วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

God So Loved the World, Part 1 - พระเจ้าทรง​รักโลก ตอนที่ 1 (7)

5. Believe

"For God so loved the world, that he gave his only Son, that whoever believes . . ." Four observations about this believing.

First, it means that not everybody will benefit from what Jesus came to do. But "whoever believes in him should not perish but have eternal life." The rest will perish—and not have eternal life.

Second, the word itself means to embrace something as true; and when it's a person, it means to trust them to be what they are and do what they say.

Third, John 1:11–12

 
shows that another word John has in mind to explain believe is receive. "[Jesus] came to his own, and his own people did not receive him. But to all who did receive him, who believed in his name, he gave the right to become children of God." So receiving Jesus and believing Jesus explain each other.

Fourth, if we ask, "Receive him as what?" the answer would be, "Receive him as what he is." For example, in John 6:35

 
, Jesus says, "I am the bread of life; whoever comes to me shall not hunger, and whoever believes in me shall never thirst." So here believing means coming to Jesus and receiving him as the food and drink that satisfies our souls. That's one of the reasons I talk about receiving him as our Treasure (Matthew 13:44
 
). And this is why faith is so transforming.

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 


5. วางใจ (เชื่อ)

พระ​เจ้า​ทรง​รัก​โลก​ดัง​นี้ คือ​ได้​ประทาน​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ของ​พระ​องค์ เพื่อ​ทุก​คน​ที่​วาง​ใจ​... (ยอห์น 3:16 THSV2011)

ข้อสังเกต 4 ข้อเกี่ยวกับการวางใจ (การเชื่อ) ได้แก่

ข้อแรก นี่หมายถึงว่าไม่ใช่ทุกคนจะได้รับผลประโยชน์จากการที่พระเยซูทรงเสด็จมา แต่...

...ทุก​คน​ที่​วาง​ใจ​ใน​พระ​บุตร​นั้น​จะ​ไม่​พินาศ แต่​มี​ชีวิต​นิรันดร์ (ยอห์น 3:16 THSV2011)

ข้อสอง คำคำนี้ มีความหมายเพื่อกล่าวถึงบางสิ่งซึ่งจริง เมื่อสิ่งนี้เป็นบุคคลบุคคลหนึ่ง นี่จึงหมายถึงการวางใจบุคคลเหล่านี้ว่าเขาเป็นเช่นนั้นและทำในสิ่งซึ่งเขาได้กล่าวไว้

ข้อสาม ยอห์น 1:11-12 ได้แสดงให้เห็นว่าคำอีกคำหนึ่งที่ยอห์นมีอยู่ในความคิดเพื่ออธิบายถึงการเชื่อ คือ การยอมรับ (ต้อนรับ)

11 พระ​องค์​เสด็จ​มา​ยัง​บ้าน​เมือง​ของ​พระ​องค์ แต่​ชาว​บ้าน​ชาว​เมือง​ของ​พระ​องค์​ไม่​ต้อน​รับ​พระ​องค์
12 แต่​ทุก​คน​ที่​ยอม​รับ​พระ​องค์ คือ​คน​ที่​เชื่อ​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์​นั้น พระ​องค์​ก็​จะ​ประ​ทาน​สิทธิ​ให้เป็น​ลูก​ของ​พระเจ้า (ยอห์น 1:11-12 THSV2011)

ดังนั้น การยอมรับพระเยซู และการเชื่อพระองค์ จึงเป็นการอธิบายซึ่งกันและกัน

ข้อสี่ ถ้าหากเราถามว่า "ยอมรับพระองค์ให้เป็นสิ่งใด?" คำตอบก็คือ "ยอมรับพระองค์ดังที่พระองค์ทรงเป็น"

ตัวอย่างเช่นในยอห์น 6:35 พระเยซูตรัสว่า

พระ​เยซู​ตรัส​กับ​พวก​เขา​ว่า "เรา​เป็น​อาหาร​แห่ง​ชีวิต คน​ที่​มา​หา​เรา​จะ​ไม่​หิว และ​คน​ที่​วาง​ใจ​ใน​เรา​จะ​ไม่​กระ​หาย​อีก​เลย" (ยอห์น 6:35 THSV2011)

ดังนั้น การเชื่อในที่นี้ หมายถึงการมาหาพระเยซู และยอมรับพระองค์ให้เป็นอาหารและเครื่องดื่มที่จะตอบสนองความต้องการของจิตวิญญาณของเรา นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวเกี่ยวกับการยอมรับพระองค์ดั่งเป็นขุมทรัพย์ของเรา

แผ่น​ดิน​สวรรค์​เปรียบ​เหมือน​ขุม​ทรัพย์​ที่​ซ่อน​ไว้​ใน​ทุ่ง​นา เมื่อ​มี​ผู้​พบ​แล้ว​ก็​กลับ​ซ่อน​เสีย​อีก และ​เพราะ​ความ​ยินดี​จึง​ไป​ขาย​ทุก​สิ่ง​ที่​เขา​มี​อยู่​แล้ว​ไป​ซื้อ​นา​นั้น (มัทธิว 13:44 THSV2011)

และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ความเชื่อจึงเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง

 

ศจ. ดร. จอห์น ไพเพอร์

คำเทศนาในชุด "พระกิตติคุณจอห์น"

หัวข้อ "พระเจ้าทรงรักโลก ตอนที่ 1"

เมื่อวันที่ 03/05/2009

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 

For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/sermons/god-so-loved-the-world-part-1

 
.

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

God So Loved the World, Part 1 - พระเจ้าทรง​รักโลก ตอนที่ 1 (6)

4. Son

"For God so loved the world, that he gave his only Son. . ." Muslims and others stumble over the idea of God having a Son. So let me say a few things that are crystal clear in John's Gospel, even though mysterious. God did not have sexual relations with Mary in order to have a Son. Turn back to chapter 1 where John gave us our basic understanding of the Son of God.

John 1:1

 
: "In the beginning was the Word, and the Word was with God, and the Word was God." So here we are introduced to the Word. And we are told three things about him. One, he is God. "The Word was God." Two, he is with God, and therefore distinct from God. "The word was with God." And third, he was therefore always in existence and never came to be. "In the beginning was the Word."

Then look at verse 14: "And the Word became flesh and dwelt among us, and we have seen his glory, glory as of the only Son from the Father." This verse clarifies three things for us.

First, the Word of God referred in verse 1 is the Son of God. "The Word became flesh and . . . we have seen his glory, glory as of the only Son . . . ."

Second, God, with whom the Word was, and from whom he is distinct, is God the Father. He is "the only Son from the Father." "In the beginning was the Word, and the
Word was with God." He was with God the Father.

Third, therefore, Jesus is the Son of God not because the Father had sex with Mary, but because the Son has always existed, without beginning, as "the radiance of the glory of God and the exact imprint of his nature" (Hebrews 1:3

 
). He is fully God. And the Father is fully God. And along with God the Spirit, they are one God, one divine nature. One essence and three persons in an eternal, perfect, joyful relationship.

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 


4. พระบุตร

พระ​เจ้า​ทรง​รัก​โลก​ดัง​นี้ คือ​ได้​ประทาน​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ของ​พระ​องค์... (ยอห์น 3:16 THSV2011)

มุสลิมและผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ ได้สะดุดกับความคิดที่ว่า พระเจ้าทรงมีพระบุตร ดังนั้นจึงขอให้ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงบางสิ่งที่ชัดเจนอย่างยิ่งในพระกิตติคุณยอห์น แม้ว่าจะล้ำลึกก็ตาม พระเจ้าไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับมารีย์เพื่อที่จะมีพระบุตร ขอที่เราจะย้อนกลับไปที่บทที่ 1 ที่ซึ่งยอห์นได้ให้ความเข้าใจพื้นฐานแก่เราเกี่ยวกับพระบุตรของพระเจ้า

ใน​ปฐม​กาล​พระ​วาทะ​ทรง​ดำรง​อยู่ และ​พระ​วาทะ​ทรง​อยู่​กับ​พระ​เจ้า และ​พระ​วาทะ​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า (ยอห์น 1:1 THSV2011)

ดังนั้นในที่นี้ ยอห์นได้แนะนำเราให้รู้จักกับพระวาทะ และได้บอกเราถึง 3 สิ่งเกี่ยวกับพระองค์

สิ่งแรก คือ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า

...และ​พระ​วาทะ​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า (ยอห์น 1:1 THSV2011)

สิ่งที่สอง คือ พระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้า และดังนั้นจึงทรงแยกกันชัดเจนจากพระเจ้า

...​พระ​วาทะ​ทรง​อยู่​กับ​พระ​เจ้า... (ยอห์น 1:1 THSV2011)

และสิ่งที่สาม คือ พระองค์ทรงดำรงอยู่เสมอ และไม่เคยที่จะเกิดขึ้นมา

ใน​ปฐม​กาล​พระ​วาทะ​ทรง​ดำรง​อยู่... (ยอห์น 1:1 THSV2011)

 

เมื่อเราดูที่ข้อ 14

พระ​วาทะ​ทรง​เกิด​เป็น​มนุษย์​และ​ทรง​อยู่​ท่าม​กลาง​เรา เรา​เห็น​พระ​สิริ​ของ​พระ​องค์ คือ พระ​สิริ​ที่​สม​กับ​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ของ​พระบิดา บริ​บูรณ์​ด้วย​พระ​คุณ​และ​ความ​จริง (ยอห์น 1:14 THSV2011)

ข้อนี้ได้ให้ความกระจ่างแก่เรา 3 สิ่ง

สิ่งแรก คือ พระวาทะของพระเจ้าที่กล่าวถึงในข้อ 1 คือพระบุตรของพระเจ้า

พระ​วาทะ​ทรง​เกิด​เป็น​มนุษย์​และ​...เรา​เห็น​พระ​สิริ​ของ​พระ​องค์ คือ พระ​สิริ​ที่​สม​กับ​พระ​บุตร​องค์​เดียว​... (ยอห์น 1:14 THSV2011)

สิ่งที่สอง คือ พระเจ้า ผู้ซึ่งพระวาทะทรงเป็น และผู้ซึ่งพระวาทะทรงแยกอย่างชัดเจน คือพระเจ้าพระบิดา พระวาทะทรงเป็น "พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา"

ใน​ปฐม​กาล​พระ​วาทะ​ทรง​ดำรง​อยู่ และ​พระ​วาทะ​ทรง​อยู่​กับ​พระ​เจ้า... (ยอห์น 1:1 THSV2011)

พระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้าพระบิดา

สิ่งที่สาม ด้วยเหตุนี้ พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะว่าพระบิดาได้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับมารีย์ แต่เป็นเพราะว่าพระบุตรทรงดำรงอยู่เสมอ ไม่มีจุดเริ่มต้น

พระ​บุตร​ทรง​เป็น​แสง​สว่างแห่ง​พระ​สิริ​ของ​พระ​เจ้า ทรง​มี​แก่น​แท้​เดียว​กับ​พระ​เจ้า ทรง​ค้ำจุน​สิ่ง​ทั้ง​ปวง​ไว้​ด้วย​พระ​วจนะ​อัน​ทรง​ฤทธา​นุภาพ​ของ​พระ​องค์ เมื่อ​พระ​องค์​ทรง​ชำระ​บาป​ทั้ง​หลาย​แล้ว ก็​ประ​ทับ​เบื้อง​ขวา​ของ​พระ​เจ้า​สูง​สุด (ฮีบรู 1:3 THSV2011)

พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ และพระบิดาก็ทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ และร่วมกับพระเจ้าพระวิญญาณ ทั้งสามองค์ทรงเป็นพระเจ้าเดียว ธรรมชาติของพระเจ้าเดียวกัน มีแก่นแท้เดียว และ 3 พระบุคคล ในความสัมพันธ์อันนิรันดร์ สมบูรณ์แบบ และเปี่ยมด้วยความสุข

 

ศจ. ดร. จอห์น ไพเพอร์

คำเทศนาในชุด "พระกิตติคุณจอห์น"

หัวข้อ "พระเจ้าทรงรักโลก ตอนที่ 1"

เมื่อวันที่ 03/05/2009

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 

For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/sermons/god-so-loved-the-world-part-1

 
.

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

God So Loved the World, Part 1 - พระเจ้าทรง​รักโลก ตอนที่ 1 (5)

3. Gave

"For God so loved the world, that he gave. . ." Two things need to be said about this giving. One is that it is a giving from heaven. And the other is that it is a giving, not just to come to earth, but to die. Verse 17 replaces the word give with send. "For God did not send his Son into the world to condemn the world, but in order that the world might be saved through him." So the giving of verse 16 is God's sending his Son into the world on a mission from heaven.

In John 10:17–18

 
, we see what the climax of that mission from the Father is. Jesus says, "For this reason the Father loves me, because I lay down my life that I may take it up again. No one takes it from me, but I lay it down of my own accord. I have authority to lay it down, and I have authority to take it up again. This charge I have received from my Father." That last sentence shows that the reason the Father sent the Son was so that the Son would lay down his life. "I lay it down of my own accord. . . . This charge I have received from my father."

So when John 3:16

 
says, "For God so loved the world that he gave . . .", the giving is God sending his Son to earth on a mission to die. It's just as amazing—only a million times more so—as if you should say to your son, "There is something I want you to do for me: I have some enemies that deserve to perish, and I want you to go and die in their place, so that they can have eternal life." Whatever else you know about God, make sure you know he is like that.

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 


3. ประทาน

พระ​เจ้า​ทรง​รัก​โลก​ดัง​นี้ คือ​ได้​ประทาน​... (ยอห์น 3:16 THSV2011)

2 สิ่งซึ่งจำเป็นที่จะต้องถูกกล่าวถึงเกี่ยวการประทานในที่นี้ สิ่งแรกคือ นี่เป็นการประทานจากสวรรค์ และอีกสิ่งหนึ่ง คือ นี่เป็นการประทาน ไม่ใช่เพียงแค่การเสด็จมายังโลกนี้ แต่เป็นการเสด็จมาเพื่อสิ้นพระชนม์

ข้อ 17 ได้แทนที่คำว่า "ประทาน" ด้วยคำว่า "ทรงให้เข้ามา" (ส่ง)

เพราะ​ว่า​พระ​เจ้า​ทรง​ให้​พระ​บุตร​เข้า​มา​ใน​โลก ไม่​ใช่​เพื่อ​พิ​พาก​ษา​โลก แต่​เพื่อ​ช่วย​กู้​โลก​ให้​รอด​โดย​พระ​บุตร​นั้น (ยอห์น 3:17 THSV2011)

ดังนั้น การประทานของข้อ 16 คือ การที่พระเจ้าได้ให้พระบุตรเข้ามาในโลกด้วยพันธกิจหนึ่งจากสวรรค์

ในยอห์น 10:17-18 เราเห็นถึงว่าจุดสำคัญสุดของพันธกิจนี้จากพระเจ้าคืออะไร พระเยซูตรัสว่า

17 เพราะ​เหตุ​นี้​พระ​บิดา​จึง​ทรง​รัก​เรา เพราะ​เรา​สละ​ชีวิต​ของ​เรา​เพื่อ​จะ​รับ​ชีวิต​นั้น​คืน​มา​อีก
18 ไม่​มี​ใคร​ชิง​ชีวิต​ไป​จาก​เรา​ได้ แต่​เรา​สละ​ชีวิต​ตาม​ที่​เรา​ตั้ง​ใจ​เอง เรา​มี​สิทธิ​อำ​นาจ​ที่​จะ​สละ​ชีวิต​นั้น​และ​มี​สิทธิ​อำนาจ​ที่​จะ​รับ​คืน​มา​อีก คำ​กำ​ชับ​นี้​เรา​ได้​รับ​มา​จาก​พระ​บิดา​ของ​เรา (ยอห์น 10:17-18 THSV2011)

ประโยคสุดท้ายนี้ได้แสดงว่าเหตุผลที่พระบิดาทรงให้พระบุตรมา ก็เพื่อที่พระบุตรจะได้สละชีวิตของพระองค์

...เรา​สละ​ชีวิต​ตาม​ที่​เรา​ตั้ง​ใจ​เอง...คำ​กำ​ชับ​นี้​เรา​ได้​รับ​มา​จาก​พระ​บิดา​ของ​เรา (ยอห์น 10:18 THSV2011)

ดังนั้น เมื่อยอห์น 3:16 ได้กล่าวว่า

พระ​เจ้า​ทรง​รัก​โลก​ดัง​นี้ คือ​ได้​ประทาน​... (ยอห์น 3:16 THSV2011)

การประทาน คือการที่พระเจ้าทรงให้พระบุตรของพระองค์มายังโลกนี้ เพื่อทำพันธกิจในการสิ้นพระชนม์ นี่ช่างเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากยิ่งกว่าที่คุณจะกล่าวกับบุตรชายของคุณว่า "มีสิ่งหนึ่งที่พ่ออยากให้ลูกทำเพื่อพ่อ พ่อมีศัตรูบางคนที่สมควรที่จะพินาศ แต่พ่อต้องการให้ลูกไปและตายแทนที่พวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์" เป็นมากกว่าล้านเท่า

สิ่งอื่นใดก็ตามที่คุณได้รู้เกี่ยวกับพระเจ้า จงใคร่ครวญให้มั่นใจว่าคุณได้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นเช่นนั้น

 

ศจ. ดร. จอห์น ไพเพอร์

คำเทศนาในชุด "พระกิตติคุณจอห์น"

หัวข้อ "พระเจ้าทรงรักโลก ตอนที่ 1"

เมื่อวันที่ 03/05/2009

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 

For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/sermons/god-so-loved-the-world-part-1

 
.

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

God So Loved the World, Part 1 - พระเจ้าทรง​รักโลก ตอนที่ 1 (4)

2. World

"For God so loved the world . . ." The most common meaning for world in John is the created and fallen totality of mankind. John 7:7

 
: "The world cannot hate you, but it hates me because I testify about it that its works are evil." John 14:17
 
: ". . . the Spirit of truth, whom the world cannot receive, because it neither sees him nor knows him."

That is the way John is using world here. It is the great mass of fallen humanity that needs salvation. It's the countless number of perishing people from whom the "whoevers" come in the second part of the verse: ". . . that whoever believes in him should not perish." The world is the great ocean of perishing sinners from whom the whoever comes.

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 


2. โลก

พระ​เจ้า​ทรง​รัก​โลก... (ยอห์น 3:16 THSV2011)

ความหมายที่พบได้บ่อยที่สุดสำหรับคำว่า "โลก" ในพระธรรมยอห์น คือ ทั้งหมดของสิ่งที่ถูกสร้างและได้ล้มลงของมวลมนุษยชาติ

โลก​เกลียด​ชัง​พวก​น้อง​ไม่​ได้ แต่​โลก​เกลียด​ชัง​เรา เพราะ​เรา​เป็น​พยาน​ว่า​การ​งาน​ของ​โลก​นี้​ชั่ว​ร้าย (ยอห์น 7:7 THSV2011)

คือ​พระ​วิญ​ญาณ​แห่ง​ความ​จริง​ซึ่ง​โลก​รับ​ไว้​ไม่​ได้ เพราะ​มอง​ไม่​เห็น​และ​ไม่​รู้​จัก​พระ​องค์ พวก​ท่าน​รู้​จัก​พระ​องค์​เพราะ​พระ​องค์​สถิต​อยู่​กับ​ท่าน และ​จะ​ประ​ทับ​อยู่​ท่าม​กลาง​ท่าน (ยอห์น 14:17 THSV2011)

นั่นคือหนทางที่ยอห์นใช้เมื่อกล่าวถึงโลกในที่นี้ นี่เป็นมวลที่ใหญ่ของมนุษย์ที่ได้ล้มลง ซึ่งต้องการความรอด นี่เป็นจำนวนที่เหนือจะคณานับได้ของผู้คนที่กำลังจะได้รับความพินาศ และ "ทุกคน" จากผู้คนเหล่านี้เอง ได้ปรากฎขึ้นมาในส่วนที่สองของพระคำข้อนี้

...เพื่อ​ทุก​คน​ที่​วาง​ใจ​ใน​พระ​บุตร​นั้น​จะ​ไม่​พินาศ (ยอห์น 3:16 THSV2011)

โลกที่กล่าวถึงนี้ เป็นเหมือนมหาสมุทรที่ยิ่งใหญ่ของคนบาปที่กำลังจะพินาศ และจากกลุ่มคนเหล่านี้เอง ที่คำว่า "ทุกคน" ได้ปรากฎขึ้นมา

 

ศจ. ดร. จอห์น ไพเพอร์

คำเทศนาในชุด "พระกิตติคุณจอห์น"

หัวข้อ "พระเจ้าทรงรักโลก ตอนที่ 1"

เมื่อวันที่ 03/05/2009

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 

For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/sermons/god-so-loved-the-world-part-1

 
.

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

God So Loved the World, Part 1 - พระเจ้าทรง​รักโลก ตอนที่ 1 (3)

Seven Massive Realities in John 3:16
 

But first, there are great and awesome things to be clarified in this verse. Seven massively important words—representing seven great realities—that we need to understand so that the power and preciousness of this famous verse can have its full effect. And O how I hope you Bethlehem believers know that such a foundational verse is not just for beginners. It is high-level, high-voltage shock therapy for marriage struggles and single struggles and teenage struggles.

So let's turn first to the seven big words in verse 16.

1. God

"For God so loved . . ." There is no reason to think that Jesus means any other God than the God of the Old Testament. He is the all-powerful Creator and Sustainer of the universe. He is personal and not a mere force, meaning he thinks and wills and feels. He loves, and he hates. And as personal, he is moral—that is, he deals with us in terms of right and wrong and good and bad. And as moral, he is unwaveringly righteous. He only does what is right. And the infinite worth of what he is defines what is right. To do right is to think and feel and act in a way that accords with (is in harmony with) God's infinite worth.

All of us were made by this God, and our first and highest duty and reason for being is to honor him and give him thanks (Romans 1:21

 
). We have all failed, and we are all under his righteous displeasure. This is what makes John 3:16
 
so needed and so precious. It describes the way God is acting to rescue us from this condition.

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 


ความจริงที่ยิ่งใหญ่ 7 ประการในยอห์น 3:16

แต่ก่อนอื่น มีสิ่งที่ยิ่งใหญ่และน่ายำเกรงหลายอย่างที่จะได้รับการอธิบายให้เข้าใจในข้อนี้ เป็น 7 คำที่สำคัญอย่างมาก และเป็นตัวแทนของความจริงที่ยิ่งใหญ่ 7 ประการ ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจ เพื่อที่ฤทธิ์เดชและคุณค่าของพระคัมภีร์ข้อนี้จะส่งผลได้อย่างเต็มขนาด และข้าพเจ้าหวังว่าผู้เชื่อที่เป็นสมาชิกคริสตจักรเบ็ธเลเฮมจะรู้ว่า ข้อพระคัมภีร์ที่เป็นรากฐานข้อนี้ไม่ใช่มีไว้สำหรับผู้เริ่มต้นเท่านั้น นี่เป็นการรักษาชั้นสูงด้วยไฟฟ้าแรงสูงสำหรับการต่อสู้ของชีวิตคู่ และการต่อสู้ของชีวิตโสด และการต่อสู้ของคนหนุ่มสาว

ขอที่เราจะก้าวเข้าสู่คำใหญ่ 7 คำในข้อ 16 นี้

 

1. พระเจ้า

พระ​เจ้า​ทรง​รัก... (ยอห์น 3:16 THSV2011)

ไม่มีเหตุผลที่จะคิดว่าพระเยซูทรงหมายถึงพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากพระเจ้าแห่งพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด และเป็นผู้ที่ทรงค้ำจุนจักรวาลไว้ให้มั่นคง พระองค์ทรงเป็นบุคคล และไม่ใช่เป็นเพียงกำลัง หมายความว่าพระองค์ทรงคิด ทรงต้องการ และทรงรู้สึก พระองค์ทรงรักและทรงเกลียดชัง และในขณะเดียวกันกับที่พระองค์ทรงเป็นบุคคล พระองค์ทรงมีศีลธรรม นั่นคือ พระองค์จะทรงจัดการกับเราในด้านความถูกต้องและความผิด ความดีและความเลว และขณะที่ทรงมีศีลธรรม พระองค์ทรงชอบธรรมอย่างไม่แปรปรวน พระองค์ทรงทำเฉพาะสิ่งที่ถูกต้อง และคุณค่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดของสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นนั้นได้บอกแก่เราถึงสิ่งที่ถูกต้อง การทำสิ่งที่ถูกต้องเป็นการคิดและรู้สึกและกระทำในวิถีทางที่สัมพันธ์กับ หรือสอดคล้องกับคุณค่าที่ไม่มีที่สุดของพระเจ้า

เราทุกคนถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าองค์นี้ และหน้าที่แรกและสูงสุดของเรา และเหตุผลของการที่เรามีชีวิตอยู่ ก็เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าและขอบพระคุณพระองค์

เพราะ​ถึง​แม้​ว่า​เขา​ได้​รู้จัก​พระ​เจ้า​แล้ว เขา​ก็​ไม่​ได้​ถวาย​พระ​เกียรติ​แด่​พระ​องค์​ให้​สม​กับ​ที่​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า หรือ​ขอบ​พระ​คุณ​พระ​องค์ แต่​พวก​เขา​กลับ​คิด​ใน​สิ่ง​ที่​ไม่​เป็น​สาระ และ​จิต​ใจ​โง่​เขลา​ของ​เขา​ก็​มืด​มัว​ไป (โรม 1:21 THSV2011)

เราทุกคนได้ล้มเหลว และเราทุกคนอยู่ภายใต้ความไม่พอพระทัยอันชอบธรรมของพระองค์ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ยอห์น 3:16 เป็นสิ่งที่ได้รับความต้องการอย่างมากและมีค่าอย่างมาก นี่อธิบายถึงวิถีทางที่พระเจ้าทรงทำในการที่จะช่วยเราให้รอดพ้นจากสภาวะนี้

 

ศจ. ดร. จอห์น ไพเพอร์

คำเทศนาในชุด "พระกิตติคุณจอห์น"

หัวข้อ "พระเจ้าทรงรักโลก ตอนที่ 1"

เมื่อวันที่ 03/05/2009

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 

For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/sermons/god-so-loved-the-world-part-1

 
.

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

God So Loved the World, Part 1 - พระเจ้าทรง​รักโลก ตอนที่ 1 (2)

The Tension in John 3

We will ask, How does God love us in this passage? How does the love of God for the world in verse 16 relate to the work of the Spirit of God in verse 8? There seems to be a tension here. Many feel it, and many people try to remove the tension in a way that dishonors the meaning either of verse 8 or verse 16.

On the one hand, verse 8 says that God the Spirit blows where he wills and makes alive whom he chooses. "The wind blows where it wishes, and you hear its sound, but you do not know where it comes from or where it goes. So it is with everyone who is born of the Spirit." God is free. And it is he, and not we, who has the final, decisive say in who among the spiritually rebellious and dead will be raised to new life. None of us deserves to be made alive. And none of us has the power to make it happen. If anybody is rescued, God does it.

But on the other hand, John 3:16

 
says, "God so loved the world, that he gave his only Son, that whoever believes in him should not perish but have eternal life." This surely means that God is loving all and offering all eternal life—the very life that the Spirit gives in verse 8.

That is what we will try to understand next week. And I will tip you off that I have been very helped in this by Don Carson's book The Difficult Doctrine of the Love of God

 
. It's less than 90 pages. It's understandable, and it is very good. I hope many of you will read it. (You can listen to Carson on the love of God here
 
.)

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 


ความตึงเครียดในยอห์นบทที่ 3

เราจะถามว่า พระเจ้ารักเราอย่างไร ในพระคัมภีร์ตอนนี้? ความรักของพระเจ้าสำหรับโลกในข้อ 16 มีความเกี่ยวข้องกับพระราชกิจของพระวิญญาณของพระเจ้าในข้อ 8 อย่างไร? ดูเหมือนจะมีความตึงเครียดในที่นี่ หลายคนรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดนี้ และหลายคนพยายามที่จะกำจัดความตึงเครียดนี้ออกไปด้วยวิธีที่ทำให้ความหมายของข้อ 8 หรือข้อ 16 เสียไป

ในทางหนึ่ง ข้อ 8 กล่าวว่า พระเจ้าพระวิญญาณจะเคลื่อนไปในที่ที่พระองค์ทรงประสงค์ที่จะไป และจะทำให้ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกไว้กลับมีชีวิตขึ้นมา

ลม​จะ​พัด​ไป​ที่​ไหน​ก็​พัด​ไป​ที่​นั่น และ​ท่าน​ได้​ยิน​เสียง​ลม​นั้น​แต่​ไม่​รู้​ว่า​ลม​มา​จาก​ไหน​และ​ไป​ที่​ไหน คน​ที่​เกิด​จาก​พระ​วิญ​ญาณ ก็​เป็น​อย่าง​นั้น​ทุก​คน (ยอห์น 3:8 THSV2011)

พระเจ้าทรงมีอิสระ และเป็นพระองค์ ไม่ใช่พวกเรา ที่จะกล่าวสรุปตัดสินว่าในผู้ใดท่ามกลางผู้ที่เป็นกบฎฝ่ายวิญญาณและตายแล้ว จะได้รับการชุบชีวิตสู่ชีวิตใหม่ ไม่มีใครในพวกเราที่สมควรที่จะได้รับชีวิต และไม่มีใครท่ามกลางพวกเราที่มีอำนาจที่จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ถ้าผู้ใดได้รับการช่วยชีวิต พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่กระทำ

แต่ขณะเดียวกัน ยอห์น 3:16 ก็กล่าวว่า

พระ​เจ้า​ทรง​รัก​โลก​ดัง​นี้ คือ​ได้​ประทาน​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ของ​พระ​องค์ เพื่อ​ทุก​คน​ที่​วาง​ใจ​ใน​พระ​บุตร​นั้น​จะ​ไม่​พินาศ แต่​มี​ชีวิต​นิรันดร์ (ยอห์น 3:16 THSV2011)

แน่นอน นี่ย่อมหมายความว่าพระเจ้าทรงรักทุกคน และทรงประทานชีวิตนิรันดร์แก่ทุกคน ทุกชีวิตที่พระวิญญาณได้ทรงประทานให้ในข้อ 8

นี่เป็นสิ่งที่เราจะพยายามทำความเข้าใจในอาทิตย์ต่อไป และข้าพเจ้าจะบอกเคล็ดลับแก่คุณว่าข้าพเจ้าได้รับการช่วยอย่างมากจากหนังสือที่เขียนโดยดอน คาร์สัน (Don Carson) ที่ชื่อว่า หลักคำสอนที่ยากของความรักของพระเจ้า (The Difficult Doctrine of the Love of God) หนังสือเล่มนี้มีน้อยกว่า 90 หน้า เป็นหนังสือที่อ่านเข้าใจได้ และดีมาก ข้าพเจ้าหวังว่าหลายท่านในที่นี่จะอ่านหนังสือเล่มนี้ (คุณสามารถฟังคาร์สัน เรื่องความรักของพระเจ้า ที่นี่ http://s3.amazonaws.com/tgc-audio/carson/20060501_love_of_God.mp3

 
)

 

ศจ. ดร. จอห์น ไพเพอร์

คำเทศนาในชุด "พระกิตติคุณจอห์น"

หัวข้อ "พระเจ้าทรงรักโลก ตอนที่ 1"

เมื่อวันที่ 03/05/2009

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 

For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/sermons/god-so-loved-the-world-part-1

 
.

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

God So Loved the World, Part 1 - พระเจ้าทรงรักโลก (1)

John 3:9–18

 

Nicodemus said to him, "How can these things be?" 10 Jesus answered him, "Are you the teacher of Israel and yet you do not understand these things? 11 Truly, truly, I say to you, we speak of what we know, and bear witness to what we have seen, but you do not receive our testimony. 12 If I have told you earthly things and you do not believe, how can you believe if I tell you heavenly things? 13 No one has ascended into heaven except he who descended from heaven, the Son of Man. 14 And as Moses lifted up the serpent in the wilderness, so must the Son of Man be lifted up, 15 that whoever believes in him may have eternal life. 16 "For God so loved the world, that he gave his only Son, that whoever believes in him should not perish but have eternal life. 17 For God did not send his Son into the world to condemn the world, but in order that the world might be saved through him. 18 Whoever believes in him is not condemned, but whoever does not believe is condemned already, because he has not believed in the name of the only Son of God."

We focus today, and Lord willing next week, on one of the most famous verses in the Bible and the two verses following it that are given to clarify and support it.

For God so loved the world, that he gave his only Son, that whoever believes in him should not perish but have eternal life. For God did not send his Son into the world to condemn the world, but in order that the world might be saved through him. Whoever believes in him is not condemned, but whoever does not believe is condemned already, because he has not believed in the name of the only Son of God. (John 3:16–18

 
)

It is not hard to see why verse 16 is one of the most famous, most often memorized, most cherished verses in the Bible. Packed into this verse are the greatest realities that exist. God. Love. The world. The Son of God. Faith. Perishing forever. Living forever. Whoever—you, or not. These are the greatest things that can be. What could be more important? What could be more relevant for you right now? What could be more urgent for you or momentous for you than to know where you stand in relation to what God says to you in this verse?

So here's what I think we should do with John 3:16

 
. Today we will walk through it once, pausing over each of the big words (except loved) and commenting on each of them: God, World, Gave, Son, Believe, Perish, Life. And we will seek to apply that to ourselves as we go along. Then next week, if God wills, we will go back and devote a whole message to the one great word that we pass over today, namely, the word loved—"For God so loved . . ."

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 



9 นิ​โค​เด​มัส​ทูล​พระ​องค์​ว่า "เหตุ​การณ์​อย่าง​นี้​จะ​เป็น​ไป​ได้​อย่าง​ไร​?"
10 พระ​เยซู​ตรัส​ตอบ​เขา​ว่า "ท่าน​เป็น​ถึง​อา​จารย์​ของ​คน​อิส​รา​เอล ท่าน​ไม่​เข้า​ใจ​สิ่ง​เหล่า​นี้​เลย​หรือ​?
11 เรา​บอก​ความ​จริง​กับ​ท่าน​ว่า เรา​พูด​สิ่ง​ที่​เรา​รู้ และ​เป็น​พยาน​ถึง​สิ่ง​ที่​เรา​เห็น แต่​พวก​ท่าน​ไม่​ยอม​รับ​คำ​พยาน​ของ​เรา
12 ถ้า​เรา​บอก​พวก​ท่าน​ถึง​สิ่ง​ต่างๆ ทาง​ฝ่าย​โลก​และ​พวก​ท่าน​ไม่​เชื่อ แล้ว​ท่าน​จะ​เชื่อ​ได้​อย่าง​ไร​ถ้า​เรา​บอก​ท่าน​ถึง​สิ่ง​ต่างๆ ทาง​ฝ่าย​สวรรค์
13 ไม่​มี​ใคร​เคย​ขึ้น​ไป​สวรรค์​นอก​จาก​ผู้​ที่​ลง​มา​จาก​สวรรค์ คือ​บุตร​มนุษย์
14 โม​เสส​ยก​งู​ขึ้น​ใน​ถิ่น​ทุร​กัน​ดาร​อย่าง​ไร บุตร​มนุษย์​จะ​ต้อง​ถูก​ยก​ขึ้น​อย่าง​นั้น
15 เพื่อ​ทุก​คน​ที่​วาง​ใจ​พระ​องค์​จะ​ได้​ชีวิต​นิรันดร์"
16 พระ​เจ้า​ทรง​รัก​โลก​ดัง​นี้ คือ​ได้​ประทาน​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ของ​พระ​องค์ เพื่อ​ทุก​คน​ที่​วาง​ใจ​ใน​พระ​บุตร​นั้น​จะ​ไม่​พินาศ แต่​มี​ชีวิต​นิรันดร์
17 เพราะ​ว่า​พระ​เจ้า​ทรง​ให้​พระ​บุตร​เข้า​มา​ใน​โลก ไม่​ใช่​เพื่อ​พิ​พาก​ษา​โลก แต่​เพื่อ​ช่วย​กู้​โลก​ให้​รอด​โดย​พระ​บุตร​นั้น
18 คน​ที่​วาง​ใจ​ใน​พระ​บุตร​จะ​ไม่​ถูก​พิ​พาก​ษา ส่วน​คน​ที่​ไม่​ได้​วาง​ใจ​ก็​ถูก​พิ​พาก​ษา​อยู่​แล้ว เพราะ​เขา​ไม่​ได้​วาง​ใจ​ใน​พระ​นาม​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ของ​พระ​เจ้า (ยอห์น 3:9-18 THSV2011) 


วันนี้เราจะเน้นที่ข้อพระคัมภีร์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดข้อหนึ่ง รวมถึง 2 ข้อที่ต่อจากนั้น ซึ่งจะกล่าวถึงเพื่อเพิ่มความกระจ่างและสนับสนุนข้อพระคัมภีร์ข้อนี้

16 พระ​เจ้า​ทรง​รัก​โลก​ดัง​นี้ คือ​ได้​ประทาน​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ของ​พระ​องค์ เพื่อ​ทุก​คน​ที่​วาง​ใจ​ใน​พระ​บุตร​นั้น​จะ​ไม่​พินาศ แต่​มี​ชีวิต​นิรันดร์
17 เพราะ​ว่า​พระ​เจ้า​ทรง​ให้​พระ​บุตร​เข้า​มา​ใน​โลก ไม่​ใช่​เพื่อ​พิ​พาก​ษา​โลก แต่​เพื่อ​ช่วย​กู้​โลก​ให้​รอด​โดย​พระ​บุตร​นั้น
18 คน​ที่​วาง​ใจ​ใน​พระ​บุตร​จะ​ไม่​ถูก​พิ​พาก​ษา ส่วน​คน​ที่​ไม่​ได้​วาง​ใจ​ก็​ถูก​พิ​พาก​ษา​อยู่​แล้ว เพราะ​เขา​ไม่​ได้​วาง​ใจ​ใน​พระ​นาม​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ของ​พระ​เจ้า (ยอห์น 3:16-18 THSV2011)

ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจว่าเหตุไรข้อ 16 จึงเป็นข้อที่รู้จักกันดีที่สุดข้อหนึ่ง เป็นข้อที่มีผู้ท่องจำมากที่สุด และมีผู้ที่รักมากที่สุดในพระคัมภีร์ ความจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้ถูกบรรจุอยู่ในข้อนี้ พระเจ้า ความรัก โลก พระบุตรของพระเจ้า ความเชื่อ ความพินาศตลอดกาล การมีชีวิตตลอดกาล ทุกคน - รวมถึงคุณ หรืออาจจะไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สามารถจะเป็นได้ อะไรจะสำคัญมากไปกว่านี้ได้? อะไรจะเกี่ยวข้องกับคุณ ณ บัดนี้ ได้มากกว่าสิ่งนี้? อะไรจะเร่งด่วนหรือสำคัญสำหรับคุณในเวลานี้ได้มากกว่าการที่ได้รู้ว่าคุณยืนอยู่ที่ใดในความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับคุณในข้อนี้?

ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะทำกับพระธรรม ยอห์น 3:16 วันนี้เราจะดำเนินผ่านพระคัมภีร์ข้อนี้ครั้งหนึ่ง หยุดที่คำสำคัญต่าง ๆ (ยกเว้นคำว่า รัก) และแสดงข้อคิดเห็นกับแต่ละคำเหล่านี้: พระเจ้า โลก ประทาน พระบุตร วางใจ พินาศ ชีวิต

และเราจะเสาะหาที่จะประยุกต์สิ่งนี้กับชีวิตของเราเองขณะที่เราศึกษา และในสัปดาห์หน้า ถ้าหากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เราก็จะกลับมาและอุทิศข้อความทั้งหมดให้กับคำที่ยิ่งใหญ่คำนั้นที่เราข้ามไปในวันนี้ นั่นคือ คำว่า "รัก" "พระเจ้าทรงรักโลก"

 

ศจ. ดร. จอห์น ไพเพอร์

คำเทศนาในชุด "พระกิตติคุณจอห์น"

หัวข้อ "พระเจ้าทรงรักโลก ตอนที่ 1"

เมื่อวันที่ 03/05/2009

 

By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org

 

For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/sermons/god-so-loved-the-world-part-1

 
.

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

Colossians Lesson 4 (Colossians 3-4): What A Worthy Life Looks Like - ลักษณะของชีวิตที่สมควร (7)

III. Characteristics of a Worthy Life (3)

5. A Worthy Life Has Proper Relationships

"18 Wives, submit to your own husbands, as is fitting in the Lord.
19 Husbands, love your wives and do not be bitter toward them." (Colossians 3:18-19 NKJV)

- Wife to Husband

The bible says that wife have to submit to her husband.

"Submit" here means to defer, surrender, or follow as to the LORD. Submit as she would to the Lord.

From the biblical perspective, a husband has a higher priority. But submission does not mean obey. And the word "obey" is for children.

As a husband, he is not a father or master, and his wife is not a child. Husband is not a king or a ruler. Husband is the spiritual leader of a house, and wife should submit to husband as she would to the Lord.  Be careful to apply the scripture.

- Husband to Wife

A husband is to love his wife, as Christ loves the church and gave Himself for her. Christ gave Himself sacrificially for the church. He came to serve, not to be served. Then husband should serve his wife, give himself sacrificially, even to death, for her. It will cost all his life, not just money.

It's not about himself, but all about her. Love is to focus on others. Put her into the focus. Woman needs love from her husband.

This command is an unconditional demand. Love your wife regardless of whether she submit to you or not.

As a husband, our responsibility is to love our wives as Jesus Christ loves the church.

 

6. A Worthy Life Devotes to Pray

"Continue earnestly in prayer, being vigilant in it with thanksgiving" (Colossians 4:2 NKJV)

Why should we pray? Because we need it. We need to rely on God and His power through prayer. And the way to receive the power is to prayer. God wants us to ask, and He will supply for our needs.

 

PRINCIPLE III:

  • A Live Worthy of Jesus Christ is Centered on Him and It Shows.

 

What kind of life does your life reflect? We have a lot of things to work on and God is continuing to work within us.

 


 

III. ลักษณะของชีวิตที่สมควร (3)

5. ชีวิตที่สมควร มีความสัมพันธ์ที่เหมาะสม

18 ภรร​ยา​ทั้ง​หลาย​จง​ยอม​เชื่อ​ฟัง​สามี​ของ​ตน ซึ่ง​เป็น​สิ่ง​ที่​สม​ควร​ใน​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า
19 สามี​ทั้ง​หลาย​จง​รัก​ภรร​ยา​ของ​ตน และ​อย่า​ทำ​รุน​แรง​ต่อ​พวก​นาง (โคโลสี 3:18-19 THSV2011)

- ภรรยาต่อสามี

พระคัมภีร์กล่าวว่า ภรรยาจะต้องยอมเชื่อฟังสามีของตน

"ยอมเชื่อฟัง" ในที่นี้หมายถึง การยอมตาม การยอมจำนน และการติดตาม ดังเช่นที่ทำต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ยอมเชื่อฟังสามีเช่นเดียวกับที่ยอมเชื่อฟังพระเจ้า

จากมุมมองของพระคัมภีร์ สามีมีลำดับความสำคัญที่สูงกว่า แต่การยอมเชื่อฟัง ไม่ได้หมายถึงเชื่อฟัง และคำว่า "เชื่อฟัง" มีไว้สำหรับลูก

ในฐานะสามี เขาไม่ใช่บิดาหรือเจ้านาย และภรรยาของเขาก็ไม่ใช่ลูกของเขา สามีไม่ใช่กษัตริย์หรือผู้ปกครอง สามีเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณของบ้าน และภรรยาควรจะยอมเชื่อฟังสามีดังเช่นที่เธอทำต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จงระมัดระวังที่จะประยุกต์นำพระคัมภีร์ไปใช้

- สามีต่อภรรยา

สามีจำเป็นจะต้องรักภรรยา ดังเช่นที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรและสละพระชนม์เพื่อคริสตจ้กร พระคริสต์ทรงมอบพระองค์เองอย่างเสียสละให้แก่คริสตจักร พระองค์เสด็จมาเพื่อปรนนิบัติ ไม่ใช่เพื่อรับการปรนนิบัติ ดังนั้น สามีควรที่จะปรนนิบัติภรรยาของตน และมอบชีวิตของเขาแก่ภรรยาอย่างเสียสละ แม้จะต้องถึงแก่ชีวิต นี่เป็นสิ่งที่เขาจะต้องจ่ายทั้งชีวิต ไม่ใช่เพียงแค่เงินทอง

นี่ไม่ใช่สำหรับชีวิตของเขาเอง แต่เป็นสำหรับภรรยาของเขา ความรักจำเป็นที่จะต้องเพ่งจุดสนใจไปที่ผู้อื่น ให้เธอเป็นจุดสนใจของตน ผู้หญิงต้องการความรักจากสามีของเธอ

คำสั่งนี้เป็นการเรียกร้องอย่างไม่มีเงื่อนไข จงรักภรรยาของคุณแม้ว่าเธอจะยอมเชื่อฟังคุณหรือไม่

ในฐานะสามี ความรับผิดชอบของเราก็คือจะต้องรักภรรยาของเรา ดังเช่นที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร

 

6. ชีวิตที่สมควร อุทิศตัวในการอธิษฐาน

จง​อุทิศ​ตัว​ใน​การ​อธิษ​ฐาน จง​เฝ้า​ระวัง​ใน​เรื่อง​นี้​ด้วย​การ​ขอบ​พระ​คุณ (โคโลสี 4:2 THSV2011)

เหตุไรเราจึงควรอธิษฐาน? เพราะว่าเราต้องการการอธิษฐาน เราจำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้าและพระกำลังของพระองค์ผ่านทางการอธิษฐาน และวิธีที่เราจะได้รับพระกำลังนี้ ก็คือการอธิษฐาน พระเจ้าทรงต้องการให้เราทูลขอ แล้วพระองค์จะทรงประทานสิ่งจำเป็นทั้งปวงแก่เรา

 

ข้อคิดที่ III:

  • ชีวิตที่สมควรสำหรับพระเยซูคริสต์ มีศูนย์กลางอยู่ที่พระองค์ และเป็นชีวิตที่สำแดง

 

ชีวิตเช่นไรที่ชีวิตของคุณได้สะท้อนออกมา? เรามีสิ่งต่าง ๆ มากมายที่จะต้องพยายามต่อไป และพระเจ้าก็ทรงกำลังทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของเราอย่างต่อเนื่อง

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 4

เมื่อวันที่ 10/05/2010

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ 

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

Colossians Lesson 4 (Colossians 3-4): What A Worthy Life Looks Like - ลักษณะของชีวิตที่สมควร (6)

III. Characteristics of a Worthy Life (2)

3. A Worthy Life Lets The Word of Christ Dwelling in

"Let the word of Christ dwell in you richly in all wisdom, teaching and admonishing one another in psalms and hymns and spiritual songs, singing with grace in your hearts to the Lord." (Colossians 3:16 NKJV)

Let the Word of God control our lives. Pursue to the knowledge of God. The more we memorize, the more we would read and understand, and the Word will move in our hearts and minds.

If we read the Word, we would gain wisdom. And we have to teach and admonish others also. Not only for ourselves, use it also in terms of teaching others and warning others.

As we learn, we have an obligation to tell others. That is our responsibility

 

4. A Worthy Life Does Everything in Lord's Name

"And whatever you do in word or deed, do all in the name of the Lord Jesus, giving thanks to God the Father through Him" (Colossians 3:17 NKJV)

In everything, let our motive be to please God. Have each day that we would please God in everything we do. Consider this every morning.

It's not a list of things to do or don't, a set of rules, or legalism. These things only tell the set of actions, not about attitude or intention.

Do everything with the attitude of Thanksgiving. Not just do it, but do it with right attitude.

 


 

III. ลักษณะของชีวิตที่สมควร (2)

3. ชีวิตที่สมควร ให้​พระ​วจนะ​ของ​พระ​คริสต์​อยู่​ใน​ชีวิต

จง​ให้​พระ​วจนะ​ของ​พระ​คริสต์​อยู่​ใน​พวก​ท่าน​อย่าง​บริ​บูรณ์ จง​สั่ง​สอน​และ​เตือน​สติ​กัน​ด้วย​ปัญ​ญา​ทั้ง​สิ้น จง​ร้อง​เพลง​สดุดี เพลง​นมัส​การ และ​เพลง​ฝ่าย​จิต​วิญ​ญาณ​ด้วย​การ​ขอบ​พระ​คุณ​พระ​เจ้า​ใน​ใจ​ของ​ท่าน (โคโลสี 3:16 THSV2011)

จงให้พระวจนะของพระเจ้าควบคุมชีวิต ไล่ล่าตามพระปัญญาของพระเจ้า ยิ่งเราจดจำพระคำได้มากเท่าไร เราก็จะยิ่งอ่าน ยิ่งเข้าใจ และพระคำจะขับเคลื่อนในจิตใจและในความคิดของเรา

หากเราอ่านพระคำ เราก็จะมีสติปัญญา และเราจำเป็นจะต้องสอนและแนะนำตักเตือนผู้อื่นเช่นกัน ไม่ใช่เพื่อตัวของเราเองเท่านั้น จงใช้พระคำในการสอนผู้อื่น และเตือนผู้อื่นด้วย

ขณะที่เราเรียนรู้ เราก็มีภาระในการบอกต่อแก่ผู้อื่นด้วย นี่เป็นหน้าที่ของเรา

 

4. ชีวิตที่สมควร ทำทุกสิ่งในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า

และ​เมื่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ทำ​สิ่ง​ใด​ไม่​ว่า​จะ​ด้วย​วา​จา​หรือ​ด้วย​การ​ประ​พฤติ จง​ทำ​ทุก​สิ่ง​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​เยซู​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า และ​ขอบ​พระ​คุณ​พระ​เจ้า​พระ​บิดา โดย​ทาง​พระ​องค์ (โคโลสี 3:17 THSV2011)

ในทุกสิ่ง จงให้แรงจูงใจของคุณคือการที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย จงให้ทุกวันเป็นวันที่เราจะทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยในทุกสิ่งที่เราทำ จงพิจารณาสิ่งนี้ในยามเช้า

นี่ไม่ใช่รายการของสิ่งที่ต้องทำหรือห้ามทำ กลุ่มของกฎเกณฑ์ หรือนิตินิยม สิ่งเหล่านี้เพียงแค่บอกเราถึงกลุ่มของการกระทำที่ต้องทำ ไม่ใช่ทัศนคติหรือความตั้งใจ

จงทำทุกสิ่งด้วยทัศนคติของการขอบพระคุณ อย่าเพียงแค่ทำสิ่งนี้ แต่จงทำด้วยทัศนคติที่ถูกต้อง

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 4

เมื่อวันที่ 10/05/2010

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ 

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

Colossians Lesson 4 (Colossians 3-4): What A Worthy Life Looks Like - ลักษณะของชีวิตที่สมควร (5)

III. Characteristics of a Worthy Life (1)

From Colossians 3:12 to 4:6, Paul listed 6 characteristics of a worthy life here.

 

1. A Worthy Life Puts on Love.

"12 Therefore, as the elect of God, holy and beloved, put on tender mercies, kindness, humility, meekness, longsuffering;
13 bearing with one another, and forgiving one another, if anyone has a complaint against another; even as Christ forgave you, so you also must do.
14 But above all these things put on love, which is the bond of perfection." (Colossians 3:12-14 NKJV)

Put on love over all virtues. This is the key. This love will make a perfect bond. It is like the glue that holds all things together. If we don't have love, we would have something missing.

How can we have tender mercies, kindness, humility, meekness, longsuffering, bearing with one another, and forgiving one another, but without love? Love is the key element. If we don't have love, all things listed here would become only duties, list of things to do, legalism (just follow the list without compassion), self righteous acts, and hypocrisy (having 2 faces). That's why love is important. Love is needed to be motivation behind all virtues.

What is your motivation to do these things?

If we have trouble with love, ask Father to soften our Hearts. Ask Him to take our hearts, change the stony hearts to be the flesh hearts. No longer the hearts of stone. Then if we act out of love, every one will know that we are His disciples.

"34 A new commandment I give to you, that you love one another; as I have loved you, that you also love one another.
35 By this all will know that you are My disciples, if you have love for one another." (John 13:34-35 NKJV)

It is difficult, but possible for us to do.

 

2. A Worthy Life Lets the Peace of Christ Rule or Control

"And let the peace of God rule in your hearts, to which also you were called in one body; and be thankful." (Colossians 3:15 NKJV)

If Christ controls our lives, we will have peace of God.

We cannot control our own lives. If we do so, we will be confused and concern for many things. Let Him control our lives. Let Him controls the direction of our lives.

 


 

III. ลักษณะของชีวิตที่สมควร (1)

จากโคโลสี 3:12 ถึง 4:6 อาจารย์เปาโลได้แจกแจงรายการ 6 ลักษณะของชีวิตที่สมควร

 

1. ชีวิตที่สมควร สวมความรัก

12 เพราะ​ฉะนั้น​ใน​ฐานะ​เป็น​พวก​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​เลือก พวก​ที่​บริ​สุทธิ์ และ​พวก​ที่​ทรง​รัก จง​สวม​ใจ​เมต​ตา ใจ​กรุ​ณา ใจ​ถ่อม ใจ​สุภาพ​อ่อน​โยน ใจ​อด​ทน
13 จง​อด​ทน​ต่อ​กัน​และ​กัน และ​ถ้า​ใคร​มี​เรื่อง​ราว​ต่อ​กัน ก็​จง​ให้​อภัย​กัน องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ทรง​ให้​อภัย​พวก​ท่าน​อย่าง​ไร ท่าน​ก็จง​ทำ​อย่าง​นั้น​ด้วย
14 แล้ว​จง​สวม​ความ​รัก​ทับ​สิ่ง​เหล่า​นี้​ทั้ง​หมด ความ​รัก​ผูก​พัน​ทุก​สิ่ง​ไว้​อย่าง​สม​บูรณ์ (โคโลสี 3:12-14 THSV2011)

สวมความรักทับคุณงามความดีทั้งหมด นี่เป็นกุญแจ ความรักนี้จะเป็นพันธะที่สมบูรณ์แบบ เป็นเหมือนกาวที่ยึดเอาทุกสิ่งเข้าด้วยกัน ถ้าหากเราไม่มีความรัก เราก็จะขาดบางสิ่งบางอย่างไป

เราจะมีใจ​เมต​ตา ใจ​กรุ​ณา ใจ​ถ่อม ใจ​สุภาพ​อ่อน​โยน ใจ​อด​ทน ใจ​อด​ทน​ต่อ​กัน​และ​กัน และใจที่​อภัยให้​กันได้อย่างไร หากไม่มีความรัก? รักเป็นส่วนประกอบที่เป็นกุญแจสำคัญ หากเราไม่มีรัก ทุกสิ่งที่แจกแจงในที่นี้จะกลายเป็นหน้าที่ เป็นรายการของสิ่งที่จะต้องทำ เป็นนิตินิยม (เพียงแค่ทำตามรายการต่าง ๆ โดยปราศจากซึ่งความเห็นอกเห็นใจ) เป็นการกระทำที่ชอบธรรมด้วยตัวเอง และเป็นความหน้าซื่อใจคด (มี 2 หน้า) นี่จึงเป็นเหตุผลที่ความรักสำคัญ ความรักเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี เพื่อเป็นแรงจูงใจในการทำคุณงามความดีเหล่านี้ทั้งหมด

อะไรคือแรงจูงใจของคุณในการทำสิ่งเหล่านี้?

หากเรามีปัญหากับความรัก จงทูลขอพระบิดาที่จะทำให้ใจของเราอ่อนลง ทูลขอให้พระองค์ทรงนำหัวใจของเราไป เปลี่ยนใจหิน ให้กลายเป็นใจเนื้อ ไม่ใช่ใจหินอีกต่อไป บัดนี้เมื่อเราทำสิ่งต่าง ๆ จากความรัก ทุก ๆ คนจะรู้ว่าเราเป็นสาวกของพระองค์

34 เรา​ให้​บัญ​ญัติ​ใหม่​ไว้​กับ​พวก​ท่าน คือ​ให้​รัก​ซึ่ง​กัน​และ​กัน เรา​รัก​พวก​ท่าน​มา​แล้ว​อย่าง​ไร ท่าน​ก็​จง​รัก​กัน​และ​กัน​ด้วย​อย่าง​นั้น
35 ถ้า​ท่าน​รัก​กัน​และ​กัน ดัง​นี้​แหละ​ทุก​คน​ก็​จะ​รู้​ว่าท่าน​เป็น​สา​วก​ของ​เรา (ยอห์น 13:34-35 THSV2011)

นี่เป็นสิ่งที่ยาก แต่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับเราที่จะทำ

 

2. ชีวิตที่สมควร ให้สันติสุขของพระคริสต์นำพาและควบคุม

และ​จง​ให้​สันติ​สุข​ของ​พระ​คริสต์​นำ​พา​จิต​ใจ​ของ​ท่าน​ทั้ง​หลาย พระ​เจ้า​ทรง​เรียก​ท่าน​ให้​มา​เป็น​กาย​เดียว​กัน​ก็​เพื่อ​สันติ​สุข​นี้ และ​จง​มี​ใจ​ขอบ​พระ​คุณ (โคโลสี 3:15 THSV2011)

ถ้าหากพระคริสต์ทรงนำพาชีวิตของเรา เราก็จะมีสันติสุขของพระเจ้า

เราไม่สามารถควบคุมชีวิตของเราได้ ถ้าหากเราทำเช่นนั้น เราก็จะสับสนวุ่นวาย และเป็นกังวลสำหรับหลายสิ่งหลายอย่าง จงให้พระเจ้าควบคุมชีวิตของเรา ให้พระองค์ควบคุมทิศทางของชีวิตของเรา

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 4

เมื่อวันที่ 10/05/2010

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

Colossians Lesson 4 (Colossians 3-4): What A Worthy Life Looks Like - ลักษณะของชีวิตที่สมควร (4)

II. PUT OFF The OLD and PUT ON The New (2)

We took off our old selves which are Adam's. And now we have become the new man which belongs to the second Adam - Jesus Christ. No longer should our lives be dominated by sins or selves.

New selves are being renewed in knowledge in continual actions. We are transformed to be more and more like Jesus by studying the Word.

Now there is no distinction between believers. Christ is in all. He is the Creator. We are the new creations. Christ is in us. We are righteous in God's eye now. There is no different between slaves or free, and Jews or Greek. All are the same in Christ.

We were all sinners, and we are now in Christ. We all are in the same position in His eyes. We all are saved by Grace.

 

PRINCIPLE II:

  • A Life Worthy of Christ Jesus Has Taken Off The OLD Nature and Put On NEW Nature.

 

We are no longer the same persons. But unfortunately, sometimes our old nature quickens and tries to pull us back to old life. It will happen when we let it happen. It would be possible only when we open the door for it.

If we have a problem with this, bring it to God. Confess it. Ask for forgiveness, protection, and strength to persist.

 


 

II. ปลดวิสัยมนุษย์เก่า และสวมวิสัยมนุษย์ใหม่ (2)

เราถอดเอาวิสัยมนุษย์เก่าของเราออกไป ซึ่งเป็นวิสัยของอาดัม และเราได้กลายเป็นมนุษย์ใหม่ ซึ่งเป็นของอาดัมที่สอง นั่นคือพระเยซูคริสต์ ไม่ควรที่ชีวิตของเราจะอยู่ใต้อำนาจของบาปหรือตัวของเราเอง

ตัวใหม่ของเราได้รับการรื้อฟื้นในด้านความรู้ ในด้านการกระทำอันต่อเนื่อง เราได้รับการเปลี่ยนใหม่ให้เป็นเหมือนพระเยซูมากยิ่งขึ้นด้วยการศึกษาพระคำ

บัดนี ไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้เชื่อ พระเยซูคริสต์ทรงอยู่ในผู้เชื่อทุก ๆ คน พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง เราเป็นสิ่งทรงสร้างใหม่ พระคริสต์ทรงอยู่ในเรา บัดนี้เราชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีความแตกต่างระหว่างทาสหรือไท ยิวหรือกรีก เราทุกคนเป็นเหมือนกันในพระคริสต์

เราทุกคนเป็นคนบาป และบัดนี้เราได้อยู่ในพระคริสต์ เราทุกคนอยู่ในตำแหน่งเดียวกันในสายพระเนตรของพระองค์ เราทุกคนได้รับความรอดโดยพระคุณ

 

ข้อคิดที่ II:

  • ชีวิตที่สมควรสำหรับพระคริสต์ ได้ปลดวิสัยมนุษย์เก่า และสวมวิสัยมนุษย์ใหม่แล้ว

 

เราไม่ใช่คนเก่า แต่บางครั้งวิสัยมนุษย์เก่าก็กระตุ้นและพยายามดึงให้เรากลับไปสู่ชีวิตเก่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อเราอนุญาตให้มันเกิด สิ่งนี้จะเป็นไปได้เมื่อเราเปิดประตูให้กับมัน

ถ้าหากเรามีปัญหาในเรื่องนี้ จงมอบให้กับพระเจ้า สารภาพ ทูลขอการทรงอภัย การปกป้อง และกำลังที่จะยืนกรานอยู่

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 4

เมื่อวันที่ 10/05/2010

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

Colossians Lesson 4 (Colossians 3-4): What A Worthy Life Looks Like - ลักษณะของชีวิตที่สมควร (3)

II. PUT OFF The OLD and PUT ON The New (1)

"5 Therefore put to death your members which are on the earth: fornication, uncleanness, passion, evil desire, and covetousness, which is idolatry.
6 Because of these things the wrath of God is coming upon the sons of disobedience,
7 in which you yourselves once walked when you lived in them.
8 But now you yourselves are to put off all these: anger, wrath, malice, blasphemy, filthy language out of your mouth.
9 Do not lie to one another, since you have put off the old man with his deeds,
10 and have put on the new man who is renewed in knowledge according to the image of Him who created him,
11 where there is neither Greek nor Jew, circumcised nor uncircumcised, barbarian, Scythian, slave nor free, but Christ is all and in all." (Colossians 3:5-11 NKJV)

The list of our members consists of

  • Sinful nature of flesh: fornication, uncleanness, passion, evil desire, and covetousness.
  • Social Sins: anger, wrath, malice, blasphemy, filthy language out of mouth, to lie to one another

Do not pursue these things, because God's wrath is upon on them.

The new position we have is that we have died and these things are also dead. Put on new selves.

This making the idea of "metaphor". It is the symbol for comparison between old one and new one. To take something off and put on something new. And the new thing we have to put on is the robe of Christ, the robe of righteousness.

Not put something only on exterior. We also died interiorly. Our heart and soul also died. This is inward reality of things happen when we are in Christ.

Coming to Christ is always leading to fundamental change.

 


 

II. ปลดวิสัยมนุษย์เก่า และสวมวิสัยมนุษย์ใหม่ (1)

5 เพราะ​ฉะนั้น​จง​ประ​หาร​โลกีย​วิสัย​ใน​ตัว​ท่าน คือ​การ​ล่วง​ประ​เวณี การ​โส​โครก ราคะ​ตัณ​หา ความ​ปรารถ​นา​ชั่ว และ​ความ​โลภ (ซึ่ง​เป็น​การ​บูชา​รูป​เคารพ)
6 สิ่ง​เหล่า​นี้ เป็น​เหตุ​ให้​พระ​พิโรธ​ของ​พระ​เจ้า​มา​ถึงคน​เหล่า​นั้น​ที่​ไม่​เชื่อ​ฟัง
7 เมื่อ​ก่อน​พวก​ท่าน​ก็​เคย​ดำ​เนิน​ชีวิต​แบบ​นี้ คือ​มี​ชีวิต​อยู่​กับ​สิ่ง​เหล่า​นี้
8 แต่​บัด​นี้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จง​ละ​ทิ้ง​สิ่ง​เหล่า​นี้​ทั้ง​หมด คือ​ความ​โกรธ ความ​ฉุน​เฉียว การ​คิด​ร้าย การ​ใส่​ร้าย และ​คำ​พูด​หยาบ​โลน​ที่​ออก​จาก​ปาก​ของ​ท่าน
9 อย่า​พูด​โก​หก​ต่อ​กัน​และ​กัน เพราะ​ว่า​ท่าน​ได้​ปลด​วิสัย​มนุษย์​เก่ากับ​พฤติ​กรรม​ของ​มนุษย์​นั้น​แล้ว
10 และ​สวม​วิสัย​มนุษย์​ใหม่ที่​กำ​ลัง​ได้​รับ​การ​สร้าง​ขึ้น​ใหม่ตาม​พระ​ฉายา​ของ​พระ​องค์​ผู้​ทรง​สร้างเพื่อ​ให้​รู้​จัก​พระ​เจ้า
11 การ​นี้​ไม่​มี​กรีก​หรือ​ยิว คน​ที่​เข้า​สุหนัต​หรือ​ไม่​เข้า​สุหนัต อนารย​ชน​และ​คน​ป่า​เถื่อน ไม่​มี​ทาส​หรือ​เสรี​ชน แต่​ว่า​พระ​คริสต์​ทรง​เป็น​ทุก​สิ่ง และ​ทรง​อยู่​ใน​ทุก​สิ่ง (โคโลสี 3:5-11 THSV2011)

รายการของวิสัยในตัวเรา ได้แก่

  • ธรรมชาติบาปของเนื้อหนัง: การ​ล่วง​ประ​เวณี การ​โส​โครก ราคะ​ตัณ​หา ความ​ปรารถ​นา​ชั่ว และ​ความ​โลภ
  • ความบาปทางสังคม: ความ​โกรธ ความ​ฉุน​เฉียว การ​คิด​ร้าย การ​ใส่​ร้าย และ​คำ​พูด​หยาบ​โลน​ที่​ออก​จาก​ปาก การ​โก​หก​ต่อ​กัน​และ​กัน

อย่าไล่ตามสิ่งเหล่านี้ เพราะว่าพระพิโรธของพระเจ้าจะมาถึงคนที่มีลักษณะเหล่านี้

ตำแหน่งใหม่ของเรา คือเราได้ตายแล้ว และสิ่งเหล่านี้ก็ได้ตายไปด้วย จงสวมวิสัยใหม่

นี่เป็นแนวคิดของคำว่า "คำอุปมา" นี่เป็นสัญลักษณ์ใช้เปรียบเทียบระหว่างวิสัยเก่า และวิสัยใหม่ เป็นเหมือนการปลดสิ่งเก่า และสวมสิ่งใหม่ เป็นเหมือนการถอดบางสิ่งออก และใส่บางสิ่งใหม่ และสิ่งใหม่ที่เราจะต้องสวมก็คือเสื้อคลุมของพระคริสต์ เป็นเสื้อคลุมแห่งความชอบธรรม

นี่ไม่ใช่การสวมบางสิ่งเพียงแค่ภายนอก แต่เราได้ตายที่ข้างใน หัวใจและจิตใจได้ตายไปด้วย นี่เป็นความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์

การมาหาพระคริสต์ เป็นการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่รากฐานเสมอ

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 4

เมื่อวันที่ 10/05/2010

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

Colossians Lesson 4 (Colossians 3-4): What A Worthy Life Looks Like - ลักษณะของชีวิตที่สมควร (2)

I. FOCUS Above (2)

And Paul said that we have to set our mind on Him also, and we will have a completeness of thought. We have to put all our heart, emotion, and intellect upon Him. We need to have both heart and mind working together to work properly. They are connected.

It is also continual process, not only one time. We have to continue the action and pursue all our lives to set our heart and mind on things above. Focus on things that will last.

We have died. We ourselves have no longer lived. We are not as the persons before. We are new creations.

We are also hidden in Christ. That means we are united with Him both in His death and in His life.

"Hidden life" means "we are concealed in Him". We will be safe in Him. We will have the security in Him. This is the same picture as when the Moses saw God. God covered Moses with His hand when He passed by.

"21 And the LORD said, "Here is a place by Me, and you shall stand on the rock.
22 So it shall be, while My glory passes by, that I will put you in the cleft of the rock, and will cover you with My hand while I pass by.
23 Then I will take away My hand, and you shall see My back; but My face shall not be seen." (Exodus 33:21-23 NKJV)

We are hidden with Christ. We are within His palm. We are secure.

Christ is our lives now. That's why we should focus on things above, not our old selves.

 

PRINCIPLE I:

  • A Life Worthy of Christ Jesus is Focused on Christ, Not On Earthly Things.

 

Are you indeed focusing on things above, on things which will last? Fix our mind on Christ. Focus on Him.

 


 

I. เพ่งจุดสนใจไปที่เบื้องบน 

และอาจารย์เปาโลได้กล่าวว่า เราจะต้องเอาใจใส่สิ่งซึ่งอยู่เบื้องบนด้วย และเราจะมีความคิดที่ครบถ้วน

เราจำเป็นที่จะต้องวางจิตใจ อารมณ์ และความคิดของเราไว้ที่พระองค์ เราจำเป็นจะต้องมีทั้งจิตใจและความคิดที่ทำงานประสานกัน เพื่อที่ทั้งสองจะทำงานได้อย่างเหมาะสม ทั้งสองสิ่งมีความเชื่อมโยงกัน

และนี่ก็เป็นกระบวนการที่ดำเนินต่อเนื่องเช่นกัน ไม่ใช่สิ่งที่เกิดครั้งเดียว เราจะต้องดำเนินการกระทำเช่นนี้ต่อไป และไขว่คว้าตลอดชีวิตที่จะวางจิตใจและความคิดไว้บนสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบน เพ่งความสนใจไปที่สิ่งซึ่งจะดำรงอยู่ถาวร

เราได้ตายแล้ว เรามิได้มีชีวิตอยู่ด้วยตัวของเราเอง เราไม่เหมือนคนเก่าแล้ว เราได้ถูกสร้างใหม่แล้ว

และชีวิตของเราก็ได้ถูกซ่อนไว้ในพระคริสต์ นี่หมายความว่าเราร่วมกับพระองค์ทั้งในการสิ้นพระชนม์และการทรงพระชนม์ของพระองค์

"ชีวิตที่ถูกซ่อนไว้" หมายความว่า "เราได้ถูกปกปิดไว้ในพระองค์" เราจะปลอดภัยในพระองค์ เราจะมีความปลอดภัยในพระองค์ นี่เป็นภาพเดียวกันกับเมื่อโมเสสเห็นพระเจ้า พระเจ้าทรงปกคลุมโมเสสด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จผ่าน

21 พระ​ยาห์​เวห์​ตรัส​อีก​ว่า "ดูสิ มี​ที่​แห่ง​หนึ่ง​อยู่​ใกล้​เรา เจ้า​จง​ไป​ยืน​อยู่​บน​ศิลา​นั้น
22 แล้ว​ขณะ​เมื่อ​พระ​สิริ​ของ​เรา​กำลัง​ผ่าน​ไป เรา​จะ​ซ่อน​เจ้า​ไว้​ใน​ซอก​หิน และ​จะ​บัง​เจ้า​ไว้​ด้วย​มือ​เรา​จน​กว่า​เรา​จะ​ผ่าน​ไป
23 เมื่อ​เรา​เอา​มือ​ของ​เรา​ออก​แล้ว เจ้า​จะ​เห็น​หลัง​ของ​เรา แต่​หน้า​ของ​เรา​เจ้า​จะ​ไม่​ได้​เห็น" (อพยพ 33:21-23 THSV2011)

เราถูกซ่อนไว้ในพระคริสต์ เราอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ เราได้รับความปลอดภัย

พระคริสต์เป็นชีวิตของเราแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราควรเพ่งจุดสนใจไปที่สิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่ตัวเก่าของเรา

 

ข้อคิดที่ I:

  • ชีวิตที่สมควรต่อพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตที่มีจุดสนใจอยู่ที่พระคริสต์ ไม่ใช่สิ่งของของโลกนี้

 

คุณได้เพ่งจุดสนใจไปที่สิ่งซึ่งอยู่เบื้องบนอย่างแท้จริง สิ่งซึ่งจะดำรงถาวรหรือไม่? จงยึดความคิดของคุณไว้ที่พระคริสต์ เพ่งจุดสนใจไปที่พระองค์

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 4

เมื่อวันที่ 10/05/2010

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

Colossians Lesson 4 (Colossians 3-4): What A Worthy Life Looks Like - ลักษณะของชีวิตที่สมควร (1)

Colossians Lesson 4
(Colossians 3-4)

What A Worthy Life Looks Like

 

Outlines

I. FOCUS Above (3:1-4)

II. PUT OFF The OLD and PUT ON The New (3:5-11)

III. Characteristics of A Worthy Life (3:12-4:6)

 

Every time you read the bible, you have to ask the question, "so what?". We have learned much information about Jesus Christ, and now you have to ask yourself, "What should I do next?", "How do I apply to my life in my regular-day's life?", "What have God done for me, and how can I apply to my life?" This is the practicality for Christian's life. The first 2 chapters tell us about supremacy of Jesus Christ, and these 2 chapters will move to practice.

 

I. FOCUS Above (1) 

"1 If then you were raised with Christ, seek those things which are above, where Christ is, sitting at the right hand of God.
2 Set your mind on things above, not on things on the earth.
3 For you died, and your life is hidden with Christ in God.
4 When Christ who is our life appears, then you also will appear with Him in glory." (Colossians 3:1-4 NKJV)

Key point here is "to focus above". It is to focus not on earthly things, but on heavenly things.

"buried with Him in baptism, in which you also were raised with Him through faith in the working of God, who raised Him from the dead." (Colossians 2:12 NKJV)

We died with Him and now we have been raised with Him. Since that happened, focus on things above. Keep seeking things above. We have to focus on Him where He is. Christ is supreme over all so we have to focus on Him.

 


 

โคโลสี บทเรียนที่ 4
(โคโลสี 3-4)

ลักษณะของชีวิตที่สมควร

 

โครงร่าง

I. เพ่งจุดสนใจไปที่เบื้องบน (3:1-4)

II. ปลดวิสัยมนุษย์เก่า และสวมวิสัยมนุษย์ใหม่ (3:5-11)

III. ลักษณะของชีวิตที่สมควร (3:12-4:6)

 

ทุกครั้งที่คุณอ่านพระคัมภีร์ คุณจะต้องถามคำถามว่า "แล้วมีความสำคัญอย่างไร?"

เราได้เรียนรู้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ และบัดนี้ คุณจะต้องถามตัวเองว่า "อะไรคือสิ่งที่จะต้องทำต่อไป?" "เราจะนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันของเราได้อย่างไร?" "พระเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งใดเพื่อเรา และเราจะนำไปใช้ในชีวิตของเราอย่างไร" นี่คือภาคปฏิบัติของชีวิตคริสเตียน

พระธรรมโคโลสี 2 บทที่ผ่านมาได้สอนให้เรารู้เกี่ยวกับสิทธิอำนาจสูงสุดของพระเยซูคริสต์ และ 2 บทที่เหลือก็จะก้าวเข้าสู่ภาคปฏิบัติ

 

I. เพ่งจุดสนใจไปที่เบื้องบน (1) 

1 เพราะ​ฉะนั้น​เมื่อ​พระ​เจ้า​ทรง​ทำ​ให้​พวก​ท่าน​เป็น​ขึ้น​มา​ด้วย​กัน​กับ​พระ​คริสต์​แล้ว ก็​จง​แสวง​หา​สิ่ง​ที่​อยู่​เบื้อง​บน​ใน​ที่​ซึ่ง​พระ​คริสต์​สถิต​อยู่ คือ​ประ​ทับ​อยู่​เบื้อง​ขวา​ของ​พระ​เจ้า
2 จง​เอา​ใจ​ใส่​สิ่ง​ที่​อยู่​เบื้อง​บน ไม่​ใช่​สิ่ง​ที่​อยู่​บน​แผ่น​ดิน​โลก
3 เพราะ​ว่า​ท่าน​ตาย​แล้ว และ​ชีวิต​ของ​พวก​ท่าน​ซ่อน​ไว้​กับ​พระ​คริสต์​ใน​พระ​เจ้า
4 เมื่อ​พระ​คริสต์​ผู้​ทรง​เป็น​ชีวิต​ของ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ทรง​ปรา​กฏ ใน​เวลา​นั้น​ท่าน​ก็​จะ​ปรา​กฏ​พร้อม​กับ​พระ​องค์​ใน​ศักดิ์​ศรี​ด้วย (โคโลสี 3:1-4 THSV2011)

ประเด็นหลักในที่นี้ คือ ให้ "เพ่งจุดสนใจไปที่เบื้องบน" นั่นคือการไม่เพ่งจุดสนใจไปที่สิ่งของในโลกนี้ แต่เป็นสิ่งของบนสวรรค์

พวก​ท่าน​ถูก​ฝัง​ร่วม​กับ​พระ​องค์​ใน​การ​บัพ​ติศ​มา ที่​พระ​เจ้า​ทรง​ให้​ท่าน​เป็น​ขึ้น​มา​ร่วม​กับ​พระ​องค์​ด้วย โดย​ความ​เชื่อ​ใน​พลา​นุ​ภาพ​ของ​พระ​เจ้า​ผู้​ทรง​ทำ​ให้​พระ​องค์​เป็น​ขึ้น​จาก​ตาย (โคโลสี 2:12 THSV2011)

เราได้ตายร่วมกับพระองค์ และบัดนี้ได้เป็นขึ้นมาร่วมกับพระองค์ด้วย ตั้งแต่ที่สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้น จงเพ่งความสนใจไปที่เบื้องบน แสวงหาสิ่งเบื้องบน เราจะต้องเพ่งความสนใจของเราไปที่พระองค์ในที่ซึ่งพระองค์ทรงประทับ พระคริสต์ทรงสูงสุดเหนือทุกสิ่ง ดังนั้นเราจะต้องเพ่งความสนใจไปที่พระองค์

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 4

เมื่อวันที่ 10/05/2010

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

Colossians Lesson 3 (2:6-23): Continue To Live in Christ - จงดำเนินชีวิตในพระคริสต์ต่อไป (7)

III. A WARNING for Believers

"16 So let no one judge you in food or in drink, or regarding a festival or a new moon or sabbaths,
17 which are a shadow of things to come, but the substance is of Christ.
18 Let no one cheat you of your reward, taking delight in false humility and worship of angels, intruding into those things which he has not seen, vainly puffed up by his fleshly mind,
19 and not holding fast to the Head, from whom all the body, nourished and knit together by joints and ligaments, grows with the increase that is from God.
20 Therefore, if you died with Christ from the basic principles of the world, why, as though living in the world, do you subject yourselves to regulations ---
21 "Do not touch, do not taste, do not handle,"
22 which all concern things which perish with the using --- according to the commandments and doctrines of men?
23 These things indeed have an appearance of wisdom in self-imposed religion, false humility, and neglect of the body, but are of no value against the indulgence of the flesh." (Colossians 2:16-23 NKJV)

There are many religious systems. Some of them are mentioned here.

 

1. Legalism

This system teach the believers to strictly follow legal requirements and religious rituals.

But the bible says that all legal requirements and religious rituals are just a shadow of things to come. Those things have already become the reality, which is Jesus Christ. All things were pointing to Christ. Don't follow things in the past.

"For the law, having a shadow of the good things to come, and not the very image of the things, can never with these same sacrifices, which they offer continually year by year, make those who approach perfect." (Hebrews 10:1 NKJV)

False teachers taught that believers had to keep things in the past. They followed the law with hypocrisy. They did not follow the law by heart.

 

2. Mysticism

This system teach the believers to try to attain a "supernatural" experience or higher "spiritual" state through human effort.

The result would be false humility. They tried to attain supranatural experiences. They tried to elevate themselves that they have in a higher state of righteousness or spiritualness than others. They would become puffed up. They wanted to be more important.

If we do like this, we will lose the connection with the Head. We would be self-seeking rather than seeking him.

 

3. Asceticism

This is the practice of severe "self-denial".

The believers tried to practice denial of money or of possession. They isolated themselves or cut themselves or beat themselves. They tried to be more spiritual by doing these. They tried to be good and more righteous to please God.

But God came down to reach us. We will never be able to do anything to please Him.

 

These religious systems are self-righteousness. They are the rules made by man. They would focus on busy work, not on following Him; shadow form of "how to" rather than substance form of Christ; and activity rather than intimate relationship with Christ.

 

PRINCIPLE III:

  • A Religious System that Focuses Anywhere but Jesus Christ is a False One.

 

Don't add something on Jesus Christ.

Where does our focus lie? Focus on Jesus Christ who is supreme over all, who is sufficient to save, and who is the fullness of God.

 


 

III. คำเตือนสำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย

16 เพราะ​ฉะนั้น​อย่า​ให้​ใคร​พิพาก​ษา​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ใน​เรื่อง​การ​กิน การ​ดื่ม ใน​เรื่อง​เทศ​กาล หรือ​วัน​ต้น​เดือน หรือ​วัน​สะบา​โต
17 สิ่ง​เหล่า​นี้​เป็น​เพียง​เงา​ของ​สิ่ง​ที่​มา​ใน​ภาย​หลัง แต่​ตัว​จริง​คือ​พระ​คริสต์
18 อย่า​ให้​ใคร​ตัด​สิทธิ์​พวก​ท่าน​ด้วย​การ​ทำ​ที​ถ่อม​ใจ​และ​ด้วย​การ​นมัส​การ​พวก​ทูต​สวรรค์ พวก​เขา​ใฝ่​ฝัน​อยู่​ใน​นิมิต หยิ่ง​ผยอง​อย่าง​ไม่​มี​เหตุ​ตาม​ความ​คิด​ฝ่าย​เนื้อ​หนัง​ของ​เขา
19 และ​ไม่​ได้​ยึด​มั่น​ใน​พระ​คริสต์ ผู้​ทรง​เป็น​ศีรษะ ซึ่ง​เป็น​เหตุ​ให้​ทั่ว​ทั้ง​ร่าง​กาย​ได้​รับ​การ​บำ​รุง​เลี้ยง และ​ประ​สาน​เข้า​ด้วย​กัน​โดย​ข้อ​และ​เอ็น​ต่างๆ จึง​ได้​เจริญ​ขึ้น​ตาม​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​ให้​เจริญ​ขึ้น​นั้น
20 ถ้า​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ตาย​กับ​พระ​คริสต์​พ้น​จาก​พวก​ภูต​ผี​ที่​ครอบ​งำ​ของ​จักร​วาล​แล้ว ทำไม​ท่าน​จึง​มี​ชีวิต​เหมือน​กับ​ว่า​พวก​ท่าน​ยัง​อยู่​ฝ่าย​โลก? ทำไม​ท่าน​ยอม​อยู่​ใต้​กฎ​ต่างๆ
21 เช่น "อย่า​หยิบ" "อย่า​ชิม" "อย่า​แตะ​ต้อง"
22 สิ่ง​ทั้ง​หมด​นี้​เป็น​สิ่ง​ที่​จะ​พินาศ​เมื่อ​ใช้​มัน และ​เป็น​เพียง​กฎ​เกณฑ์​และ​คำ​สอน​ของ​มนุษย์
23 จริง​อยู่​สิ่ง​เหล่า​นี้​ดู​เหมือน​มี​ปัญ​ญา คือ​การ​นมัส​การ​ด้วย​ความ​สมัคร​ใจ การ​ทำ​ที​ถ่อม​ใจ และ​การ​ทร​มาน​กาย แต่​ไม่​มี​ประ​โยชน์​อะไร​ใน​การ​ต่อ​สู้​กับ​ความ​ใคร่​ของ​เนื้อ​หนัง (โคโลสี 2:16-23 THSV2011)

 

มีระบบของศาสนามากมาย และบางระบบก็ได้ถูกกล่าวถึงในที่นี้

 

1. นิตินิยม (Legalism)

ระบบนี้ สอนให้ผู้เชื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาสนาและพิธีกรรมทางศาสนาอย่างเคร่งครัด

แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า ข้อกำหนดของศาสนาและพิธีกรรมทางศาสนานั้นเป็นเพียงเงาของสิ่งที่จะตามมา และสิ่งเหล่านั้นก็ได้เป็นจริงแล้ว นั่นคือ พระเยซูคริสต์ ทุกสิ่งได้ชี้ไปยังพระคริสต์ จงอย่าติดตามสิ่งที่เป็นอดีต

เพราะ​เหตุ​ที่​ธรรม​บัญ​ญัติ​เป็น​เพียง​เงา​ของ​สิ่ง​ประ​เสริฐ​ทั้ง​หลาย​ที่​จะ​มา​ใน​ภาย​หลัง ไม่​ใช่​ตัว​จริง จึง​ไม่​สา​มารถ​ทำ​ให้​ผู้​ที่​เข้า​เฝ้า​พระ​เจ้า​พร้อม​กับ​เครื่อง​บูชา​ที่​พวก​เขา​ถวาย​เหมือน​เดิม​ทุก​ปี​เสมอ​มา​นั้น ถึง​ความ​สม​บูรณ์​ได้ (ฮีบรู 10:1 THSV2011)

ผู้สอนเท็จ สอนว่าผู้เชื่อจำเป็นต้องปฏิบัติตามสิ่งที่เป็นอดีต พวกเขาทำตามธรรมบัญญัติด้วยความหน้าซื่อใจคด พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติด้วยใจ

 

2. ฌานนิยม (Mysticism)

ระบบนี้สอนให้ผู้เชื่อพยายามที่จะมีประสบการณ์เหนือธรรมชาติ หรือพยายามที่จะอยู่ในภาวะฝ่ายวิญญาณที่สูงส่ง ผ่านทางความพยายามของมนุษย์

ผลที่ได้ก็จะเป็นความถ่อมใจเทียม พวกเขาพยายามที่จะได้รับประสบการณ์พิเศษเหนือธรรมชาติ พวกเขาพยายามยกตัวเองว่าพวกเขามีความชอบธรรมและมีความเป็นฝ่ายวิญญาณมากกว่าผู้อื่น พวกเขาจะผยองขึ้น พวกเขาต้องการที่จะเป็นผู้ที่มีความสำคัญมากขึ้น

หากเราทำเช่นนี้ เราก็จะสูญเสียการเชื่อมต่อกับศีรษะ เราจะแสวงหาตนเองมากกว่าแสวงหาพระองค์

 

3. พรตนิยม (Asceticism)

นี่เป็นการฝึกฝนการปฏิเสธตัวเองอย่างเข้มงวด

ผู้เชื่อจะพยายามฝึกฝนที่จะปฏิเสธเงินหรือสิ่งของ พวกเขาจะแยกตัวสันโดษ หรือกรีดตัวเอง หรือทุบตีตนเอง พวกเขาพยายามที่จะอยู่ฝ่ายวิญญาณมากขึ้นด้วยการกระทำเช่นนี้ พวกเขาพยายามที่จะเป็นคนดีและชอบธรรมมากยิ่งขึ้นเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย

แต่พระเจ้าได้ทรงเสด็จลงมาหาพวกเรา เราจะไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อที่จะทำให้พระองค์พอพระทัยได้เลย

 

ระบบศาสนาเหล่านี้ล้วนเป็นการหาความชอบธรรมด้วยตัวเอง เป็นกฎเกณฑ์ที่ถูกสร้างโดยมนุษย์ พวกเขาจะเพ่งความสนใจไปที่การกระทำที่ยุ่งยาก ไม่ได้เน้นที่การติดตามพระองค์ เพ่งความสนใจไปที่เงาของ "ทำอย่างไร" แทนที่จะเป็นแก่นแห่งพระคริสต์ และเพ่งความสนใจไปที่กิจกรรมต่าง ๆ แทนที่จะเป็นความสัมพันธ์สนิทกับพระคริสต์

 

ข้อคิดที่ III:

  • ระบบของศาสนาที่เพ่งความสนใจไปที่อื่นใดนอกจากพระเยซูคริสต์ เป็นระบบเท็จ

 

อย่าเพิ่มเติมสิ่งใดไปบนพระเยซูคริสต์

จุดสนใจของชีวิตของคุณอยู่ที่ใด? จงเพ่งความสนใจไปที่พระเยซูคริสต์ ผู้ที่ทรงสิทธิอำนาจสูงสุดเหนือทุกสิ่ง ผู้ซึ่งเพียงพอในการช่วยให้รอด และผู้ที่ครบบริบูรณ์ซึ่งความเป็นพระเจ้า

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 3

เมื่อวันที่ 03/05/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ