วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

การรับผิดชอบต่อกันและกัน (2/6)

เหตุผลและความรู้สึก

ในพระเจ้ามิได้มีแค่เรื่องของเหตุผล ดังเช่นเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จไปที่อุโมงค์ฝังศพของลาซาลัส พระองค์ทรงเสด็จไปเพื่อชุบลาซารัสให้ฟื้นจากตาย ถามว่ามีทางสำเร็จหรือไม่? มีแน่นอน เพียงแต่มีคนจำนวนหนึ่งไปที่หลุมฝังศพและร้องไห้อยู่ พระเยซูคริสต์ทรงกันแสงด้วยเช่นกัน แล้วทำไมพระองค์จึงได้ทรงร้องไห้? ถ้าใช้เหตุผล จะพบว่าพรองค์ไม่จำเป็นต้องร้องไห้เลย เพราะพระองค์ทรงทราบวาเขาจะฟื้นจากความตายอยู่แล้ว นี่แหละ เพราะพระองค์ต้องการที่จะสอนให้เรา "ร้องไห้แก่ผู้ที่ร้องไห้"

แม้ว่าความเสียใจนั้นอาจเกิดจากหาเรื่องใส่ตัวเอง หรือผิดพลาดเอง แต่พระองค์ก็ทรงเอาพระทัยใส่ พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นความรู้สึกของเรา และทรงเห็นว่าสิ่งนั้นมีค่า จิตใจที่ฟกช้ำแล้ว พระองค์ไม่ทรงซ้ำเติม ดังนั้น เมื่อมีผู้ใดพลาดพลั้ง และมาหาเรา ขอที่เราจะรับฟัง นี่แหละเป็นการอาศัยอยู่ร่วมกัน

บางช่วงเวลาเหตุผลก็มีความสำคัญ และบางช่วงเวลาความรู้สึกมีความสำคัญ มีวาระในแต่ละวาระ

ขอที่เราจะตัดความเย่อหยิ่ง ตัดความโอหังออกไป เพราะสิ่งเหล่านี้จะขัดกร่อนความสัมพันธ์ของเรา

ในครอบครัว ถ้าใช้เหตุผลมาก ๆ มักจะมีปัญหา แต่ในความเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกัน จะต้องเอาใจใส่เรื่องความรู้สึกด้วย

บางคนอาจจะต้องเจ็บบ่อย ๆ เจ็บลึก ๆ หลายครั้งหลายคราว เพราะคนที่ทำให้เจ็บคือคนที่สนิทมาก เราแต่ละคนไม่สมบูรณ์ และความไม่สมบูรณ์จะบาดให้เจ็บ ขอที่เราจะอดทนเสีย ดังเช่นที่พระองค์ทรงสถิตย์กับเราพระองค์ก็ทรงอดทนกับเรา

ขอพระเจ้าทรงเปิดเผยแก่เรา ว่าทำอย่างไรเราจึงจะเจ็บแบบพอประมาณ และเมื่อเจ็บก็พักบ้าง

เมื่อข้าพเจ้าต้องพบกับความเจ็บปวด พระเจ้าทรงประทานพระคุณ คือ พระเจ้าจะให้ข้าพเจ้าออกมาจากสิ่งเหล่านั้นชั่วคราว จนมีกำลัง แล้วค่อยกลับไปเผชิญและเรียนรู้ใหม่ พระเจ้าจะไม่ยอมให้เราโตเพียงแค่นี้

 

อ. ชัยราช กิจเกื้อกูล (พี่ด้องYFC)

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน" ตอนที่ 3

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

เมื่อเช้าวันที่ 25/07/2010


หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

การรับผิดชอบต่อกันและกัน (1/6)

การที่เราเป็นคนที่เก่ง มีศักยภาพ เป็นสิ่งดี แต่การรู้สึกว่าตัวเองเก่ง เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าจะแสดงออกมาชัดหรือไม่ก็ตาม

ข้าพเจ้าเคยรู้สึกว่าตัวเองเก่ง เมื่อมีใครมาต่อว่าว่าข้าพเจ้าโอหัง ข้าพเจ้าก็จะไม่พอใจ แต่ถ้าบอกว่าข้าพเจ้าเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ข้าพเจ้าจะพอใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อข้าพเจ้ามองย้อนกลับไป ข้าพเจ้าพบว่าข้าพเจ้าเองในเวลานั้น เป็นคนที่โอหังมาก

คนที่เก่ง มักจะไม่ยอมคน มั่นใจในสิ่งที่ตนเองคิด ข้าพเจ้าเคยเป็นคนเช่นนั้น

บทเรียนที่พระเจ้าได้ทรงสอนแก่ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าตั้งใจจะเชื่อฟัง ติดตามพระองค์ และยอมทุกสิ่ง คือ เรื่องการยอมรับสิทธิอำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ขมมากสำหรับข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าไม่ใช่เบอร์ 1 ที่บ้านข้าพเจ้ามีพ่อแม่เป็นเบอร์ 1 ที่โบสถ์ก็จะมีผู้ที่เป็นเบอร์ 1 เมื่อข้าพเจ้าต้องยอมแก่ผู้นำเหล่านั้น ข้าพเจ้ารู้สึกขมขื่นมาก แต่เมื่อตัดสินใจจะเชื่อฟัง พระเจ้าก็ทรงค่อย ๆ เปลี่ยน และข้าพเจ้าไม่เคยเสียใจที่ตัดสินใจเช่นนั้น

จงรักกันฉันพี่น้อง ส่วนการที่ให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัว (โรม 12:10)

ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงเปิดเผยให้ข้าพเจ้าเห็นความดีของผู้อื่น ให้เห็นความเก่งของผู้อื่น

ช่วงหนึ่ง พระเจ้าทรงให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนคนพิการ คิดไม่ได้ คิดเพียงแค่หนึ่งนาทีก็เหนื่อยจนขาดใจ ข้าพเจ้าเวียนศีรษะมาก นอนก็ไม่ได้ นั่งก็ไม่ได้ ต้องรับประทานยาตลอด

เริ่มแรก แพทย์วินิจฉัยว่าข้าพเจ้าเป็นโรคสมองฝ่อ และได้รับประทานยาสเตียรอยด์ ซึ่งทำให้กระดูกพรุน ฮอร์โมนเพศชายสูงขึ้น อ้วน สิวขึ้นทั่วตัว ข้าพเจ้านอนไม่ได้ ต้องนั่งพิงกำแพง เป็นเวลา 4-5 ปี เวลานั้น ข้าพเจ้าออกกำลังกายก็ไม่ได้ เครียดก็ไม่ได้ นอนดึกก็ไม่ได้ อ่านพระคัมภีร์ก็ไม่ได้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองทำอะไรไม่ได้เลย จึงได้เริ่มเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ว่าผู้ที่อยากจะทำแต่ทำไม่ได้เป็นอย่างไร

เราไม่จำเป็นจะต้องผ่านบทเรียนเช่นนี้ด้วยตัวเอง

ระดับการเรียนรู้ของคนเรา มีได้หลายระดับ ได้แก่

  1. ต้องเจอด้วยตัวเองจึงจะเรียนรู้
  2. ฟังผู้อื่นแล้วเรียนรู้
  3. แม้เจอด้วยตัวเอง ก็ไม่เรียนรู้อะไรเลย

ขอที่เราจะตัดสินใจเอง พระเจ้าจะไม่ปล่อยให้เราโตเพียงแค่นี้ ขอที่เราจะเอาความรู้สึกว่าตัวเองเก่งและฉลาดออกไป

ผู้ที่รู้สึกว่าตนเองเก่ง จะรับคำเตือนไม่ได้ จะเถียงเสมอ และจะมีเหตุผลที่ดีในการเถียงด้วย

ข้าพเจ้าอธิษฐานเสมอว่า "ขอให้ข้าพเจ้าถ่อมใจ ตายต่อตัวเอง เห็นผู้อื่นดีกว่าตัว เป็นคนที่สอนได้ เตือนได้"

ขอที่เราจะรับคำเตือนของกันและกัน

 

อ. ชัยราช กิจเกื้อกูล (พี่ด้องYFC)

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน" ตอนที่ 3

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

เมื่อเช้าวันที่ 25/07/2010


หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

 


วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

คริสตจักรแห่งพระพร (3/3)

3. พระพรนำมาซึ่งชีวิต ความชื่นชมยินดี และประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อมวลมนุษยชาติ


6 และท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นสิ่งนี้หรือ" แล้วท่านก็พาข้าพเจ้ากลับมาตามฝั่งแม่น้ำ
7 ขณะเมื่อข้าพเจ้ากลับ ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นต้นไม้มากมายอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำทั้งสองฟาก
8 และท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า "น้ำนี้ไหลตรงไปทางท้องถิ่นตะวันออก และไหลลงไปถึงอารบา และเมื่อน้ำไหลออกมานั้นไปถึงน้ำทะเล น้ำนั้นก็กลับจืดดี
9 แม่น้ำนั้นไปถึงที่ไหน สัตว์มีชีวิตที่อยู่กันเป็นฝูงก็จะมีชีวิตได้ และที่นั่นมีปลามากมาย เพราะว่าน้ำนี้ไปถึงที่นั่นน้ำทะเลก็จืด เพราะฉะนั้นแม่น้ำไปถึงไหน ทุกสิ่งก็มีชีวิต
10 ชาวประมงก็ยืนอยู่ที่ข้างทะเล จากเอนเกดีถึงเอนเอกลาอิม จะเป็นที่สำหรับตากอวน ปลาในที่นั้นมีหลายชนิด เหมือนปลาในทะเลใหญ่
11 แต่ที่เป็นบึงและหนองน้ำจะไม่จืด ต้องทิ้งไว้ให้เป็นเกลือ
12 ตามฝั่งทั้งสองฟากแม่น้ำ มีต้นไม้ทุกชนิดที่ใช้เป็นอาหาร ใบของมันจะไม่เหี่ยวและผลของมันจะไม่วาย แต่จะเกิดผลใหม่ทุกเดือน เพราะว่าน้ำสำหรับต้นไม้นั้นไหลจากสถานนมัสการ ผลไม้นั้นใช้เป็นอาหารและใบก็ใช้เป็นยา" (เอเสเคียล 47:6-12)


เมื่อไปจนถึงที่ที่จะต้องว่ายแล้ว ทูตสวรรค์ก็นำให้ท่านกลับขึ้นมา และเมื่อกลับมา ท่านก็พบต้นไม้มากมายอยู่ริมฝั่ง และเห็นปลาว่ายอยู่มากมาย แม้กระทั่งทะเลตายก็กลายเป็นทะเลน้ำจืดได้

2 ฟากธารน้ำมีต้นไม้มากมาย และทุกเดือนก็ออกผล และใช้เป็นอาหารและยาได้ น้ำไปถึงทะเลตายที่เค็มกว่าทะเลทั่วไปก็กลายเป็นน้ำจืด แม้ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ยากมาก แต่สำหรับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพของเรา ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ แม้น้ำในทะเลที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย แต่เมื่อธารน้ำนี้ไปถึง ที่นั่นกลับมีปลามากมาย แม่น้ำไปถึงที่ใด ก็มีชีวิต เกิดผลดี นำมาซึ่งประโยชน์ นำมาซึ่งความชื่นชมยินดี

คริสตจักรของเราต้องนำพระพรไปสู่ชุมชน แน่นอนจะเกิดผลดี มีคนรับเชื่อใหม่ มีคริสตจักรใหม่เกิดขึ้น สังคมก็เปลี่ยนไป คริสตจักรภาคเจ็ดก็เจริญขึ้น สังคมไทยและประเทศไทยก็เจริญขึ้นเพราะมีคริสเตียนจำนวนมากขึ้น และที่สำคัญ พระวิหารที่เป็นศูนย์กลางนี่แหละ ก็จะเต็มด้วยพระสง่าราศีของพระเจ้า เต็มด้วยพระพรซ้อนพระพร

เมื่อคริสตจักรทำหน้าที่เป็นคริสตจักรแห่งพระพรแล้ว ไม่เพียงแต่เป็นเหตุให้คนทั้งหลายได้พร ทำให้คริสตจักรภาคเจริญ ทำให้ประเทศชาติได้รับพรแล้ว คริสตจักรเองก็จะได้รับพระพรซ้อนพระพรด้วย พี่น้องจะได้พรอย่างมากมาย เมื่อพระเจ้าเทพระพรลงมาให้แก่เราแล้ว เราจะรับอย่างไม่หวั่นไม่ไหวเลยทีเดียว

ขอที่เราจะช่วยกัน ให้พระเจ้าทรงใช้เรา ร่วมกับพระองค์ สร้างความฝันให้เป็นจริง ด้วยการเป็นคริสตจักรแห่งพระพรอย่างแท้จริง โดยการ

  1. นมัสการพระเจ้าด้วยใจร้อนรน ยำเกรงพระเจ้า มานมัสการพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ ขอที่เราทุกคนจะเอาจริงเอาจัง
  2. พึ่งพระเจ้าในการอธิษฐาน อธิษฐานอย่างจริงจัง ขอกำลังจากพระเจ้า เพื่อให้ฝันนั้นเป็นจริง รวมพลังอธิษฐานร่วมกัน นำคนมาร่วมอีกมากมาย
  3. เป็นพยานชีวิตเพื่อพระเจ้า ดำเนินชีวิตที่ดีงาม รักพระเจ้า รักพี่น้อง รักเพื่อนบ้าน
  4. ทำตามพระมหาบัญชาของพระเจ้า มีโอกาสก็ประกาศพระกิตติคุณ นำความรอดไปสู่พี่น้องที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ส่งเสริมพันธกิจในการขยายคริสตจักร ส่งเสริมพันธกิจมิชชัน ส่งเสริมคริสตจักรภาค ส่งเสริมคริสตจักรในประเทศไทย

เหตุฉะนั้นพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า ท่านจงตั้งมั่นอยู่ อย่าหวั่นไหว จงปฏิบัติงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริบูรณ์ทุกเวลา ท่านทั้งหลายพึงรู้ว่า โดยองค์พระผู้เป็นเจ้า การของท่านจะไร้ประโยชน์ก็หามิได้ (1โครินธ์ 15:58)


ศจ. วิรัช เศรษฐ์โสภณกุล

คำเทศนาการนมัสการรวม คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 07/11/2010

เรื่อง คริสตจักรแห่งพระพร

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

คริสตจักรแห่งพระพร (2/3)

2. พระพรเปรียบดั่งธารน้ำที่ต้องไหลออกสู่ภายนอก


3 ชายผู้นั้นได้เดินไปทางตะวันออกมีเชือกวัดอยู่ในมือ ท่านวัดได้หนึ่งพันศอก แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไป และน้ำลึกเพียงตาตุ่ม
4 แล้วท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไปและน้ำลึกถึงเข่า แล้วท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไป น้ำนั้นลึกเพียงเอว
5 แล้วท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน และกลายเป็นแม่น้ำที่ข้าพเจ้าลุยข้ามไม่ได้ เพราะน้ำนั้นขึ้นแล้วลึกพอที่จะว่ายได้ เป็นแม่น้ำที่ลุยข้ามไม่ได้
6 และท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นสิ่งนี้หรือ" แล้วท่านก็พาข้าพเจ้ากลับมาตามฝั่งแม่น้ำ (เอเสเคียล 47:3-6)


นี่เป็นพระพรทั้งวงใกล้และวงไกล ผ่านไปทุก 1000 ศอก หรือประมาณ 500 เมตร น้ำที่เป็นพระพรจะมีมากขึ้น เริ่มจากตาตุ่ม ถึงเข่า เอว หน้าอก และท่วมท้น นี่คือการนำพระพรของพระเจ้าผ่านออกไปสู่ผู้อื่น

พระวจนะของพระเจ้าได้บอกว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ" พระเจ้าทรงโปรดประทานพระพรแก่เราอย่างมากมาย และสอนให้เรารู้จักแบ่งปันพระพรออกไป ยิ่งแบ่งปันออกไปมากเท่าไร พระพรใหม่ ๆ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากมาย ก็จะหลั่งไหลมาสู่ผู้ให้

ภาพของน้ำทะเลที่ลึกขึ้นทุก 500 เมตร จนกระทั่งเดินไม่ได้ ต้องว่าย มี 2 ความหมาย ได้แก่

  1. การให้ ยิ่งไกลออกไป ยิ่งยากมากขึ้น ให้คนใกล้ ๆ จะง่ายหน่อย ยิ่งไกลยิ่งยาก เช่น การจัดงานประกาศในคริสตจักรดูเหมือนไม่ยาก การก่อตั้งคริสตจักรลูกในประเทศก็ยากขึ้น แต่ไม่เท่าการส่งมิชชันนารีออกไปยังแดนไกล เพราะมีค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบสูงมาก
  2. การให้ ยิ่งมาก ยิ่งเต็มไปด้วยพระพร โดยการให้ อาจจะเริ่มที่ตาตุ่ม จนกระทั่งถึงเข่า ถึงเอว และเต็มล้นมากจนกระทั่งต้องว่ายเอา ยิ่งให้ออกไป เราจะยิ่งได้รับพระพรมาก

"พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่" (สดุดี 23:14)

ขอบคุณพระเจ้า คริสตจักรที่ส่งมิชชันนารีออกไป ไม่เคยขัดสนเลย มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น

ประเทศเกาหลีใต้ มีมิชชันนารีท่านหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ในปี 1971 ประเทศเกาหลีส่งมิชชันนารีไป 10 ครอบครัว 20 คน ปัจจุบันมีมิชชันนารีจากเกาหลีใต้ส่งไปทั่วโลก 2 หมื่นกว่าคน เฉลี่ยแล้วครอบครัวหนึ่งต้องใช้เงินประมาณ 1000 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อเดือน แสดงว่าเขาจะต้องใช้ 10 ล้านเหรียญอเมริกาต่อเดือน หรือ 120 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกาต่อปี คิดเป็นเงินไทย ปีหนึ่งเกาหลีส่งเงินออกนอกประเทศประมาณ 3600 ล้านบาท แต่เรากลับพบว่า ไม่เพียงแค่เกาหลีจะไม่ขาดแคลน แต่เขายังเจริญก้าวหน้าเป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชีย

เมื่อ 40 ปีก่อน คนเกาหลีมีรายได้ต่อหัวต่อปี 8000 เหรียญสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน เขามีรายได้ต่อหัวต่อปี 30,000 เหรียญสหรัฐอเมริกา หรือประมาณ 9 แสนบาท แม้แต่ Samsung ซึ่งเป็นของเกาหลี ก็ได้แย่งตลาด Sony เรียบร้อย และยังมีหนังเกาหลี เพลงเกาหลีแพร่หลายไปทั่วโลก

ทั้งหมดนี้ต้องการยืนยันอะไร? ต้องการยืนยันว่าคริสตจักรที่เป็นพระพร และรู้จักมอบพระพรนั้นไปสู่ผู้อื่น คริสตจักรและประเทศนั้นจะไม่ขาดพระพรและไม่ขาดแคลนเลย

คริสตจักรภาค 7 ริเริ่มโดยศาสนาจารย์ของคริสตจักรสะพานเหลือง เป็นแม่แบบของการให้ และคริสตจักรต่าง ๆ ในภาคก็ได้ปฏิบัติตาม จนปัจจุบันนี้ คริสตจักรภาคได้ขยายออกไปถึง 114 แห่ง ซึ่งเท่ากับจำนวนปีของคริสตจักรสะพานเหลืองพอดี พระพรที่เปรียบเหมือนธารน้ำไหลไปสู่ที่ใด ก็ทำให้ที่นั่นเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังเช่นที่พระวจนะของพระเจ้าได้บอกว่า เมื่อน้ำนั้นไหลไปถึงที่ทะเล น้ำทะเลก็กลับกลายเป็นจืดได้ แม่น้ำนี้ไปถึงที่ใด สัตว์ที่มีชีวิตเป็นฝูงก็มีชีวิตอยู่ได้ ทุกสิ่งก็มีชีวิต

ขอที่เราจะร่วมกันขอบคุณพระเจ้า น่าชื่นชมยินดีสักเพียงไร เมื่อคริสตจักรไปถึงที่ใด พระพรก็ไปถึงที่นั่น พี่น้องสมาชิกไปถึงที่ไหน พระพรไปถึงที่นั่น สิ่งนี้มีคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใด ที่เมื่อธารน้ำนี้ไหลไปถึงที่ใด พระพรก็ไปถึงที่นั่น

ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน (ยอห์น 15:16)

เราจะต้องนำพระพรไปสู่ที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นคริสตจักรภาค คริสตจักรทั่วไป สังคมและประเทศชาติ ไปยังคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า

 

ศจ. วิรัช เศรษฐ์โสภณกุล

คำเทศนาการนมัสการรวม คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 07/11/2010

เรื่อง คริสตจักรแห่งพระพร

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

คริสตจักรแห่งพระพร (1/3)


1 แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระวิหาร และดูเถิด มีน้ำไหลออกมาจากใต้ธรณีประตูพระวิหาร ตรงไปทางทิศตะวันออก (เพราะพระวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก) และน้ำไหลลงมาจากข้างล่าง ปลายใต้ของธรณีประตูพระวิหาร ทิศใต้ของแท่นบูชา
2 แล้วท่านจึงนำข้าพเจ้าออกมาทางประตูเหนือ และนำข้าพเจ้าอ้อมไปภายนอกถึงประตูชั้นนอก ซึ่งหันหน้าไปทางตะวันออก และน้ำนั้นออกมาทางด้านใต้
3 ชายผู้นั้นได้เดินไปทางตะวันออกมีเชือกวัดอยู่ในมือ ท่านวัดได้หนึ่งพันศอก แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไป และน้ำลึกเพียงตาตุ่ม
4 แล้วท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไปและน้ำลึกถึงเข่า แล้วท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไป น้ำนั้นลึกเพียงเอว
5 แล้วท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน และกลายเป็นแม่น้ำที่ข้าพเจ้าลุยข้ามไม่ได้ เพราะน้ำนั้นขึ้นแล้วลึกพอที่จะว่ายได้ เป็นแม่น้ำที่ลุยข้ามไม่ได้
6 และท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นสิ่งนี้หรือ" แล้วท่านก็พาข้าพเจ้ากลับมาตามฝั่งแม่น้ำ
7 ขณะเมื่อข้าพเจ้ากลับ ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นต้นไม้มากมายอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำทั้งสองฟาก
8 และท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า "น้ำนี้ไหลตรงไปทางท้องถิ่นตะวันออก และไหลลงไปถึงอารบา และเมื่อน้ำไหลออกมานั้นไปถึงน้ำทะเล น้ำนั้นก็กลับจืดดี
9 แม่น้ำนั้นไปถึงที่ไหน สัตว์มีชีวิตที่อยู่กันเป็นฝูงก็จะมีชีวิตได้ และที่นั่นมีปลามากมาย เพราะว่าน้ำนี้ไปถึงที่นั่นน้ำทะเลก็จืด เพราะฉะนั้นแม่น้ำไปถึงไหน ทุกสิ่งก็มีชีวิต
10 ชาวประมงก็ยืนอยู่ที่ข้างทะเล จากเอนเกดีถึงเอนเอกลาอิม จะเป็นที่สำหรับตากอวน ปลาในที่นั้นมีหลายชนิด เหมือนปลาในทะเลใหญ่
11 แต่ที่เป็นบึงและหนองน้ำจะไม่จืด ต้องทิ้งไว้ให้เป็นเกลือ
12 ตามฝั่งทั้งสองฟากแม่น้ำ มีต้นไม้ทุกชนิดที่ใช้เป็นอาหาร ใบของมันจะไม่เหี่ยวและผลของมันจะไม่วาย แต่จะเกิดผลใหม่ทุกเดือน เพราะว่าน้ำสำหรับต้นไม้นั้นไหลจากสถานนมัสการ ผลไม้นั้นใช้เป็นอาหารและใบก็ใช้เป็นยา" (เอเสเคียล 47:1-12)


พระธรรมตอนนี้ ทำให้เราได้เห็นภาพที่สวยงาม มีพระวิหารเป็นศูนย์กลาง มีธารน้ำไหลออกมาจากใต้ธรณีของประตูพระวิหารนั้น ธารน้ำนี้ ไม่ใช่น้ำที่ท่วมทำให้บ้านเมืองเสียหาย แต่เป็นธารน้ำที่นำมาซึ่งพระพร น้ำนี้ไปถึงที่ไหน ที่นั่นก็เกิดชีวิต ต้นไม้ทั้งสองฝั่งก็เกิดผลทุกเดือน ผลไม้นั้นเป็นอาหาร ใบไม้เป็นยา น้ำนั้นไปถึงที่ใดก็มีปลาเกิดขึ้น มีปลาหลากหลายชนิดมากมายแหวกว่ายอยู๋ในธารน้ำ แม่น้ำนี้ไหลไปถึงที่ไหน ทุกสิ่งก็มีชีวิต แม้น้ำในทะเลตายที่เค็มที่สุดในโลก เค็มกว่าน้ำทะเลทั่วไป 6 เท่า ก็กลายเป็นน้ำจืด

ภาพดังกล่าว มีนักวิชาการหลายท่านเชื่อว่าเป็นสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในช่วงยุคพันปี แต่แท้จริงแล้วภาพนี้ก็ได้สะท้อนให้เราเห็นถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงประสงค์ให้คริสตจักรในโลกนี้เป็น พระองค์ปรารถนาให้คริสตจักรเป็นเหมือนพระวิหารที่มีธารน้ำแห่งพระพร ที่เมื่อไหลไปสู่ที่ใด พระพรของพระเจ้าก็ไปถึงที่นั่น

 

1. คริสตจักรต้องเป็นแหล่งแห่งพระพร


1 แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระวิหาร และดูเถิด มีน้ำไหลออกมาจากใต้ธรณีประตูพระวิหาร ตรงไปทางทิศตะวันออก (เพราะพระวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก) และน้ำไหลลงมาจากข้างล่าง ปลายใต้ของธรณีประตูพระวิหาร ทิศใต้ของแท่นบูชา
2 แล้วท่านจึงนำข้าพเจ้าออกมาทางประตูเหนือ และนำข้าพเจ้าอ้อมไปภายนอกถึงประตูชั้นนอก ซึ่งหันหน้าไปทางตะวันออก และน้ำนั้นออกมาทางด้านใต้ (เอเสเคียล 47:1-2)


ธารน้ำนั้นมาจากใต้ธรณีประตูพระวิหาร แสดงให้เห็นว่าที่ที่พระเจ้าทรงสถิตจะเต็มไปด้วยพระพรของพระเจ้า คริสตจักรใดมีพระเจ้าดำรงอยู่ด้วย คริสตจักรนั้นก็จะเต็มไปด้วยพระพรของพระเจ้า

ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมเยียนคริสตจักรแห่งหนึ่งในเกาหลี เมื่อได้เห็นก็นึกว่าเป็นการฉลองช่วงเทศกาลคริสตมาส เพราะว่าพบบ้านที่เป็นหลังคามุงจากและยุ้งฉางตั้งอยู่บนเวที หลังจากนมัสการเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินไปถามผู้รับใช้พระเจ้า ว่าทำไมจึงมีบ้านมุงจากตั้งอยู่ที่นี่ แม้จะไม่ได้รับการพูดถึงเลย

ท่านจึงเริ่มเล่าให้ฟังว่า นั่นเป็นคริสตจักรแรกของเขา ตั้งไว้เพื่อเตือนความทรงจำของพี่น้องทั้งหลาย ว่าพระเจ้าทรงประทานพระพรมากมายแก่คริสตจักรอย่างไร

คริสตจักรใหญ่ ๆ ควรจะมีโอกาสได้ระลึกถึงตนเองในช่วงเริ่มต้น เราต่างทราบดีว่าพระเจ้าทรงประทานพระพรแก่คริสตจักรมากเหลือจะพรรณนา

คริสตจักรแห่งพระพร จะมีน้ำแห่งชีวิตที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้ เป็นพรที่ใครก็สามารถมารับได้ เพราะเต็มด้วยแม่น้ำแห่งพระพร

พระวิญญาณและเจ้าสาวตรัสว่า "เชิญมาเถิด" และให้ผู้ที่ได้ยินคำกล่าวว่า "เชิญมาเถิด" และให้ผู้ที่กระหายเข้ามา ผู้ใดมีใจปรารถนา ก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย (วิวรณ์ 22:17)

คริสตจักรที่เต็มไปด้วยพระพร เป็นคริสตจักรที่เปิดออก ให้คนทั้งหลายได้เข้ามา และรับเอาน้ำแห่งชีวิตนี้ เพื่อจะไม่หิวกระหายอีกเลย และไม่ต้องเสียอะไร เพราะนี่เป็นพระคุณของพระเจ้า

 

ศจ. วิรัช เศรษฐ์โสภณกุล

คำเทศนาการนมัสการรวม คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 07/11/2010

เรื่อง คริสตจักรแห่งพระพร

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

น้ำใจแบบองค์พระเยซูคริสต์ (8/8)

คนเลี้ยงหมา ปกติจะรักหมา แต่คงไม่มีใครรักมากจนอยากเป็นหมา เพราะศักดิ์ศรีของหมา ไม่เหมือนคน ต่อให้เป็นหมาราคาแพง ก็ไม่มีใครอยากเป็นหมาอยู่ดี เพราะต่อให้ราคาแพงเพียงใด ก็ยังคงเป็นหมา และไม่มีใครภูมิใจเมื่อถูกเรียกว่าเป็นหมา เพราะเป็นการดูถูก

แต่เมื่อมีบางคน ซึ่งเป็นกรณียกเว้น ยอมสละความเป็นมนุษย์ไปเป็นหมา เพื่อเข้าใจความรู้สึกของหมา และเพื่อช่วยหมา เราก็คงจะแปลกใจว่าเขาทำได้อย่างไร

เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงทำเช่นนี้ ศักดิ์ศรีมนุษย์และพระเจ้าไม่เหมือนกันเลย พระองค์ทรงบริสุทธิ์ แต่เราเป็นเพียงแค่ผงคลีดิน

เวลาหมาอยู่กับเรา มันก็อยู่ในที่ที่ถูกจำกัดให้อยู่ เลือกกินก็ไม่ได้ อาจต้องไปคุ้ยขยะ ใส่เสื้อผ้าก็ไม่ได้ ต้องเดินเท้าเปล่า ถ้าวันหนึ่งคนเลี้ยงหมั่นไส้ ก็อาจต้องถูกไล่ไปอยู่ข้างถนน อาจต้องโดนเห่า กัด และตายอย่างหมาขี้เรื้อนข้างถนน แน่นอนไม่มีใครอยากเป็น และพระเยซูคริสต์ก็ทรงเสด็จมา และทรงสิ้นพระชนม์เยี่ยงโจรที่ตายบนไม้กางเขน

โดยทั่วไป การรักใครสักคนหนึ่ง น้ำใจแบบพระเยซูคริสต์เราอาจจะเรียกว่าเป็นการเสียสละมากเกินไป แต่พี่น้องของเราไม่ได้เหลืออดเหลือทนเช่นนั้น เราไม่จำเป็นต้องทนหรือเสียสละเท่ากับพระองค์ที่ทรงโดนกระทำจากยูดาสและผู้นำทางศาสนา

ขอที่เราจะคิดถึงการสละของพระเยซูคริสต์ ขอที่เราจะมีความตั้งใจที่จะสละ


อ. ชัยราช กิจเกื้อกูล (พี่ด้องYFC)

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน" ตอนที่ 2

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

เมื่อคืนวันที่ 24/07/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

น้ำใจแบบองค์พระเยซูคริสต์ (7/8)

 


9 เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์
10 เพื่อเพราะพระนามนั้นทุกเข่า ในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบ พระเยซู
11 และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า (ฟิลิปปี 2:9-11)


ยิ่งถ่อม จะยิ่งถูกยก

เราอาจจะได้รับการยอมรับจากมนุษย์ถ้าเราหยิ่ง แต่สิ่งหล่านี้จะหมดไปเมื่อเราจากโลกนี้ไป แต่ถ้าเราถ่อม เราอาจไม่ได้รับการยอมรับ แต่เราจะได้รับการยกขึ้นโดยพระเยซูคริสต์จนนิรันดร์กาล

การที่ทุกเข่าทุกลิ้นคุกกราบพระองค์ ยอมรับว่าพระองค์เป็นพระเจ้า นี่เป็นการถวายเกียติพระบิดา ไม่ใช่พระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ปรนนิบัติพระบิดา ทำให้น้ำพระทัยของพระบิดาสำเร็จ แต่พระบิดาก็ทรงปรนนิบัติพระบุตรเช่นกัน นั่นคือทรงยกพระองค์ขึ้นสูงสุด เราได้เห็นทั้งสองพระภาคปรนนิบัติซึ่งกันและกัน

และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ทรงถ่อมมากจนแทบจะไม่มีผู้ใดกล่าวถึง เพราะในบทเพลงสรรเสริญต่าง ๆ จะมีแต่ผู้ที่สรรเสริญพระบิดา

พระกิตติคุณทั้งหลายที่ประกาศ เป็นการประกาศธรรมชาติของพระองค์ นั่นคือ "ความรัก" ดังนั้นความขัดแย้ง การเข้ากันไม่ได้ในหมู่พี่น้อง เป็นจากมาร เพราะมารมาเพื่อลัก ฆ่าและทำลาย แต่ทางของพระเจ้า นั่นคือ การยอม ซึ่งมาจากไม้กางเขน การไม่ยอมมาจากมาร เราจะอยู่ฝ่ายใด?

ผู้ที่รับพระกิตติคุณ คือผู้ที่ถูกสร้างขึ้นมาในธรรมชาติของพระเจ้า และจำเป็นที่จะต้องเป็นอันหนึ่งเดียวกันให้ได้

ในฐานะพี่น้องในความเชื่อ จะต้องไม่มีทัศนคติต่อไปนี้ คือ คู่แข่ง ชิงดี ถือดี ฟาดฟัน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ธรรมชาติของผู้เชื่อ ให้เรามองที่ไม้กางเขนที่พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา แล้วเราจะไม่มีผู้ใดที่เราทำดีด้วยไม่ได้ หรือจะไม่มีผู้ใดที่เราจะซ้ำเติมเมื่อเขาผิดพลาด

การมีน้ำใจเช่นพระองค์ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนยิ่งสนิทกันมาก รู้จักกันยาวนานมากที่สุด ก็สามารถสร้างความเจ็บปวดใจได้บ่อยและลึกมาก

คนที่คบกันชั่วคราว เจ็บปวดก็ไม่นาน เมื่อคนไม่สนิทพูดไม่ดี ก็อาจจะหูทวนลมได้ แต่คนสนิทถ้าพูด อาจต้องเจ็บลึกปวดนาน

อย่ามองให้ผู้อื่นปรับตัว แต่มองที่ตัวเองจะมีน้ำใจแบบพระเจ้ามากขึ้น ขอพระเจ้าเสริมกำลัง


อ. ชัยราช กิจเกื้อกูล (พี่ด้องYFC)

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน" ตอนที่ 2

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

เมื่อคืนวันที่ 24/07/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

น้ำใจแบบองค์พระเยซูคริสต์ (6/8)


และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน (ฟิลิปปี 2:8)


พระองค์ทรงสละจากเบอร์ 1 ในสวรรค์ เป็นเบอร์สุดท้ายในโลกแห่งนี้ ให้คนแกล้งทรมาน

สมัยนั้น กางเขนไม่ได้เป็นเครื่องหมายถึงความสวยงาม แต่เมื่อพูดถึงกางเขน คนจะนึกถึงหลักประหาร ซึ่งไม่ประนีประนอม ไม่ละเว้น ทรมานนักโทษกลางแดด กลางลม กลางฝน เป้าหมายอย่างเดียวคือ "ตาย" และปฏิบัติตามเป้าหมายอย่างเด็ดขาด สิ่งที่ผู้ที่ถูกประหารทำได้ก็คือตื่นและหลับ ค่อย ๆ ทรมานจนตายลงอย่างช้า ๆ ถ้าไม่มีผู้ใดนำร่างออกจากกางเขนนั้น ซากศพก็จะถูกกินโดยแร้งจนหมดสิ้น

"ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความเจ็บไข้ และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน (อิสยาห์ 53:3)

ผู้นำศาสนาก็มองพระคริสต์เป็นมนุษย์ผู้โอ้อวดที่กำลังจะประสบความพ่ายแพ้

พวกสาวกก็มองว่าพระองค์ทรงเป็นผู้นำซึ่งกำลังจะตาย ทุกอย่างกำลังจะจบ

พระองค์ทรงทราบว่าในที่สุด พระองค์จะต้องอยู่ในสภาพต่ำต้อยเช่นนี้ ไม่มีใครเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า

เมื่อพระองค์ทรงอธิษฐานกับพระเจ้า จะทรงใช้คำว่า "พระบิดา" แต่มีเพียงครั้งเดียว ที่พระองค์ทรงใช้คำว่า "พระเจ้า" นั่นคือที่กางเขนนั้น เพราะพระองค์ทรงถูกตัดขาดจากพระภาคอื่นของพระเจ้า จนพระองค์เรียกพระบิดาว่าพระบิดาไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงรับบาป ทรงเต็มไปด้วยบาปของมนุษย์

ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า "เอลี เอลี ลามาสะบักธานี" แปลว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" (มัทธิว 27:46)

น้ำพระทัยแบบพระองค์ ในที่สุด ต้องตายแบบโดดเดี่ยว พระเจ้าไม่ทรงรับ สาวกก็ทอดทิ้ง โจรบนกางเขนก็ยังต่อว่า พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าน้ำพระทัยของพระองค์จะต้องพบสภาพนี้? พระองค์ทรงทราบดี

พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นความแช่งสาปแห่งธรรมบัญญัติ โดยการที่พระองค์ทรงยอมถูกแช่งสาปเพื่อเรา (เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ทุกคนที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกสาปแช่ง) (กาลาเทีย 3:13)

คนยิวถือว่าพระเยซูคริสต์ทรงถูกสาบแช่ง ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับพระเจ้าโดนตัดขาดอย่างสิ้นเชิง ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากคำแช่ง นี่คือน้ำใจแบบพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงสละสิ้นอย่างแท้จริง ที่พระองค์ทรงยอมสละเช่นนี้ เพราะทรงรักพระบิดา รักอย่างมาก

เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 3:16)

พระบุตรทรงทราบว่าพระเจ้าทรงรักโลก ไม่อยากให้มนุษย์ในโลกพบกับความพินาศ จึงทรงอยากให้พระบิดาสมหวัง ด้วยความรักที่มีต่อพระบิดา จึงได้ทรงยอมสละ ยอมที่จะพบความยากลำบาก และพระองค์ก็ทรงรักเราที่ไม่คู่ควรด้วยเช่นกัน

เราอาจไม่ต้องสละมากเช่นพระองค์ บางครั้งเพียงเล็กน้อย เพียงแค่สีหน้าของคนบางคนก็กระตุ้นทำให้เราอยากที่จะชิงดี อยากที่จะทำให้เขาเจ็บแสบ เพราะว่าแม้ยอมที่จะไปขอโทษเขาเพื่อจะนำการคืนดีแม้เราจะไม่ผิด แต่เขากลับไม่เห็นค่า

ที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงเห็นอาการเช่นกัน แต่พระองค์ทรงมองข้ามไป สายพระเนตรของพระองค์มิได้มองความไม่น่ารัก มิได้ทรงมองความละโมบของยูดาสหรือความเห็นแก่ตัวของสาวก มิได้ทรงมองที่การเยาะเย้ยโอหังอวดดีของผู้นำทางศาสนา แต่ทรงมองที่พวกเขา มองเข้าไปในพวกเขา และทรงรักพวกเขา

น้ำใจแบบพระคริสต์ มองข้ามความไม่น่ารัก มองที่ตัวบุคคล และรักคนเหล่านั้น

พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา ทรงเห็นทุกอย่างว่าเราคิดเช่นไร ทรงทราบท่าทีที่เห็นแก่ตัวของเรา เห็นถึงการที่เราทำให้ผู้อื่นเสียใจ แต่ก็ทรงทนอยู่ในชีวิตของเรา เพราะทรงรักเรา

แม้ว่าทรงกำลังพยายามสร้างเราสู่ความไพบูลย์ แต่วันหนึ่ง บางคนอาจจะทำลายสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมาหมดสิ้น แม้กระนั้นพระองค์ก็ยังทรงอยู่ในเรา ทรงมีความอดทนจนถึงที่สุด

วันที่เราทิ้งพระองค์ไป พระองค์มิได้ทรงพรากไปจากเรา ทรงทนอยู่ในเรา นี่เป็นพระคุณ

สิ่งที่คนอื่นทำกับเรา ยังน้อยกว่าสิ่งที่เราทำกับพระวิญญาณเสียอีก

แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา (โรม 5:8)

พระเยซูคริสต์จึงทรงสอนเราว่า

38 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ตาแทนตา และฟันแทนฟัน
39 ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย
40 ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาล เพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาเสียด้วย
41 ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร
42 ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่าน ก็จงให้อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน (มัทธิว 5:38-42)

17 อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ใครๆ ก็เห็นว่าดี
18 ถ้าเป็นได้ คือเท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน (โรม 12:17-18)


อ. ชัยราช กิจเกื้อกูล (พี่ด้องYFC)

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน" ตอนที่ 2

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

เมื่อคืนวันที่ 24/07/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

น้ำใจแบบองค์พระเยซูคริสต์ (5/8)


แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ (ฟิลิปปี 2:7)


เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ก็ทรงสละออก นั่นคือ ทำให้ว่างเปล่า

เจ้าของร้านซักอบรีดคนหนึ่ง วันหนึ่งไปเดินห้าง เห็นขวดน้ำหอมราคา 4000 บาทก็รู้สึกถูกใจ จึงได้ซื้อมา แต่เมื่อกลับถึงร้านซักอบรีด ก็เทน้ำหอมทิ้งท่อ นำขวดไปขัดสีอย่างดี และใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มเข้ามาแทน

เช่นเดียวกัน พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า และได้ทรงสละสภาพของพระเจ้าออก เพื่อรับน้ำใจแบบทาสเข้ามาแทน

แม้ว่าพระองค์ทรงมีเกียรติ ก็ทรงยอมเป็นทาสที่ไม่มีเกียรติ

แม้ว่าพระองค์สบาย ก็ทรงยอมรับความยากลำบาก

แม้ว่าพระองค์จะรับการปรนนิบัติ ก็ทรงยอมปรนนิบัติผู้อื่น

พระองค์ไม่ได้มาในลักษณะของความเป็นนาย หรือร่ำรวย แต่ทรงเป็นเหมือนคนงาน ที่ทำงานเหมือนคนทั่ว ๆ ไป

เมื่อทรงบังเกิด ความเป็นมนุษย์ก็มาอยู่ในพระองค์ แม้ว่าก่อนหน้านั้น พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน ทรงสมบูรณ์แบบ แต่เมื่อทรงรับสภาพมนุษย์ พระองค์ก็ทรงกำลังรับสภาพอีกสภาพหนึ่งที่ไม่สมบูรณ์เลย คือ สภาพของการเป็นผงคลีดิน

พระเจ้าไม่มีความขาดแคลน แต่เมื่อทรงรับสภาพมนุษย์ ทรงมีความขาดแคลน มีความจำกัด

พระองค์เมื่ออยู่ในสภาพของพระเจ้าได้รับการสรรเสริญ แต่เมื่อมาเป็นมนุษย์ กลับทรงโดนด่า

ถ้าเรามีพร้อมทุกอย่าง แล้วต้องสละหมดเช่นกับพระองค์ เราจะมีสันติสุขได้หรือไม่? เราจะเรียกร้องคนรอบข้างให้รับผิดชอบตอบสนองต่อความเสียสละของเราหรอไม่?

ผู้เชื่อหลายคนเสียสละมากมาย แต่กลับผิดหวังกับคริสตจักรที่ไม่เสียสละ

เมื่อพระเยซูคริสต์ ทรงสละสภาพของพระเจ้า มาเป็นมนุษย์ พระองค์มิได้ทรงเรียกร้องให้เรารับผิดชอบหรือตอบสนองต่อความเสียสละของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงมาอย่างสบายหรือในรูปแบบของกษัตริย์ แต่ทรงมีชีวิตที่ธรรมดา จนคนที่สัมผัสพระองค์ เข้ามาแบบไม่เกรงศักดิ์ศรีของพระองค์เลย

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม แค่มองหีบพันธสัญญา ก็อาจต้องเสียชีวิต แต่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า คนมารุมล้อมมากมาย คิดว่าเป็นอาจารย์คนหนึ่งที่สอนเก่ง นี่เป็นเพราะวิธีคิด และการทำตัวของพระองค์เป็นเช่นนั้น เมื่อพระองค์ทรงสละออกทั้งใจ

พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า พระบุตรจะกระทำสิ่งใดตามใจไม่ได้ นอกจากที่ได้เห็นพระบิดาทรงกระทำ เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทรงกระทำ สิ่งนั้นพระบุตรจึงทรงกระทำด้วย" (ยอห์น 5:19)

นี่เป็นการตัดสินใจของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เป็นเพราะพระองค์ทรงมีศักดิ์ศรีต่ำกว่า

ผู้จัดการ 2 คน ตำแหน่งเท่ากัน เก่งเท่ากัน ผลงานดีเท่ากัน ฉลาดเท่ากัน มีสิทธิอำนาจเท่าเทียมกัน ระหว่าง 2 คนที่มีสภาพเหมือนกันทุกอย่าง จะมีใครยอมใครหรือไม่? แต่ในพระเจ้าที่ทรงเท่าเทียมกัน พระเยซูคริสต์ทรงยอม การยอมมิได้หมายถึงว่าพระองค์ทรงมีศักดิ์ศรีน้อยกว่า

ชีวิตเริ่มต้นจากใจ และพระทัยของพระเยซูคริสต์ทรงสละออก

มีอยู่ 2 เรื่องที่เจ้าตัวเห็นได้ยากมาก คือ ความถ่อม และความหยิ่ง สิ่งเหล่านี้เจ้าตัวมักไม่รู้ แต่คนรอบข้างจะสัมผัสได้

เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงสละสภาพของพระเจ้ามาเป็นมนุษย์ มิได้หมายถึงว่าพระองค์หมดสภาพของการเป็นพระเจ้า พระองค์ยังทรงมีสภาพของพระเจ้า 100% แต่มิได้ทรงยุ่งเกี่ยวกับสภาพพระเจ้า

เปียโน 10 ล้าน แม้อยู่ในสถานที่ที่ไม่สามารถแสดงประสิทธิภาพได้ หรือแม้จะอยู่กับผู้ที่ไม่สามารถเล่นได้ดี เปียโนหลังนั้นก็ยังคงมีมูลค่า 10 ล้านอยู่ดี เช่นเดียวกัน พระเยซูคริสต์ทรงเป็นมนุษย์ 100 เปอร์เซ็นต์ และก็ยังทรงเป็นพระเจ้า 100 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน เพียงแค่พระองค์ยังมิได้ทรงใช้สภาพความเป็นพระเจ้าของพระองค์อย่างเต็มที่


อ. ชัยราช กิจเกื้อกูล (พี่ด้องYFC)

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน" ตอนที่ 2

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

เมื่อคืนวันที่ 24/07/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

น้ำใจแบบองค์พระเยซูคริสต์ (4/8)


ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ (ฟิลิปปี 2:6)


เราแต่ละคนมีดีไม่เหมือนกัน และเราแต่ละคนก็รู้ด้วยว่าตัวเองมีดีในสิ่งใด เรารู้ดีว่าเรามีความสามารถในสิ่งใด ที่จริงแล้วการที่เรามีดี เป็นข้อเท็จจริง และอย่าปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ ความถ่อมใจไม่ใช่การปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ และการที่เราปฏิเสธอาจกลายเป็นความเย่อหยิ่ง ถ้าเราเก่ง เราก็ยอมรับได้ว่าเราเก่ง

ปัญหาในโลกของคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า คือ ข้อเท็จจริงติดกับท่าที นั่นคือ ความเก่ง และความยโสเย่อหยิ่ง แต่จงยอมรับข้อเท็จจริง และทำลายท่าทีที่ไม่ถูกต้องเสีย

บางคนถือว่าตัวเองมีดี และมีท่าทียึดถือความดีของตัวเองนั้น เมื่อความดีของตัวเองไม่มีคนเห็น ก็เลยต้องอวดให้ผู้อื่นเห็น จึงเป็น "การอวดดี"

บางคนพยายามอวดแล้ว คนอื่นไม่ยอมรับ ก็พยายามใช้กำลัง สติปัญญา คำพูดที่เก่งกาจ แสดงออกมา เพื่อให้คนอื่นยอมรับ และกลายเป็น "การชิงดีชิงเด่น"

บางคนยอมรับแบบจำใจ ร่วมกับความเจ็บใจ เมื่อสู้ผู้อื่นไม่ได้

แต่พระเยซูคริสต์ ทรงมีน้ำใจแห่งการสละออก ไม่ได้ถือตนเองเท่าเทียมกับพระเจ้า แม้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ไม่ถือว่าทรงเป็น

เหมือนกับการที่เศรษฐีใช้ชีวิตแบบยาจก ใช้ชีวิตแบบชาวบ้าน ตำส้มตำขาย และคนเหล่านั้นบางคนทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดูไม่ออกว่าเขาเป็นเศรษฐี ไม่ถือตัว เช่นเดียวกัน พระเยซูคริสต์มิได้ทรงยึดว่าพระองค์เองทรงเป็นพระเจ้า

เวลาไปมิชชันทีม ถ้าเราถือว่าเราป็นคนกรุง ก็จะบ่นว่าไม่มีแอร์ ต้องนอนบ้านไม้ไผ่ นี่เป็นท่าทีของการไม่สละออก


อ. ชัยราช กิจเกื้อกูล (พี่ด้องYFC)

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน" ตอนที่ 2

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

เมื่อคืนวันที่ 24/07/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

น้ำใจแบบองค์พระเยซูคริสต์ (3/8)


ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ (ฟิลิปปี 2:5)


คำว่า "น้ำใจ" มีความหมายว่า "กระบวนทัศน์" เป็นการมองและตีความ เป็นวิธีคิดที่จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและการตัดสินใจของเรา ซึ่งจะมีผลต่อชีวิตเราอย่างมาก เพราะเรามองตัวเอง พี่น้อง หรือโบสถ์อย่างไร สิ่งนั้น จะส่งผลต่อวิธีที่เราจะปฏิบัติต่อผู้อื่น

มีคนพยายามแข่งดีกับอาจารย์เปาโล สร้างความลำบากใจให้ท่านและพี่น้อง แต่ท่านก็หนุนใจให้คริสเตียนมีน้ำใจเช่นเดียวกับพระเยซูคริสต์

เมื่อมี 2 คนที่เข้มแข็งในคริสตจักร มีเรื่องกันในคริสตจักร ในโบสถ์ก็จะมีความเห็นแตกแยกกัน อาจารย์เปาโลจึงได้แนะนำแก่สมาชิก ว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว อย่าขาดสันติสุข อย่าต่อสู้บังคับ แต่ให้ทูลทุกสิ่งต่อพระองค์ เพื่อสันติสุขจะเข้าครอบครองความคิดและจิตใจ

4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด
5 จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว
6 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ
7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์
8 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ขอจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดู
9 จงกระทำทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้และได้รับไว้ ได้ยิน และได้เห็นในข้าพเจ้าแล้ว และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงสถิตกับท่าน (ฟิลิปปี 4:4-9)

อย่าพยายามพิสูจน์ความผิดของผู้อื่น แต่ขอที่เราจะมีน้ำใจแบบพระคริสต์ ด้วยน้ำใจอ่อนสุภาพ คิดอย่างพระองค์ และรักอย่างพระองค์


อ. ชัยราช กิจเกื้อกูล (พี่ด้องYFC)

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน" ตอนที่ 2

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

เมื่อคืนวันที่ 24/07/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554

น้ำใจแบบองค์พระเยซูคริสต์ (2/8)

1 เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา
2 แขนงทุกแขนงในเราที่ไม่ออกผล พระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และแขนงทุกแขนงที่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิดเพื่อให้ออกผลมากขึ้น (ยอห์น 15:1-2)

จากพระธรรมตอนนี้ สอนเราว่า

  1. ถ้าแขนงเกิดผล พระเจ้าจะทรงลิด แม้จะต้องเจ็บตัวเพราะโดนลิด แต่พระเจ้ามิทรงยอมให้เราโตเพียงแค่ที่เป็น ทรงมีพระประสงค์ให้เราโตขึ้น และงดงามยิ่งขึ้น
  2. ถ้าแขนงไม่เกิดผล พระเจ้าจะทรงตัดทิ้งเสีย

ข้าพเจ้าเคยได้รับคำเตือนหนึ่งจากพระเจ้า ว่า "อย่ามองในสิ่งที่เขาเป็นวันนี้ เพราะมองทีไรก็จะเจ็บ แต่มองสิ่งที่พระเจ้าจะทำให้เขาเป็นในอนาคต"

พระเจ้าจะไม่ปล่อยให้เราสู้ความยากลำบากโดยลำพัง แต่จะทรงคอยเช็ดน้ำตาทุกหยดแก่เรา


5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์
6 ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ
7 แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์
8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่
กางเขน
9 เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์
10 เพื่อเพราะพระนามนั้นทุกเข่า ในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบ พระเยซู
11 และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า (ฟิลิปปี 2:5-11)

ในฟิลิปปี 2:5-11 จะพบพระเจ้า 2 บุคคล นั่นคือ พระเยซูคริสต์ และพระบิดา

เรามีพระเจ้าองค์เดียว แต่เหตุใดตอนนี้กลับพบว่ามี 2 องค์?

พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า "ธรรมบัญญัติเอกนั้นคือว่า โอ ชนอิสราเอลจงฟังเถิด พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงเป็นพระเจ้าเดียว" (มาระโก 12:29)

"โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิดพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย เป็นพระเจ้าเดียว" (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4)

ในโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตอยู่หลายกลุ่ม มนุษย์มีเพียงกลุ่มเดียว แต่ในกลุ่มเดียวนี้มีอยู่ 6,000 ล้านคน เช่นเดียวกับปลาก็มีอยู่กลุ่มเดียว แต่ก็มีหลายชนิด หรือแม้แต่ไวรัส ก็จะเป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่ง แม้จะมีหลายชนิดหลายตัว

ในพระเจ้าเอง ก็มีอยู่ 3 พระภาค และทั้งสามพระภาคเป็นบุคคลชัดเจน จึงมีคำแปลภาษาไทยว่า "ตรีเอกานุภาพ"

พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเดียว ซึ่งมีสามพระภาค และเป็นบุคคลชัดเจน และตรีเอกานุภาพ มีเฉพาะ 3 พระภาคเท่านั้น นอกจากนี้ไม่ใช่พระเจ้า ทั้งสามเป็นพระเจ้าเดียว มีความคิด สติปัญญา ฤทธานุภาพ ทั้งสิ้น เหมือนกันหมด ไม่มีความแตกต่างกัน


อ. ชัยราช กิจเกื้อกูล (พี่ด้องYFC)

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน" ตอนที่ 2

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

เมื่อคืนวันที่ 24/07/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

น้ำใจแบบองค์พระเยซูคริสต์ (1/8)

เป็นการดีที่ได้นมัสการพระเจ้า และการนมัสการที่แท้ จุดศูนย์กลางจะอยู่ที่พระเจ้า แม้ว่าเราอาจจะไม่รู้สึกขนลุก ตื่นเต้น น้ำตาไหลก็ตาม

อย่าเอาความรู้สึกนำ อย่าให้จุดศูนย์กลางของการนมัสการอยู่ที่ความรู้สึกของตนเอง แต่ให้อยู่ที่พระเจ้าเท่านั้น เพราะถ้าเรามัวแต่รอให้เรารู้สึกตื่นเต้น ขนลุก น้ำตาไหล เราก็กำลังจดจ่ออยู่ที่ความรู้สึกของตัวเอง ไม่ใช่พระเจ้า

อย่าลืมพระคุณ เมื่อเราประสบความสำเร็จ ถ้าหากเรามองที่ความสำเร็จนั้นนาน ๆ เราจะลืมพระคุณ แต่ถ้าเรามองพระเจ้า เราจะไม่ลืมพระคุณ

เมื่อเราพบความยากลำบาก ให้เราทราบเสมอว่า ในความยากลำบากเหล่านี้ ที่แท้เรามีบำเหน็จ ความรอดนั้นเราได้รับแล้ว แต่เราจะถูกพิพากษาอีกครั้งหนึ่ง เป็นการพิพากษาเพื่อรับบำเหน็จ ซึ่งมีไม่เท่ากันในแต่ละคน ในสวรรค์ บางคนจะได้เป็นใหญ่ และบางคนจะได้เป็นผู้เล็กน้อย

24 ท่านไม่รู้หรือว่าคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกันก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รับรางวัลมีคนเดียว เหตุฉะนั้นจงวิ่งเพื่อชิงรางวัลให้ได้
25 ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบ เขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย พระคัมภีร์ บากบั่น ทนทุกข์ เพื่อมงกุฎที่ไม่ร่วงโรย (1โครินธ์ 9:24-25)

เมื่อเชลซีแข่งฟุตบอลกับประเทศไทย แม้จะชนะ 3-0 ก็รู้สึกเฉย ๆ ไม่มีศักดิ์ศรี แต่เมื่อไรก็ตามที่ไทยชนะเขา แม้เพียงแค่ 1-0 ก็จะเป็นศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อนักฟุตบอลไทยมีความเชื่อมั่น ไม่ย่อท้อ แม้ยากเย็นก็พยายาม พยายามเข้าไปเพื่อยิงเข้าประตูฝ่ายตรงข้าม แม้จะอาจจะชนะเพราะลูกบังเอิญก็ตาม

เช่นเดียวกัน เพียงแค่เราไม่ด่าเพื่อน ไม่ใช้คำหยาบ ไม่พูดลามก บทเรียนนี้ก็อาจไม่ท้าทายเลย เพราะเราเลิกพูดคำเหล่านี้ไปนานแล้ว แต่ถ้าเป็นบทเรียนที่ยากขึ้น เมื่อเรากลั้นได้ ไม่พูดข่มผู้อื่น ไม่พูดเพื่อทำให้ผู้อื่นเสียหน้า สิ่งเหล่านี้ถ้าเราหยุดได้จะเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ ทุกบทเรียนที่ยากขึ้น ศักดิ์ศรีก็จะสูงขึ้น

ความยากลำบากที่พระเจ้าทรงประทานมาให้เรา ก็จะเพิ่มศักดิ์ศรีแก่เรา ยิ่งยากเท่าไร ศักดิ์ศรีก็จะยิ่งเยอะมากขึ้นตาม

เราไม่ต้องขอให้พระเจ้าส่งความยากลำบากเหล่านั้นมา แต่ถ้าพระเจ้าจะประทานให้ ก็จะน้อมรับอย่างเต็มใจ และสารภาพต่อพระองค์ว่าสิ่งที่พบนั้นยากเหลือเกิน


อ. ชัยราช กิจเกื้อกูล (พี่ด้องYFC)

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน" ตอนที่ 2

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

เมื่อคืนวันที่ 24/07/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ