพาสติปัญญาของเราเองในการแสวงหาชีวิตได้อีกต่อไป เพราะมนุษย์ชาวยิวผู้นี้ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ 30 ปีอย่างไม่เป็นที่สังเกต ในประเทศเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในแถบตะวันออกกลาง ได้กล่าวว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต"

เมื่อพระเจ้ากลายเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง มนุษย์ก็ไม่ใช่มาตรฐานของทุกสิ่งอีกต่อไป และมนุษย์ผู้นี้กลายเป็นมาตรฐานของทุกสิ่ง นี่เป็นเพียงสิ่งที่สุดที่จะทนได้สำหรับใจที่กบฎของชายและหญิง การบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซูคริสต์เป็นการฝ่าฝืนรายการของสิทธิของมนุษย์ที่ถูกเขียนขึ้นโดยอาดัมและเอวาในสวนเอเดน นี่เป็นการปกครองแบบเผด็จการ นี่เป็นการใช้อำนาจแบบเผด็จการ! จักรวรรดินิยม! การกดขี่! การแย่งชิงอำนาจ! การรวบอำนาจ! ใครคือคนที่เขาคิดว่าเขาเป็น?

พระเจ้า!

การทดสอบหลักข้อเชื่อแห่งความแท้จริงฝ่ายวิญญาณ

และดังนี้ หลักข้อเชื่อแห่งการบังเกิดของพระเยซูคริสต์ ได้เป็นมาตรฐานของการทดสอบของหลักข้อเชื่อและความแท้จริงฝ่ายวิญญาณ

พวก​ท่าน​ก็​จะ​รู้​จัก​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระ​เจ้า​โดย​ข้อ​นี้ คือ​วิญ​ญาณ​ทุก​ดวง​ที่​ยอม​รับ​ว่า​พระ​เยซู​คริสต์​ได้​เสด็จ​มา​เป็น​มนุษย์ วิญ​ญาณ​นั้น​ก็​มา​จาก​พระ​เจ้า (1 ยอห์น 4:2 THSV2011)

เพียงแค่พระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้นที่ได้ทำลายการกบฎของเราต่อความจำเพาะเจาะจงของการใช้อำนาจแบบเผด็จการแห่งการบังเกิดของพระคริสต์ และทำให้เรายอมด้วยความยินดีต่อมนุษย์ชาวยิวผู้นี้ ให้อยู่ในฐานะสูงสุดอย่างแท้จริงในชีวิตของเรา และดังนี้ การสารภาพว่าพระเจ้าได้เสด็จมารับสภาพของร่างกายมนุษย์ เป็นการทดสอบหลักข้อเชื่อว่าเราเป็นของพระเจ้าหรือไม่

 

ศจ. ดร. จอห์น ไพเพอร์

คำเทศนาในชุด "ให้เราดำเนินในความสว่าง (1 ยอห์น)"

หัวข้อ "ชีวิตนิรันดร์ได้ปรากฎในพระคริสต์ (1 ยอห์น 1:1-4)"

เมื่อวันที่ 03/05/2009

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 
 

For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/sermons/eternal-life-has-appeared-in-christ

 
 
.

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

Eternal Life Has Appeared in Christ - ชีวิตนิรัน​ดร์ได้ปราก​ฎในพระคริส​ต์ (6)

Five Assertions in 1 John 1:1–4

2. Christ, our Life, was manifested in the flesh. (1)

Again verse 2 makes this plain: "The life was made manifest." That is, the eternal Christ became visible. He appeared. And the sense in which he appeared is made clear in verse 1: "That which we have heard, which we have seen with our eyes, which we have looked upon and touched with our hands . . . "

The Stumbling Block of the Incarnation
 

The fact that John claims to have touched what was from the beginning, namely, the manifested eternal Life, shows plainly that the point here is incarnation. The eternal Christ, who was with the Father from the beginning and indeed was God—this Christ appeared in flesh. He became a man.

Here is a great stumbling block. People have stumbled over it from the days of John until our own day (cf. The Myth of God Incarnate). John says in his second letter (v. 7), "Many deceivers have gone out into the world, men who will not acknowledge the coming of Jesus Christ in the flesh; such a one is the deceiver and the antichrist."

Many are willing to believe in Christ if he remains a merely spiritual reality. But when we preach that Christ has become a particular man in a particular place issuing particular commands and dying on a particular cross exposing the particular sins of our particular lives, then the preaching ceases to be acceptable for many.

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 


การยืนยัน 5 ประการใน 1 ยอห์น 1:1-4

2. พระคริสต์ ผู้ซึ่งเป็นชีวิตของเรา ถูกสำแดงในรูปกายของมนุษย์ (1)

อีกครั้งหนึ่ง ข้อ 2 ทำให้สิ่งนี้เรียบง่าย "ชีวิต​ที่​ว่า​นี้​ปรา​กฏ​ขึ้น" นั่นคือ พระคริสต์ผู้ซึ่งเป็นนิรันดร์ ได้ทรงเปลี่ยนเป็นรูปแบบที่เห็นได้ พระองค์ทรงปรากฎ และความเข้าใจเกี่ยวกับที่พระองค์ทรงปรากฎนั้น ได้รับการอธิบายให้ชัดเจนในข้อ 1

เรา​ขอ​แจ้ง​เกี่ยว​กับ​สิ่ง​ที่​มี​มา​ตั้ง​แต่​ปฐม​กาล ซึ่ง​เรา​ได้​ยิน ได้​เห็น​กับ​ตา ได้​พินิจ​ดู และ​จับ​ต้อง​ด้วย​มือ​ของ​เรา​นั้น คือ​พระ​วาทะ​แห่ง​ชีวิต (1 ยอห์น 1:1 THSV2011)

สิ่งกีดขวางที่ทำให้สะดุดของการบังเกิดของพระเยซูคริสต์

ข้อเท็จจริงที่ยอห์นกล่าวอ้างว่าท่านได้สัมผัสสิ่งที่เป็นอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล นั่นคือ ชีวิตนิรันดร์ที่ถูกสำแดง ได้แสดงให้เราเห็นอย่างเรียบง่ายว่า จุดสำคัญตรงนี้ คือการบังเกิดของพระเยซูคริสต์ พระคริสต์ผู้ซึ่งเป็นนิรันดร์ ซึ่งได้อยู่กับพระบิดาตั้งแต่ปฐมกาล และแท้จริงก็ทรงเป็นพระเจ้า พระคริสต์ผู้นี้ได้ปรากฎในร่างกายมนุษย์ พระองค์ทรงกลายเป็นมนุษย์

นี่คือสิ่งกีดขวางที่ทำให้สะดุดที่ยิ่งใหญ่ ผู้คนได้สะดุดบนสิ่งนี้ตั้งแต่วันของยอห์น จนถึงวันของพวกเราเอง (อ้างอิง The Myth of God Incarnate) ยอห์นกล่าวในจดหมายฉบับที่สองของท่าน

เพราะ​ว่า​มี​ผู้​ล่อ​ลวง​จำ​นวน​มาก​ออก​มา​ใน​โลก เป็น​พวก​ที่​ไม่​ยอม​รับ​ว่า​พระ​เยซู​คริสต์​เสด็จ​มา​เป็น​มนุษย์ คน​ประ​เภท​นั้น​แหละ​เป็น​ผู้​ล่อ​ลวง​และ​เป็น​ศัตรู​ของ​พระ​คริสต์ (2 ยอห์น 7 THSV2011)

หลายคนอยากที่จะเชื่อในพระคริสต์ ถ้าหากพระองค์นั้นคงเป็นเพียงความจริงฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่เมื่อเราเทศนาว่าพระคริสต์ได้กล่ายเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่จำเพาะเจาะจง ในที่แห่งหนึ่งที่จำเพาะเจาะจง ได้ตรัสคำสั่งหลายประการที่จำเพาะเจาะจง และได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนที่จำเพาะเจาะจง สำแดงความบาปทั้งหลายที่เฉพาะเจาะจง ของชีวิตของพวกเราที่เฉพาะเจาะจง เมื่อนั้นการเทศนาก็ได้จบด้วยการเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ของหลาย ๆ คน

 

ศจ. ดร. จอห์น ไพเพอร์

คำเทศนาในชุด "ให้เราดำเนินในความสว่าง (1 ยอห์น)"

หัวข้อ "ชีวิตนิรันดร์ได้ปรากฎในพระคริสต์ (1 ยอห์น 1:1-4)"

เมื่อวันที่ 03/05/2009

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 

For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/sermons/eternal-life-has-appeared-in-christ

 
.

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ