วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ร่วมใจจึงจะสำเร็จ (2/6)


1 คนทั้งหลายทั่วโลกพูดภาษาเดียวกัน และมีศัพท์สำเนียงเดียวกัน
2 เมื่อพากันอพยพไปทิศตะวันออก ก็พบทุ่งราบในแดนเมืองชินาร์ จึงตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นั่น
3 แล้วต่างคนต่างก็พูดกันว่า "มาเถิด เราจงทำอิฐ เผาให้สุกแข็ง" เขาจึงมีอิฐใช้ต่างหิน และมียางมะตอยใช้ต่างปูนสอ
4 เขาทั้งหลายจึงว่า "มาเถิด เราจงสร้างเมืองขึ้นและก่อหอให้ยอดเทียมฟ้า ให้เราทำชื่อเสียงไว้ มิฉะนั้นเราจะต้องกระจัดกระจายไปทั่วพื้นแผ่นดิน"
5 พระเจ้าเสด็จลงมาทอดพระเนตรเมือง และหอที่มนุษย์ก่อสร้างขึ้นนั้น
6 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ดูเถิด คนเหล่านี้เป็นชนชาติเดียว มีภาษาเดียว นี่เป็นเพียงเบื้องต้นของสิ่งที่เขาจะทำ และเขาตั้งใจจะทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น
7 มาเถิด เราจงลงไป ทำให้ภาษาของเขาวุ่นวายต่างกันไป อย่าให้เขาพูดเข้าใจกันได้"
8 พระเจ้าจึงทรงทำให้เขา กระจัดกระจายจากที่นั่นไปทั่วพื้นแผ่นดิน คนเหล่านั้นก็เลิกสร้างเมืองนั้น
9 เหตุฉะนี้จึงเรียกเมืองนั้นว่าบาเบล (คล้ายคำ "บาลัล" ในฮีบรู แปลว่า วุ่นวาย) เพราะว่าที่นั่นพระเจ้าทรงทำให้ภาษาของเขาวุ่นวายไป และพระเจ้าทรงทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปทั่วพื้นแผ่นดิน (ปฐมกาล 11:1-9)


พระวจนะคำของพระเจ้าในตอนนี้ เป็นเรื่องราวของหอบาเบล ขณะเดียวกัน ในพระคัมภีร์ตอนนี้มีเคล็ดลับที่พระเจ้าอยากให้เราได้เข้าใจจากพระคัมภีร์ตอนนี้ สิ่งนี้เองที่ชาวโลกได้ค้นพบและนำไปใช้ประโยชน์อย่างมากมาย เราทั้งหลายบางครั้งได้อ่านและก็มองข้ามไป

แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ดูเถิด คนเหล่านี้เป็นชนชาติเดียว มีภาษาเดียว นี่เป็นเพียงเบื้องต้นของสิ่งที่เขาจะทำ และเขาตั้งใจจะทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น" (ปฐมกาล 11:6)

พระเจ้ากำลังตรัสว่า พระองค์ทรงประทานบางอย่างกับมนุษย์เรา ซึ่งเป็นเหมือนอาวุธลับ เป็นเคล็ดลับในการทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นในระดับครอบครัว ระดับองค์กร ระดับคริสตจักร หรือระดับชาติ ที่นี่ได้บอกว่า เพราะเขาเป็นชนชาติเดียว มีภาษาเดียว ถ้าเขาเป็นอันหนึ่งเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน สื่อสารเข้าใจกัน เข้าใจซึ่งกันและกัน มีความเห็นเหมือนกัน ไม่ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรก็จะทำได้ทั้งนั้น นี่เป็นกุญแจสำคัญ

ถ้าในครอบครัวสามารถพูดภาษาเดียวกัน ก็จะสามารถนำพาครอบครัวสู่ความสำเร็จได้ ซึ่งคำว่าภาษานี้ไม่ใช่หมายถึงภาษาที่ใช้ในการพูด แต่หมายถึงการที่มีความคิดเหมือนกัน มีความเข้าใจกัน

เช่นเดียวกัน สิ่งนี้ก็เป็นจริงในระดับสังคม และคริสตจักร ถ้ามีเป้าหมาย มีจุดที่สามารถดำเนินการร่วมกันแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ทำได้ทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่เราจะต้องทำความเข้าใจ ว่าทำอย่างไรเราจึงสามารถดำเนินชีวิตสู่เป้าหมาย สู่ความสำเร็จได้

เรื่องราวตอนนี้ได้บอกว่า น่าเสียดายที่คนเหล่านี้ได้รวมตัวกันทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

การร่วมกัน มีภาษาเดียวกันเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ การที่เราจะมีจุดมุ่งหมาย

4 แผ่นดินโลกทั้งสิ้นจะนมัสการพระองค์
เขาทั้งหลายจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์
ร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์"
5 จงมาดูสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ
พระราชกิจของพระองค์น่าครั่นคร้ามท่ามกลางมนุษย์
6 พระองค์ทรงเปลี่ยนทะเลให้เป็นดินแห้ง
คนเดินข้ามแม่น้ำไป
ที่นั่นเราได้เปรมปรีดิ์ในพระองค์
7 ผู้ทรงปกครองด้วยอานุภาพของพระองค์เป็นนิตย์
ผู้ซึ่งพระเนตรเฝ้าบรรดาประชาชาติอยู่
อย่าให้คนมักกบฏยกย่องตนเอง
8 ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงสรรเสริญพระเจ้าของเรา
จงให้ได้ยินเสียงสรรเสริญพระองค์
9 ผู้ทรงให้เราอยู่ท่ามกลางคนเป็น
และมิได้ทรงยอมให้เท้าเราพลาด
10 ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงลองใจข้าพระองค์ทั้งหลาย
พระองค์ทรงทดลองข้าพระองค์อย่างทดลองเงิน (สดุดี 66:4-10)

พระเจ้าปรารถนาที่จะสำแดงพระราชกิจอันน่าครั่นคร้ามแก่ผู้ที่เชื่อพระองค์ เมื่อไรก็ตามที่ลูกของพระเจ้าร่วมกันในการอธิษฐาน ในการรับใช้ ที่นั่นจะเกิดการอัศจรรย์ และสังคมจะได้รับการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เหนือธรรมชาติจะเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้แก่ลูกของพระองค์ที่ร่วมมือกัน ความร่วมมือร่วมใจของลูกของพระเจ้าสามารถนำกิจการอันน่าครั่นคร้ามมาสู่ชาวโลกได้

ขณะเดียวกัน พระคัมภีร์ตอนนี้ก็ได้สอนเราว่า เราทั้งหลายจะต้องมีความระแวดระวัง อย่าเป็นคนมักกบฎและยกย่องตนเอง พระเจ้าจะทรงทดลองใจของเราทั้งหลายอย่างทดลองเงิน


ศจ. ประเสริฐ พรกีรติกุล

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 11/04/2010

เรื่อง ร่วมใจจึงจะสำเร็จ

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ร่วมใจจึงจะสำเร็จ (1/6)

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เราทุกคนในฐานะที่เป็นคริสเตียน ก็มีส่วนที่จะทูลขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอพระเจ้าช่วยให้เหตุการณ์ต่าง ๆ คลี่คลาย

ประเทศไทยมีคริสตศาสนามาเป็นร้อยกว่าปีแล้ว และสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น กำลังบอกว่า ถ้าหากว่าคริสเตียนไทยไม่เอาจริงจัง ก็จะทำให้อิสระของเราสูญเสียไป พระเจ้าทรงอดกลั้นพระทัย หมายให้ประชาชนได้กลับใจ และสิ่งที่พระเจ้ารอคอยก็คือการที่คริสเตียนจะนำเอาความจริงข่าวประเสริฐบอกแก่ประชาชน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นภาระของเราทั้งหลายในการมองเหตุการณ์แล้วรู้ว่านี่เป็นเวลาที่พระองค์ปรารถนาให้เราทั้งหลายมีส่วน ถ้าเสียเสรีภาพนี้ไป เราจะไม่มีโอกาสนมัสการพระเจ้า

ประวัติศาสตร์ได้บอกเราหลายอย่าง สิ่งเหล่านี้ควรจะเตือนใจเราทั้งหลาย สมควรอย่างยิ่งที่เราจะทุ่มเท ทูลขอต่อพระเจ้า วิงวอนต่อพระเจ้า ขอพระเมตตาจากพระเจ้า ขอพระองค์ที่จะประทานสันติภาพ เพื่อที่เราจะได้นำข่าวประเสริฐไปสู่พี่น้องคนไทย ที่เราจะตระหนักว่าสิทธิอำนาจการปกครองทุกอย่างล้วนมาจากพระเจ้า ขอที่เราจะวางใจ หนักแน่นกับพระองค์ ไม่ว่าด้วยกิริยาหรือวาจา เราจะเป็นน้ำเย็นสู่พี่น้องคนไทย เพื่อให้คนเหล่านั้นเมื่อได้สัมผัสชีวิตเรา จะรู้ว่าเรามีพระเจ้าเป็นที่พึ่ง เพื่อเราจะสามารถบอกแก่เขาว่าชีวิตที่ฝากไว้กับพระเจ้า เป็นชีวิตที่มีหลักประกัน ขอที่เราจะสำแดงความรักและเมตตาที่เราได้รับจากพระเยซูคริสต์ มีชีวิตเป็นแบบอย่างที่พี่น้องคนไทยจะแสวงหา ขอที่เราจะมีจิตใจเห็นความทุกข์ของพี่น้อง และจะมีโอกาสนำพาจิตใจของพวกเขา เพื่อไม่ให้ประเทศของเราตกไปในการชั่วร้ายต่าง ๆ ขอพระเจ้าทรงโปรดให้เราจะมีจิตใจหนักแน่น ไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอันจะนำไปสู่การเข้าใจผิด แต่ขอที่เราจะบอกให้คนทั้งหลายมองและเฝ้าดูชีวิตที่เป็นนิรันดร์ และนำพาเขาสู่ชีวิตนิรันดร์อันเป็นสิ่งถาวร ขอพระเจ้าทรงประทานสันติสุขกลับสู่ประเทศเร็ววัน ขอพระเจ้าช่วยที่เราจะมีส่วนในภาระใจเหล่านี้

เรารู้ดีว่า ตัวของเราเองจะต้องอยู่ในปัจจุบัน จะไปในอดีตก็ไม่ได้ ไปในอนาคตก็ไม่ได้ ตัวตนของเราอยู่ในปัจจุบัน แต่ว่าใจของเรากลับไปในอดีตได้ สามารถทุกข์กับอดีตได้ ขณะเดียวกัน ใจของเราก็ไปในอนาคตได้ เป็นห่วง หวาดกลัวได้ ดังนั้น ใจของมนุษย์ต้องการที่พึ่ง

ถ้าเราปล่อยให้ใจยุ่งอยู่กับอดีต ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว ความสุขหรือความทุกข์ ใจก็จะยุ่งยาก

ถ้าเราปล่อยให้ใจเราคิดแต่อนาคต กังวล และคาดหวังกับอนาคต ใจก็จะยุ่งเหยิงเช่นกัน

แต่ถ้าหากใจของเรามีที่พึ่ง คือ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นศิลา เป็นโล่ เป็นป้อมปราการที่เข้มแข็ง เราก็มีใจสงบ มีความสุขที่แท้จริง นี่จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะให้พระศิลา ป้อมปราการ คือ องค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นที่ยึดของเรา

ขอบคุณพระเจ้าที่เรายังมีใจที่จะแสวงหาพระเจ้า จิตใจของเรายังคงใกล้ชิดกับพระองค์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องเสริมสร้างมากยิ่งขึ้น

ถ้าหากใจของเราอยู่ในพระเจ้า เราก็จะมีความหนักแน่นมั่นคงในการดำเนินชีวิต

ด้วยเหตุนี้ ขอพระเจ้าเมตตาที่เราจะมีใจในการมานมัสการ สิ่งหนึ่งที่มารอยากทำลาย ก็คือ ความตั้งใจของเราในการมานมัสการพระองค์ ซึ่งถ้าหากสิ่งนี้ถูกทำลาย ก็จะนำมาสู่ความวุ่นวายและความยุ่งเหยิงในชีวิตของเรา


ศจ. ประเสริฐ พรกีรติกุล

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 11/04/2010

เรื่อง ร่วมใจจึงจะสำเร็จ

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การนมัสการ (7/7)

การนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง

นี่เป็นจุดสำคัญ ที่เราจะต้องเรียนรู้ความจริงที่พระเจ้าทรงเปิดเผยและนำแดง และนำสิ่งเหล่านี้เข้ามาในการนมัสการ เพื่อเราจะนมัสการพระเจ้าออกจากภายในด้วยจิตวิญญาณ และขณะเดียวกันก็ออกจากสมองและความคิดที่เข้าใจพระเจ้าอย่างถูกต้องตามความจริงตามพระวจนะ

การนมัสการจะต้องออกจากจิตวิญญาณและความคิด นี่คือการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง พระเจ้าทรงแสวงหาคนที่นมัสการเช่นนี้

ถ้าเราไม่นมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้อง เรามีแต่พิธีการนมัสการ แต่ไม่มีพระเจ้า เพราะเราไม่ได้นมัสการพระองค์อย่างถูกต้อง

อย่าให้การนมัสการของเราไร้ประโยชน์ เพราะการมานมัสการก็เหนื่อย เพราะร้องเพลงจนเหนื่อย และฟังเทศน์ตั้งนาน แต่หากไม่ได้พบพระเจ้า ก็ไร้ประโยชน์

แต่ขอที่ความเข้าใจและท่าทีของเราถูกต้อง เมื่อเรานมัสการพระเจ้าและเรียนรู้ให้พระเจ้าทรงนำเราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อให้เราหลุดจากสิ่งที่ตีกรอบเราไว้ และให้พระองค์นำ สำแดง แตะต้อง เปิดตาใจเรา แล้วเราจะพบว่าการนมัสการพระเจ้าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก และเราจะรู้ว่าการนมัสการพระเจ้าที่เราสัมผัสพระเจ้าจริง ๆ บางครั้งเราจะลืมเวลาไปเลย

โมเสสเฝ้าพระเจ้า 40 วัน 40 คืน จนคนที่อยู่ข้างล่างทนไม่ได้ แต่เมื่อท่านพบพระองค์ ท่านลืมเวลาไปเลย เพราะท่านอยู่กับพระเจ้าและจดจ่ออยู่กับพระองค์

การนมัสการพระเจ้าที่ถูกต้อง เราจะรู้ว่าแผ่นดินของพระองค์ที่ตั้งอยู่บนโลกหมายความว่าเช่นไร แล้วเราจะพบการเปลี่ยน การสำแดงที่มาจากพระองค์ สิ่งเหล่านี้โลกไม่สามารถให้ได้ สันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเต็มล้นในชีวิตเรา แล้วเราจะรู้ว่าการสัมผัสพระเจ้า การนมัสการพระเจ้าที่พูกต้อง เป็นสิ่งที่มีค่ามากทีเดียว เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด

ขอพระเจ้าอวยพรที่เราจะเข้าสู่การนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ เพื่อเราจะรับพระพร การเปลี่ยนแปลง และกำลังจากพระองค์

 

ศจ. มนูญศักดิ์ กมลมาตยากุล

คำเทศนาการนมัสการรอบบ่าย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 13/02/2011

เรื่อง การนมัสการ

 

หมายเหตุ:

  • ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ
  • หัวข้อต่าง ๆ นั้น ผมได้ตั้งขึ้นมาเอง เพื่อความสะดวกในการอ่านครับ

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การนมัสการ (6/7)

การนมัสการพระเจ้าด้วยความจริง คือ การให้องค์พระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลางของการนมัสการ

การนมัสการพระเจ้าที่ยึดตามความจริง สำคัญมาก

พระธรรมสดุดี ได้บอกพระลักษณะต่าง ๆ ของพระเจ้า บอกให้เรารู้ว่าพระเจ้าที่ผู้เขียนสดุดีกำลังนมัสการมีพระลักษณะเช่นไร พวกเขานมัสการสอดคล้องกับความเป็นจริงของพระเจ้า นมัสการด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง และพระเจ้าทรงเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนสดุดีกล่าวไว้ คือ พระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงสำแดงออกมา และพวกเขาได้นำสิ่งเหล่านั้นมาพูดถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย เพราะสิ่งเหล่านั้นสะท้อนพระลักษณะของพระองค์

แต่ในพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูคริสต์ได้ทรงสำแดงพระลักษณะของพระเจ้าอย่างชัดเจน

17 เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานธรรมบัญญัตินั้นทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์
18 ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว (ยอห์น 1:17-18)

พระบัญญัติมาทางโมเสส แต่พระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น การนมัสการในพระคัมภีร์ใหม่จะนมัสการพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้า เป็นประมุข

และการนมัสการพระเจ้าจะมีอีกมิติหนึ่ง คือ การหักขนมปัง พิธีมหาสนิท ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการนมัสการพระเจ้า

ในสมัยกิจการ บรรดาสาวกจะหักขนมปังนมัสการพระเจ้าทุกวัน สิ่งนี้พวกเขาทำเพื่อรำลึกถึงพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์ทรงเป็นจุดศูนย์กลางในการนมัสการพระเจ้าในคริสตจักรในพระคัมภีร์ใหม่ พวกเขาระลึกถึงพระองค์ ระลึกถึงการทนทุกข์สิ้นพระชนมของพระองค์ และการฟื้นขึ้นจากความตายของพระองค์ จึงมีการนมัสการในวันอาทิตย์ เพราะพวกเขายึดพระเยซูคริสต์เป็นหลักสำคัญ วันอาทิตย์เป็นวันที่พระองค์ทรงฟื้นจากความตาย พวกเขาจึงเรียกวันนี้ว่า "วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า" และหักขนมปังเพื่อรำลึกถึงพระองค์

พระเยซูคริสต์มิได้ให้เราทำไม้วางเขนเพื่อระลึกถึงพระองค์ หรือวาดรูปเพื่อระลึกถึงพระองค์ แต่ให้เราร่วมพิธีมหาสนิทเพื่อระลึกถึงพระองค์

 

ศจ. มนูญศักดิ์ กมลมาตยากุล

คำเทศนาการนมัสการรอบบ่าย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 13/02/2011

เรื่อง การนมัสการ

 

หมายเหตุ:

  • ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ
  • หัวข้อต่าง ๆ นั้น ผมได้ตั้งขึ้นมาเอง เพื่อความสะดวกในการอ่านครับ

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การนมัสการ (5/7)

การนมัสการด้วยความจริง คือ การนมัสการให้สอดคล้องกับพระลักษณะของพระเจ้า

ไม่เพียงเท่านั้น เราจะต้องนมัสการด้วยความจริง

ประเทศไทยมีพระและเจ้าเต็มไปหมด รวมถึงเทพของประเทศต่าง ๆ และพวกเขาก็นมัสการด้วยจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน

แต่การนมัสการที่ถูกต้อง จะต้องนมัสการด้วยความจริงด้วย เราจะต้องเข้าใจและรู้จักพระเจ้าที่เรานมัสการ

ชาวยิวนมัสการพระเจ้าที่พวกเขารู้จัก แต่สะมาเรียไม่รู้จักพระเจ้าที่พวกเขานมัสการ

ซึ่งเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จัก ซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้จัก เพราะความรอดนั้นมาจากพวกยิว (ยอห์น 4:22)

พระเจ้าของเรามีเอกลักษณ์ มีพระลักษณะและพระราชกิจที่ได้รับการสำแดงออกและบันทึกไว้ในพระวจนะของพระเจ้า ขอที่เราจะรู้จักพระเจ้าที่เราเชื่อ

ความจริงที่พระเจ้าทรงสำแดง เป็นสิ่งสำคัญ และเป็นสิ่งที่เราจะต้องจดจ่อเมื่อเรานมัสการพระองค์

  • พระองค์ไม่ใช่พระที่ถูกสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่พระเจ้าที่เรานมัสการ
  • พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ ทรงมหิทธิฤทธิ์
  • พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่บริสุทธิ์ และเป็นความสว่าง ในพระองค์ไม่มีความอธรรม ทรงเป็นความบริสุทธิ์และชอบธรรม
  • พระองค์ไม่ทรงมุสา ทุกคำตรัสไว้วางใจได้
  • พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับพระองค์ ชัดเจน ซื่อตรง เที่ยงธรรม ไว้วางใจได้
  • พระองค์ทรงประกอบด้วยความรักความเมตตา ให้อภัยกับทุกคนที่สำนึกผิด ไม่ใช่พระเจ้าที่ซ้ำเติม แต่ทรงพร้อมที่จะให้โอกาสแก่ผู้ที่สำนึกผิด
  • พระองค์ทรงห่วงใย ทรงเอาพระทัยใส่ เป็นผู้เลี้ยงที่อัศจรรย์ ทรงปกป้องคุ้มภัย
  • และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ไม่ยอมให้เรานำพระองค์ปะปนกับพระอื่น ๆ

นี่คือพระเจ้าที่เรารู้จัก เป็นพระเจ้าที่มีเอกลักษณ์ และเราจะต้องนมัสการให้สอดคล้องกับพระลักษณะที่เป็นความจริงเกี่ยวกับพระองค์ พระองค์ทรงเป็นเช่นนี้ เราจะไปเปลี่ยนพระองค์ไม่ได้

อิสราเอล นมัสการพระเยโฮวาห์ โดยผ่านทางการนมัสการรูปปั้นวัวทองคำ พวกเขาให้สิ่งเหล่านั้นเป็นตัวแทนของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ยอมรับ เพราะนั่นเป็นการดูหมิ่นพระเจ้า และผิดต่อความเป็นจริงของพระเจ้า เพราะพระเจ้าไม่ใช่วัว แต่ทรงเป็นผู้สร้างวัวทุกตัวบนโลกนี้ ทรงยิ่งใหญ่กว่านั้นมากนัก ดังนั้น การนมัสการ จะต้องนมัสการให้สอดคล้องกับความจริงของพระเจ้า จะต้องนมัสการพระองค์ด้วยความจริง


ศจ. มนูญศักดิ์ กมลมาตยากุล

คำเทศนาการนมัสการรอบบ่าย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 13/02/2011

เรื่อง การนมัสการ

 

หมายเหตุ:

  • ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ
  • หัวข้อต่าง ๆ นั้น ผมได้ตั้งขึ้นมาเอง เพื่อความสะดวกในการอ่านครับ

วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การนมัสการ (4/7)

การนมัสการด้วยจิตวิญญาณ คือ การให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในชีวิตของเรา

17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น
18 แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว จึงแลดูพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระวิญญาณ (2โครินธ์ 3:17-18)

พระวิญญาณจะทรงนำเราและช่วยเราในการนมัสการด้วยจิตวิญญาณ แต่หลายครั้งเราถูกปิดกั้นด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง ทำให้เราไม่สามารถเห็นพระสิริของพระเจ้าอย่างแท้จริง และหลายครั้ง รูปแบบการนมัสการ ทำให้เราขาดเสรีภาพในการนมัสการ

พระวิญญาณทรงเสด็จมา และทรงนำเราสู่ความจริงทั้งปวง

เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น (ยอห์น 16:13)

การนมัสการด้วยวิญญาณจิต จะทำให้เราสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระสิริของพระเจ้า ซึ่งเป็นการสัมผัสในวิญญาณจิตของเรา พระเจ้าจะนำสิ่งที่เป็นของพระองค์สำแดงแก่เราทั้งหลาย และการนมัสการด้วยวิญญาณจิต เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นผู้ช่วย หนุนใจ เร้าใจ ให้เราหลุดพ้นจากสิ่งที่ปิดกั้น ให้เราเคลื่อนไปกับพระองค์

18 และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณ
19 จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงสรรเสริญ คือร้องเพลงสรรเสริญและสดุดีจากใจของท่าน ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า (เอเฟซัส 5:19)

เมื่อเราประกอบด้วยพระวิญญาณแล้ว เราจะสามารถร้องเพลงสรรเสริญและสดุดีจากใจ ถวายแด่พระเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่ร้องเพลงจากปากเท่านั้น แต่ร้องจากใจ และออกมาทางปาก นี่จึงทำให้การนมัสการของเราเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย

หลายครั้งเราเน้นการร้องเพลงที่ออกจากปาก แต่ไม่เน้นการร้องเพลงที่ออกจากจิตใจของเราด้วย

สิ่งที่มนุษย์คิดไม่เหมือนที่พระเจ้าคิด สิ่งที่มนุษย์ชื่นชม ไม่เหมือนกับที่พระเจ้าทรงชื่นชม แต่พระคำของพระเจ้าเน้นที่ใจ เน้นที่ภายในมากกว่าภายนอก

พระเจ้าทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ การนมัสการที่ถูกต้องนั้นหายาก พระเจ้าจึงต้องทรงหา

การนมัสการที่พระเจ้าทรงพอพระทัยไม่ใช่มีทั่วไป แต่จะต้องออกจากจิตใจของคนคนนั้น ซึ่งเมื่อเรานมัสการพระเจ้าได้อย่างถูกต้องแล้ว พระเจ้าจะทรงอวยพระพร เยี่ยมเยียน สัมผัส แล้วเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ และมีศักดิ์ศรีที่มาจากพระเจ้ามากขึ้น

หลายคนนมัสการพระเจ้ามาก ๆ ใบหน้าเหมือนมีแสงออกมา เราจะสัมผัสได้เลยว่าพระเจ้าทรงสถิตกับผู้นั้น นี่เป็นสิ่งที่แสดงออกจากสีหน้า ออกจากชีวิต เขาได้พบพระเจ้า และสัมผัสความยิ่งใหญ๋ของพระองค์ นี่เป็นการนมัสการด้วยจิตวิญญาณ

ขอที่เราจะพึ่งพาพระเจ้า ตั้งเป้าหมายว่าเราจะถึงการนมัสการเช่นนั้น ซึ่งเป็นการนมัสการที่ไหลล้นจากจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย และพระองค์ทรงแสวงหา เพื่อเราจะพบพระองค์และสัมผัสพระองค์


ศจ. มนูญศักดิ์ กมลมาตยากุล

คำเทศนาการนมัสการรอบบ่าย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 13/02/2011

เรื่อง การนมัสการ

 

หมายเหตุ:

  • ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ
  • หัวข้อต่าง ๆ นั้น ผมได้ตั้งขึ้นมาเอง เพื่อความสะดวกในการอ่านครับ

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การนมัสการ (3/7)

การนมัสการด้วยจิตวิญญาณ คือ การถวายร่างกายของเราให้กับพระเจ้า

พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย (โรม 12:1)

คำว่า "ถวายตัว" ในที่นี่หมายถึง การถวายร่างกาย

การนมัสการด้วยจิตวิญญาณ เป็นการนมัสการด้วยการถวายตัวเราเองให้กับพระเจ้า เราไม่ต้องเอาวัว แพะ แกะ หรือสัตว์ต่าง ๆ มาถวาย เพราะยุคนั้นผ่านพ้นไปแล้ว แต่เราเพียงแค่เอาตัวของเรามาถวายแด่พระเจ้า

พระเจ้าทรงไถ่เราไว้ เพื่อให้เรากลับเป็นของพระองค์ ร่างกายนี้พระเจ้าได้ซื้อไว้แล้ว เราไม่ใช่เจ้าของตัวเราเองอีกต่อไป

ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง (1โครินธ์ 6:19)

การถวายร่างกายของเราให้กับพระเจ้า เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

คนจะนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณอย่างแท้จริง จะต้องเข้าใจและยอมรับความจริงนี้ เพราะร่างกายของเราไม่ใช่ของเรา แต่เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นของพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงซื้อเราไว้แล้วด้วยราคาสูง

ทุกคนที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงไถ่ไว้แล้ว ทรงซื้อเราจากอำนาจของมารซาตาน เพื่อให้เรากลับมาเป็นสมบัติของพระองค์ ทรงซื้อด้วยราคาสูง คือ ด้วยชีวิตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ที่ทรงจ่ายแทนเรา

การนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ คือ การถวายร่างกายนี้ที่เป็นของพระองค์ กลับคืนแก่พระองค์ ชีวิตเราเป็นของพระองค์ ร่างกายของเราเป็นของพระองค์ เราจึงถวายร่างกายนี้ให้แก่พระองค์ ด้วยจิตสำนึกว่าเราเป็นหนี้พระคุณ สำนึกในพระคุณ เราจึงยินดีที่จะมอบชีวิตนี้ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า รับใช้พระองค์ เราจะไม่อยู่เพื่อตัวเราเองอีกต่อไป แต่อยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา

เมื่อเราจะใช้ร่างกายนี้จะทำอะไร เราต้องคิดถึงเจ้าของร่างกายนี้ ถ้าเราคิดเช่นนี้ ก็หมายความว่าการนมัสการด้วยจิตวิญญาณจะส่งผลต่อเราในชีวิตประจำวันระหว่างอาทิตย์ด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ที่คริสตจักร การนมัสการจะเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของเราในทุก ๆ แห่ง ในทุกก้าวที่เราเดินจะเป็นการนมัสการพระเจ้า เป็นการตระหนักว่าเราพร้อมให้พระเจ้าทำงานผ่านชีวิตเรา เพื่อน้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ

การนมัสการพระเจ้าด้วยชีวิตที่บริสุทธิ์ คือ การที่เราให้ชีวิตของเราเป็นสิ่งที่แยกออกมาให้แด่พระเจ้าโดยเฉพาะเจาะจง พระองค์เป็นเจ้าของชีวิตของเรา เราจึงอยู่เพื่อพระองค์ และทำตามน้ำพระทัยของพระองค์

นี่เป็นการนมัสการที่พระเจ้าทรงพอพระทัย เป็นการนมัสการที่เรามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า


ศจ. มนูญศักดิ์ กมลมาตยากุล

คำเทศนาการนมัสการรอบบ่าย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 13/02/2011

เรื่อง การนมัสการ

 

หมายเหตุ:

  • ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ
  • หัวข้อต่าง ๆ นั้น ผมได้ตั้งขึ้นมาเอง เพื่อความสะดวกในการอ่านครับ

วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การนมัสการ (2/7)

การนมัสการด้วยจิตวิญญาณ คือ การนมัสการด้วยตัวตนที่แท้จริงของเรา

23 "แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์
24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง" (ยอห์น 4:23-24)

พระเยซูคริสต์ไม่ได้ตรัสถึงเรื่องสถานที่เลย เพราะเรื่องของสถานที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป

วาระที่พระองค์ตรัสถึง ก็คือวาระของเรานี้ ที่พระองค์ได้ทรงเปิดหนทางแห่งความรอดให้แก่ชาวยิวและชาวต่างชาติ เป็นการเปิดศักราชใหม่ ที่เราจะรู้จักพระเจ้าด้วยท่าทีที่ถูกต้องจากภายใน

พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระองค์ทรงสถิตในทุกหนทุกแห่ง ผู้ที่จะนมัสการพระเจ้าจะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณ

มนุษย์ที่แท้จริง เป็นจิตวิญญาณ ร่างกายของเราเป็นเพียงแค่เรือนดินที่เราอาศัยอยู่เพียงชั่วคราว

การนมัสการด้วยจิตวิญญาณ คือการนมัสการด้วยตัวตนที่แท้จริงของเรา ออกมาจากภายในของเรา ที่ยกย่องและสรรเสริญพระเจ้าอย่างแท้จริง นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการ ไม่ใช่ระเบียบแบบแผน หรือพิธีกรรม ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การกล่าวถ้อยคำ เสียงเพลง หรืออธิษฐานออกเสียงเท่านั้น แต่ทั้งสิ้นล้วนออกมาจากภายใน

พวกฟาริสีและธรรมาจารย์เน้นเรื่องการแสดงออกภายนอก แต่ภายในไม่ได้สอดคล้องกับการแสดงออกภายนอก จนพระองค์ตำหนิคนเหล่านี้ว่า "หน้าซื่อใจคด"

7 โอ คนหน้าซื่อใจคด อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกท่านถูกแล้วว่า
8 ประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของเขาห่างไกลจากเรา
9 เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาตู่ว่าเป็นพระดำรัสสอนของพระเจ้า (มัทธิว 15:7-9)

พระองค์ตรัสตรง ๆ แก่พวกเขา โดยอ้างถึงคำพยากรณ์ของอิสยาห์ พระองค์ตอกย้ำว่า การนมัสการของพวกธรรมาจารย์และฟาริสีไม่ได้ออกจากภายในจิตใจจริง ๆ เป็นเพียงการนมัสการภายนอก เป็นการให้เกียรติแต่ปาก แต่ปากกับใจไม่ตรงกัน

ถ้ามีแต่ถ้อยคำที่สรรเสริญพระเจ้า แต่ใจไม่ได้เช่นนั้น ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยในสายพระเนตรของพระเจ้า

มนุษย์มองดูภายนอก แต่พระเจ้าทรงทอดพระเนตรที่จิตใจ

ถ้าใจห่างไกลพระเจ้า ไม่ได้ยกย่องเชิดชูพระเจ้า ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหน พระเจ้าก็ไม่ทรงรับ

แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าสถานที่ไม่มีส่วน แต่สถานที่เป็นเพียงองค์ประกอบเท่านั้น ถ้าเรามายังสถานนมัสการ แต่ใจไม่อยู่ ก็ไม่มีประโยชน์

บางคนอยู่ที่บ้าน แต่นมัสการด้วยจิตใจ พระเจ้าก็ทรงรับการนมัสการนั้น แต่นี่ไม่ใช่หมายความว่าไม่ต้องมาโบสถ์ หากแต่ว่าอย่ามาโบสถ์เพียงแต่ตัวเท่านั้น แต่ให้นำหัวใจมาด้วย

วันนี้ ตัวท่านอยู่ที่นี่ ใจของท่านอยู่ที่ไหน? บางคนตัวกับใจอยู่คนละที่ ตัวอยู่นี่แต่ใจกลับล่องลอยไปที่อื่น

สมัยนั้น ชาวยิวมีพิธีกรรมมากมาย เป็นความคุ้นเคย แต่ขาดส่วนสำคัญ คือ ส่วนของจิตวิญญาณที่ยกย่องและสรรเสริญพระเจ้า ในสายพระเนตรพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เป็นของปลอม

การนมัสการของจริง ต้องมาจากตัวจริง ไม่ใช่ออกมาจากหน้ากาก

คาอินถวายเครื่องบูชา พระเจ้าไม่ทรงรับ แต่ของอาเบลพระเจ้าทรงรับ เพราะคาอินไม่ได้ถวายด้วยท่าทีที่ถูกต้องที่พระเจ้าจะทรงรับเครื่องบูชาได้ เขาไม่เชื่อฟัง ไม่ถ่อมใจ นมัสการพระเจ้าแต่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เมื่อพระเจ้าไม่ทรงรับ เขาก็โมโหทันที นี่เป็นการนมัสการที่พระเจ้าทรงรับไม่ได้


ศจ. มนูญศักดิ์ กมลมาตยากุล

คำเทศนาการนมัสการรอบบ่าย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 13/02/2011

เรื่อง การนมัสการ

 

หมายเหตุ:

  • ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ
  • หัวข้อต่าง ๆ นั้น ผมได้ตั้งขึ้นมาเอง เพื่อความสะดวกในการอ่านครับ

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การนมัสการ (1/7)

 

19 นางทูลพระองค์ว่า "ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ
20 บรรพบุรุษของพวกเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านว่าตำบลที่ควรนมัสการนั้น คือเยรูซาเล็ม"
21 พระเยซูตรัสกับนางว่า "หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีวันหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดา เฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม
22 ซึ่งเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จัก ซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้จัก เพราะความรอดนั้นมาจากพวกยิว
23 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง
เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์
24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง" (ยอห์น 4:19-24)


พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้นมัสการ ดังนั้น การนมัสการที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

พระเยซูคริสต์ทรงเปิดเผยให้เราได้รู้เกี่ยวกับการนมัสการ เมื่อพระองค์ทรงสนทนากับหญิงชาวสะมาเรีย ซึ่งปรากฎอยู่ในยอห์นบทที่ 4

หญิงชาวสะมาเรียผู้นี้มีประวัติที่ไม่ดี เธอได้พบกับพระเยซูคริต์ที่บ่อน้ำ และสนทนา เมื่อพระเยซูทรงเปิดเผยความลับในชีวิตของเธอ เธอก็เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น และเรื่องหนึ่งที่เธอได้พาดพิงถึง คือ "เรื่องการนมัสการ"

 

การนมัสการที่ถูกต้อง ไม่ใช่เรื่องของสถานที่

ความเข้าใจของคนในเวลานั้น ก็ไม่ต่างจากความเข้าใจของคนในเวลานี้เท่าไรนัก เพราะเมื่อนางพูดถึงการนมัสการก็จะพูดถึงสถานที่ เพราะชาวสะมาเรียจะนมัสการที่ภูเขาเกริซิม ภูเขานี้อยู่ในดินแดนของเอฟราอิม ซึ่งเป็นที่ที่สะมาเรียอยู่

ชาวสะมาเรียเป็นพวกยิวที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ เนื่องจากอาศัยปะปนอยู่กับชาติอื่น ๆ พวกยิวรังเกียจมาก ว่าพวกเขาไม่ใช่ยิวแท้ จึงถูกกีดกันไม่ให้นมัสการพระเจ้าที่เยรูซาเร็ม พวกเขาจึงสร้างสถานนมัสการที่ภูเขานี้ จนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาตลอด แต่ชาวยิวบอกว่าต้องนมัสการที่เยรูซาเล็ม

สมัยโมเสส การนมัสการพระเจ้าจะต้องไปยังที่ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แต่การนมัสการที่แท้จริง ไม่ใช่เรื่องของสถานที่

บางครั้งเราคิดว่าการนมัสการพระเจ้า จะต้องเป็นที่คริสตจักร เมื่อเข้าโบสถ์ วิญญาณแห่งการนมัสการก็มาสวมทับ พอออกจากโบสถ์สิ่งนี้ก็หายไปทันที อารมณ์ที่อยากจะนมัสการไม่มีอีกต่อไป

พระเยซูคริสต์ทรงเปิดเผยว่า การนมัสการที่ถูกต้องเกี่ยวข้องกับท่าทีภายใน ความเข้าใจ และความสัมพันธ์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานที่หรือสิ่งแวดล้อมภายนอก


ศจ. มนูญศักดิ์ กมลมาตยากุล

คำเทศนาการนมัสการรอบบ่าย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 13/02/2011

เรื่อง การนมัสการ

 

หมายเหตุ:

  • ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ
  • หัวข้อต่าง ๆ นั้น ผมได้ตั้งขึ้นมาเอง เพื่อความสะดวกในการอ่านครับ

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นับวันเวลาของตนเอง (8/8)

12 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว
13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
14 ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ
15 เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงคิดอย่างนั้น และถ้าท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะทรงโปรดให้เรื่องนั้นประจักษ์แก่ท่านด้วย
16 แต่เราได้แค่ไหนแล้ว ก็ให้เราดำเนินตรงตามนั้นต่อไป (ฟิลิปปี 3:12-16)

พระเจ้าต้องการให้เรานับวันเวลา ที่ผ่านมาแล้วให้ลืมไป ตั้งแต่วันนี้ เดินหน้าต่อไป ทำให้ดีที่สุด

ในการแข่งขันวิ่งมาราธอนในกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศเม็กซิโก ปี 1968 มีคนเข้าแข่งขันทั้งหมด 74 คน และมีคนเข้าเส้นชัยทั้งสิ้น 57 คน

เมื่อคนที่ 56 เข้าเส้นชัย ผู้ชมการมอบเหรียญก็เริ่มทยอยออกจากสนาม แต่ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงตบมืออยู่นอกสนาม มีคนร้องตะโกนว่า ยังมีอีกคนหนึ่งวิ่งอยู่ คนก็เริ่มกลับเข้ามาใหม่ มามองว่าเป็นใคร เขาคือ John Stephen Akhwari นักวิ่งจากประเทศแทนซาเนีย ซึ่งขณะวิ่งเขาได้ล้มลง และเอ็นที่เข่าฉีกขาด ร่วมกับข้อเข่าเคลื่อน เขาได้พยายามเดินไปวิ่งไป คนดูต่างก็ปรบมือให้กำลังใจ จนสุดท้ายเขาก็เข้าถึงเส้นชัย

ผู้สื่อข่าวถามเขาว่า "ทำไมต้องวิ่งอีก การแข่งขันก็จบแล้ว จะวิ่งไปเพื่ออะไร?" เขาตอบว่า "ประเทศของผมไม่ได้ส่งให้ผมเดินทางกว่า 5,000 ไมล์เพื่อเริ่มแข่งขัน แต่พวกเขาส่งผมมากว่า 5,000 ไมล์เพื่อให้แข่งขันจนจบ"

วิ่งช้าหรือเร็วไม่สำคัญ แต่ต้องวิ่งเข้าเส้นชัย

จงใช้เวลาให้คุ้มค่า วิ่งไปรับตำแหน่งของเรา


อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการเนื่องในวันตรุษจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 03/02/2011

เรื่อง นับวันเวลาของตนเอง

สรุปโดย BB

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นับวันเวลาของตนเอง (7/8)

ข้อคิดในการนับวันเวลาที่เหลืออยู่ (บวก ลบ คูณ หาร)

4. วิธีหาร

หมายถึง เวลาที่เหลืออยู่ ในเวลาเท่ากัน พยายามให้ชีวิตของเราแบ่งปันพระพรสำหรับผู้อื่นให้ได้มากที่สุด

พระเยซูทรงรู้จักวิธีหารดีที่สุด ไม่ว่าพระองค์จะทรงเหน็ดเหนื่อยเพียงไร พระองค์ก็ทรงแบ่งเวลาให้ผู้อื่นเสมอ แม้อาจเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ

ขณะที่พระองค์เสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย พระองค์ทรงรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ร้อน และกระหายน้ำ เมื่อพระองค์ทรงพบหญิงชาวสะมาเรียผู้หนึ่งที่บ่อน้ำ พระองค์ก็เอาพระทัยใส่

ครั้งหนึ่ง ขณะที่พระองค์ทรงเทศนาสั่งสอนอยู่ ก็มีเด็กมากวน พระองค์ก็ทรงให้เวลากับเด็ก ๆ

เราไม่สามารถทราบได้หรอกว่า บางทีเด็กคนหนึ่งในท่ามกลางพี่น้องอาจเป็นผู้รับใช้ในอนาคตก็ได้

อีกเหตุการณ์หนึ่ง พระองค์ทรงขับผีออกจากชายผู้หนึ่ง หลังจากนั้น ชายผู้นี้ก็ได้ออกไปเทศนาให้คน 11 เมืองฟัง

ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ไปให้โอวาทในงานแต่งงานงานหนึ่งที่ยโสธร มีหลายคนมาทักทายข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะเดินเข้าห้องประชุม ก็มีหญิงสาวท่านหนึ่ง อายุประมาณ 30 ปี มาทักทายข้าพเจ้า ถามข้าพเจ้าว่าจำเขาได้ไหม ซึ่งข้าพเจ้าก็บอกตรง ๆ ว่าจำไม่ได้ เธอผู้นี้ก็เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเธอทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วได้ฟังคำเทศนาของข้าพเจ้าที่คริสตจักรแสงสว่าง และตอนนี้เธอได้ถวายตัว เรียนพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าฟังแล้วก็เฉย ๆ และตอบไปว่าก็ดีนะ แต่เมื่อข้าพเจ้าเดินไปได้หน่อยหนึ่ง ก็รู้สึกว่า ตนเองทำไม่ถูก จึงเดินกลับไป ซึ่งก็พบว่าหน้าตาของเธอก็เหวอพอควร คงจะรู้สึกว่าทำไมข้าพเจ้าไม่ค่อยสนใจ ไม่ให้เวลาเลย ข้าพเจ้าจึงได้ชวนเธอถ่ายรูปด้วย นี่เป็นโอกาสที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับ "การหาร"

วันหนึ่งบนสวรรค์ จะมีหลายคนมาหาเรา ถามว่าจำเขาได้ไหม และเราอาจจะจำไม่ได้ แต่เขากลับจำเราได้แม่น เพราะเราเคยประกาศกับเขา ซึ่งเราอาจลืมเขาไปแล้ว แต่เขาจะไม่เคยลืมเราเลย

"การแบ่ง" เป็นวิธีการให้ชีวิตครบบริบูรณ์


อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการเนื่องในวันตรุษจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 03/02/2011

เรื่อง นับวันเวลาของตนเอง

สรุปโดย BB

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นับวันเวลาของตนเอง (6/8)

ข้อคิดในการนับวันเวลาที่เหลืออยู่ (บวก ลบ คูณ หาร)

3. วิธีคูณ

หากข้าพเจ้าจะสอนการคูณให้กับคนในโบสถ์นี้ ก็คงเหมือนกับสอนจระเข้ว่ายน้ำ เพราะแต่ละคนคงทราบดีอยู่แล้ว

ถ้าหากว่าเรามีเงิน 30 ล้าน เราจะลงทุนอะไรดี? วิธีที่ดีที่สุด คือ ต้องลงทุน 2 อย่างในเวลาเดียวกัน นี่เป็นการใช้วิธีคูณ

ในปีใหม่นี้ ขอที่เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างคุ้มค่า แม้ว่าจะมีสติปัญญาเท่าเดิม เวลาเท่าเดิม แต่ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เหมือนยิงปืนทีเดียว ได้นก 2 ตัว

ตอนที่ข้าพเจ้าเพิ่งรับเชื่อได้เพียง 1 เดือน ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ที่โคราช มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่สร้างข้าพเจ้าทางความเชื่อเป็นคนแรก ตัวท่านเล็กมากเหมือนคนแคระ และท่านเป็นมะเร็งด้วย แต่ท่านก็ยังเดินทางมาสอนข้าพเจ้าด้วยระยะเวลาสั้น ๆ ท่านสอนวิธีการคูณให้กับผม

ตอนนั้นข้าพเจ้ายังทำอะไรก็ไม่เป็น ทำเป็นแต่แจกไปปลิวอย่างเดียว โดยไม่พูดอะไร ใครถามเกี่ยวกับใบปลิวหรือเรื่องพระเจ้า ก็ตอบเขาว่าให้ไปอ่านเองแล้วกัน

อาจารย์ท่านนี้พูดได้แต่ภาษาจีนกลาง ท่านได้ให้ข้าพเจ้าช่วยแปลให้ท่าน แต่หลังจากข้าพเจ้าแปลให้ท่านได้ 10 วัน ข้าพเจ้าก็ได้รับมอบหมายให้เทศนาเลย มีเวลาเท่ากัน แต่ได้ 2 อย่าง นี่คือ วิธีคูณ


อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการเนื่องในวันตรุษจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 03/02/2011

เรื่อง นับวันเวลาของตนเอง

สรุปโดย BB

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นับวันเวลาของตนเอง (5/8)

ข้อคิดในการนับวันเวลาที่เหลืออยู่ (บวก ลบ คูณ หาร)

2. วิธีลบ

พระธรรมโรม 13:11 และเอเฟซัส 5:14-17 ทั้งสองตอนเขียนโดยอาจารย์เปาโลเหมือนกัน แต่ท่านได้เน้นต่างกันบ้าง

นอกจากนี้ท่านควรจะรู้กาลสมัยว่า บัดนี้เป็นเวลาที่เราควรจะตื่นจากหลับแล้ว เพราะว่าเวลาที่เราจะรอดนั้นใกล้กว่าเวลาที่เราได้เริ่มเชื่อนั้น (โรม 13:11)

ในความคิดเรื่องเวลาของอาจารย์เปาโลนั้น ระยะเวลาตั้งแต่วันที่พระเจ้าทรงสร้างโลก จนถึงวันที่พระองค์ทรงเสด็จเข้ามาในโลกนั้นยาว แต่ระยะเวลาจากวันที่พระองค์เข้ามาในโลก จนถึงวันที่พระองค์จะทรงเสด็จกลับมาอีกครั้งนั้นสั้น เพราะฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงบอกเราว่า เวลาเหลือน้อยแล้ว

14 เหตุฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่า นี่แน่ะคนที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น และจงฟื้นขึ้นมาจากความตาย และพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน
15 เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา
16 จงฉวยโอกาส เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว
17 เหตุฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงเข้าใจน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นอย่างไร (เอเฟซัส 5:14-17)

ในเอเฟซัส อาจารย์เปาโลต้องการบอกแก่เราว่าเวลาเหลือน้อยแล้วเหมือนกัน โดยท่านเน้นให้เรา "ตื่นขึ้นจากหลับ"

ถ้าเรานอนไม่หลับ จะรู้สึกว่า เวลาผ่านไปช้ามาก ถ้าเรานอนหลับดี จะรู้สึกว่า เวลาผ่านไปเร็วมาก แต่อาจารย์เปาโลเตือนให้คริสเตียนตื่นจากหลับ

วัยรุ่นส่วนใหญ่เวลาร้องเพลงในโบสถ์ อาจร้องว่า "หมดทั้งชีวิต หมดที่ข้ามี ข้าขอวางลงจำเพาะพระพักตร์พระองค์ ..." แต่หลังจากร้องเสร็จ ก็หลับเลยทันที ตื่นอีกทีก็อายุได้ 70 ปี เริ่มที่จะกลับมาจริงจังกับพระเจ้า ก็เมื่อใกล้จะหมดเวลาแล้ว

อาจารย์เปาโลเกรงว่า คริสเตียนจะหลับใหล และถ้าหลับก็จะฝัน ซึ่งเขาจะไม่สามารถทำในสิ่งที่พระเจ้าอยากให้ทำ เพราะเขาไม่สามารถหยิบอะไรออกจากความฝันได้เลย

อย่าเป็น "หูถู" (เลอะเลือน) แต่ต้องเป็น "จีตูถู" (คริสเตียน)

อาจารย์เปาโลจึงบอกให้เราเห็นคุณค่าของเวลา หรือ "จงฉวยโอกาส" ซึ่งภาษาอังกฤษใช้คำว่า "redeem the time"

พระคัมภีร์ตอนนี้ ใช้ภาษาในการแปลแตกต่างกันในภาษาไทย จีน และอังกฤษ

  • ภาษาไทย ใช้คำว่า "ฉวยโอกาส"
  • ภาษาจีน ใช้คำว่า "ไม่ฆ่าเวลา"
  • ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า "ไถ่เวลา"

แต่ถ้าเรานำ 3 คำนี้มาผสมกันได้ ก็จะดีมาก

มีคำกล่าวว่า "Time is money" นั่นคือ เวลาเป็นเงินเป็นทอง แต่คนมีเงินก็ไม่สามารถซื้อเวลาได้ ดังนั้น จงใช้เวลาที่เหลือให้เป็น


อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการเนื่องในวันตรุษจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 03/02/2011

เรื่อง นับวันเวลาของตนเอง

สรุปโดย BB

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นับวันเวลาของตนเอง (4/8)

ข้อคิดในการนับวันเวลาที่เหลืออยู่ (บวก ลบ คูณ หาร)

ข้าพเจ้าอยากให้ข้อคิดแก่พี่น้องไว้ ข้าพเจ้ามั่นใจว่าถ้าพี่น้องนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ พี่น้องจะมีสติปัญญาจากพระเจ้า

1. วิธีบวก

พระเจ้าเพิ่มให้เราอีกปีเพราะอะไร? พระเจ้าทรงต่ออายุให้เราเพื่ออะไร?

1 ครั้งนั้น เฮเซคียาห์ทรงประชวรใกล้จะสิ้นพระชนม์ และอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะบุตรอามอสเข้ามาเฝ้าพระองค์ และทูลพระองค์ว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'จงจัดการบ้านการเมืองของเจ้าให้เรียบร้อย เจ้าจะต้องตาย เจ้าจะไม่ฟื้น' "
2 แล้วเฮเซคียาห์ทรงหันพระพักตร์เข้าข้างฝา และอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า
3 "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงระลึกถึงว่า ข้าพระองค์ดำเนินอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ด้วย ความซื่อสัตย์และด้วยสิ้นสุดใจ และได้กระทำสิ่งที่ดีในสายพระเนตรของพระองค์" และเฮเซคียาห์กันแสงมากยิ่ง (2 พงศ์กษัตริย์ 20:1-3)

และเราจะเพิ่มชีวิตของเจ้าอีกสิบห้าปีเราจะช่วยกู้เจ้า และเมืองนี้จากมือของพระราชาแห่งอัสซีเรีย และป้องกันเมืองนี้ไว้ เพื่อเห็นแก่เราเอง และเพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา (2 พงศ์กษัตริย์ 20:6)

แล้วเฮเซคียาห์ตรัสกับอิสยาห์ว่า "พระวจนะของพระเจ้าซึ่งท่านกล่าวนั้นก็ดีอยู่" เพราะพระองค์ดำริว่า "ก็ดีแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อมีความอยู่เย็นเป็นสุขและความปลอดภัยใน วันเวลาของเรา" (2 พงศ์กษัตริย์ 20:19)

นักปรัชญาจีนบอกว่า เราหนีไม่พ้น 3 คำนี้

  • คู ที่แปลว่า ร้องไห้ เมื่อเด็กคลดออกมาจากท้องแม่ ก็จะต้องร้องไห้ทุกคน เหมือนไม่อยากเกิดมา
  • คู ที่แปลว่า ยากลำบาก มนุษย์เราต้องทำงานด้วยความยากลำบาก
  • คู ที่แปลว่า เหี่ยวแห้ง ร่างกายคนเราต้องเหี่ยวแห้ง

นักปรัชญาบอกว่า ถึงเวลานี้ มนุษย์จะต้องเริ่มร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง การร้องไห้ครั้งแรกนั้นเป็นเพราะไม่อยากเกิด แต่ครั้งนี้ การร้องไห้จะเป็นเพราะไม่อยากตาย

เฮเซคียาห์ เป็นกษัตริย์ที่ดำเนินกับพระเจ้า อยู่มาวันหนึ่ง ท่านประชวร ท่านได้ร้องไห้คร่ำครวญกับพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงประทานแก่ท่านอีก 15 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่นานมากทีเดียว

พระเจ้าเพิ่มให้แก่ท่านทำไม? ก็เป็นเพราะมีงานบางอย่างที่ท่านยังทำไม่เสร็จ ซึ่งในที่สุดท่านก็ได้ทำจนสำเร็จ แต่มีงานหนึ่งซึ่งเขาทำไม่สำเร็จ นั่นคือ การสร้างคนรุ่นหลังให้เอาจริงเอาจังกับพระเจ้า ท่านกลับหยิ่งจองหองและภูมิใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ยามที่ทูตจากบาบิโลนมาเยี่ยม ท่านได้เปิดเผยทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้บาบิโลนเห็น ซึ่งอิสยาห์ได้เตือนว่า นี่ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าที่ท่านทำเช่นนั้น แต่พระองค์ทรงประสงค์ให้ท่านสร้างคนรุ่นหลังในความเชื่อ แต่ท่านไม่เชื่อฟัง ไม่สนใจ

พระเจ้าต้องการให้เราทำงานของพระองค์ให้เสร็จ นั่นคือ การสร้างสาวก ถ้าคนรุ่นหลังไม่เก่งกว่าคนรุ่นก่อน จะเกิดอะไรขึ้น? เราต้องใช้เวลาที่เหลือ สร้างลูกหลานให้รักพระเจ้า เอาจริงเอาจังกับพระเจ้า


อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการเนื่องในวันตรุษจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 03/02/2011

เรื่อง นับวันเวลาของตนเอง

สรุปโดย BB

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นับวันเวลาของตนเอง (3/8)

ขอพระองค์ทรงสอนให้นับวันของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะมีจิตใจที่มีปัญญา (สดุดี 90:12)

พระคัมภีร์ข้อนี้ เป็นคำอธิษฐานของโมเสส ผู้ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่เป็นผู้นำเท่านั้น แต่ท่านยังมีชีวิตที่เป็นแบบอย่างที่ดีด้วย

ตามธรรมเนียมของอิสราเอล คนที่เคร่งครัดในธรรมบัญญัติจะอ่านเฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 1 โดยเฉพาะข้อที่ 31 ในช่วงปีใหม่ ซึ่งพระคำตอนนี้เป็นคำเขียนของโมเสส เพื่อระลึกถึงพระคุณของพระเจ้าที่มีในชีวิต

และในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งในที่นั้นพวกท่านได้เห็นพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านทรงอุ้มชูพวกท่าน ดังพ่ออุ้มลูกของตนตลอดทางที่ท่านได้ไปนั้น จนท่านทั้งหลายได้มาถึงที่นี่ (เฉลยธรรมบัญญัติ 1:31)

ท่านเคยเห็นภาพรอยเท้าบนหาดทรายหรือไม่? concept ของภาพนี้ก็มาจากพระธรรมตอนนี้

ในเวลาที่ไม่มีอุปสรรค เราจะพบมีรอยเท้า 2 คู่บนหาดทราย แต่ในเวลาที่มีอุปสรรค รอยเท้านั้นก็จะเหลือเพียงคู่เดียว ซึ่งเป็นรอยเท้าของพระเจ้า แล้วรอยเท้าอีกคู่ล่ะหายไปไหน?

คำตอบก็พบได้จากพระธรรมตอนนี้ นั่นคือ "พระเจ้าทรงอุ้มเขา ดั่งพ่ออุ้มลูก"

ทุกครั้งที่ถึงปีใหม่ ชาวอิสราเอลจะได้รับการหนุนใจให้นับวันเวลาของตนเอง เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากให้เราทำเช่นกันในวันนี้

การนับวันเวลานั้น หมายถึง วันเวลาที่เหลืออยู่

มีสำนวนอังกฤษที่ว่า the river of no return ซึ่งหมายถึงสายน้ำไม่มีวันไหลย้อนกลับ



อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการเนื่องในวันตรุษจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 03/02/2011

เรื่อง นับวันเวลาของตนเอง

สรุปโดย BB

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นับวันเวลาของตนเอง (2/8)

ในช่วงเทศกาลตรุษจีน เมื่อคนจีนจะรับประทานผลไม้ เขาก็จะต้องเลือกด้วย เช่น

  • แอปเปิ้ล (ผิงกั่ว) ผิง แปลว่า มีสันติสุข
  • ส้ม (จวี๋จื่อ) จวี๋ แปลว่า โชคลาภ
  • ปลา (อวี๋) อวี๋ แปลว่า เหลือเฟือ
  • หมี่ (เมี่ยน) เมี่ยนแปลว่า อายุยืน
  • ไก่ (จี) จีแปลว่า โอกาส

แต่สำหรับคริสเตียน ทุกวันดีหมด ไม่มีวันชง ดังจะเห็นว่า เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลก พระองค์ทรงเห็นว่าดี ไม่ได้บอกว่า วันนี้ชง หรือเป็นวันที่ไม่ดี เพราะสำหรับคริสเตียนแล้ว วันที่ไม่ดีมีเพียงวันเดียว คือ วันที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย แต่วันที่มีพระเจ้าอยู่ด้วยนั้นดีทุกวัน


อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการเนื่องในวันตรุษจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 03/02/2011

เรื่อง นับวันเวลาของตนเอง

สรุปโดย BB

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นับวันเวลาของตนเอง (1/8)

ใน 12 ปีนักกษัตร สัตว์ที่น่ารักที่สุด ก็คือกระต่าย แต่ทำไมกระต่ายที่แสนจะน่ารัก จึงถูกนำมาเปรียบเทียบไม่ดีตลอดเลย?

สำนวนที่เกี่ยวข้องกับกระตาย อาทิเช่น

1. กระต่ายหมายจันทร์ หมายถึง คนที่มีความตั้งใจ แต่ไม่ทำสักที หรือคนที่มีเป้าหมาย แต่ไปไม่ถึงสักที

ในปีที่ผ่านมา เราคิดที่จะทำอะไร แล้วไม่ได้ทำหรือไม่? "Vision without action is just a dream." (วิสัยทัศน์ที่ไม่มีการกระทำ เป็นแค่เพียงความฝัน)

2. กระต่ายตื่นตูม หมายถึง คนที่นิดหน่อยก็ตกใจ นิดหน่อยก็กลัว

ในภาคเหนือ คนจีนที่เป็นมิชชันนารี จะถูกสอนภาษาไทยอยู่ 3 คำคือ

  • ม่ายช่าย (แปลว่า ซื้อผัก)
  • ม่ายหมี่ (แปลว่า ซื้อหมี่)
  • ม่ายต้งกัว (แปลว่า ซื้อฟัก)

เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องกลัวนะครับ

3. กระต่ายขาเดียว หมายถึง คนที่ไม่มีความมั่นคง แต่อยากเอาชนะ

แต่พระคัมภีร์สอนว่า จริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่

จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไป มาจากความชั่ว (หรือ มารร้าย) (มัทธิว 5:37)

เมื่อเราพูดความจริง เราไม่ต้องจำว่าพูดอะไรไปบ้าง แต่ถ้าพูดโกหก เราต้องจำให้ดี เพราะอาจลืมว่าคราวก่อนพูดว่าอะไรออกไป

4. กระต่ายกับเต่า หมายถึง ชีวิตที่ประมาท

ปัญญาจารย์กล่าวว่า คนวิ่งเร็วไม่ชนะการแข่งขันเสมอไป

ข้าพเจ้าได้เห็นภายใต้ดวงอาทิตย์อีกว่า คนเร็วไม่ชนะในการวิ่งแข่งเสมอไป หรือฝ่ายมีกำลังไม่ชนะสงครามเสมอไป หรือคนฉลาดไม่รับประทานเสมอไป หรือคนมีความเข้าใจไม่ร่ำรวยเสมอไป หรือผู้ที่เชี่ยวชาญไม่ได้รับความโปรดปรานเสมอไป แต่วาระและโอกาสมีมาถึงเขาทุกคน (ปัญญาจารย์ 9:11)

ขอที่เราจะไม่ประมาทกับชีวิต พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่เราสามารถวางใจได้ แต่ขณะเดียวกันพระองค์ทรงสอนให้เราไม่ประมาทด้วย

5. กระต่ายใน logo PlayBoy

แต่พระเจ้าไม่ได้สอนให้เราเป็นคนลามก

เพราะพระเจ้ามิได้ทรงเรียกเราให้เป็นคนลามก แต่ทรงเรียกเราให้เป็นคนบริสุทธิ์ (1 เธสะโลนิกา 4:7)



อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการเนื่องในวันตรุษจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 03/02/2011

เรื่อง นับวันเวลาของตนเอง

สรุปโดย BB

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การรับผิดชอบต่อกันและกัน (6/6)

การเป็นกายเดียวกัน ต้องรับผิดชอบด้วยกัน

กายเดียวกัน แปลว่ารับผิดชอบด้วยกัน

ถ้าอวัยวะหนึ่งเจ็บอวัยวะทุกส่วนก็รับผลด้วย ถ้าส่วนหนึ่งชื่นชมยินดี ส่วนอื่นก็ชื่นชมยินดีด้วย

คำอธิษฐานของดาเนียลและเนหะมีย์

ดาเนียลอธิษฐานต่อพระเจ้า ว่าสมควรแล้วที่อิสราเอลจะประสบกับความขายหน้า

ข้าแต่พระเจ้า ความขายหน้าควรแก่พวกข้าพระองค์ แก่พระราชาของข้าพระองค์ทั้งหลาย เจ้านาย และบรรพบุรุษ เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระองค์ (ดาเนียล 9:8)

ดาเนียลใช้คำว่า "ข้าพระองค์ทั้งหลาย" เพื่อแสดงถึงการเป็นกายเดียวกัน เป็นการผสานตัวเอง เข้ากับความเป็นชนชาติ มีความเป็นเดือดเป็นร้อนต่อกันและกัน

เนหะมีย์อธิษฐานด้วยท่าทีเช่นเดียวกับดาเนียล ว่าเขาเกี่ยวข้องกับบาปของอิสราเอล

6 ขอพระองค์ทรงเงี่ยพระกรรณฟัง และขอทรงลืมพระเนตรของพระองค์ดูอยู่ เพื่อจะทรงฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์ทูลอธิษฐานต่อพระองค์ ณ บัดนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อประชาชนอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ สารภาพบาปของประชาชนอิสราเอล ซึ่งข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์กับตระกูลของข้าพระองค์ทำบาปแล้ว
7 ข้าพระองค์ทั้งหลายประพฤติเลวทรามมาก และมิได้รักษาพระบัญญัติ กฎเกณฑ์ และกฎหมายซึ่งพระองค์ได้ทรงบัญชา ไว้กับโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ (เนหะมีย์ 1:6-7)

ก่อนรู้จักพระเจ้าเรามีโลกส่วนตัว และค่านิยมนี้ก็เข้ามาในคริสตจักร แต่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เราเพื่อเราทั้งหลายจะเป็นหนึ่งเดียวกัน

ดังนั้น การไปโบสถ์ทางอินเตอร์เนต ผิดพระคัมภีร์ เพราะนั่นเป็นการรักษาความเป็นส่วนตัว ตั้งใจไม่ให้ใครมายุ่งกับเรา

ข้าพเจ้าไม่ชอบยุ่งกับใครและไม่ชอบให้ใครมายุ่ง แต่นี่เป็นความจริงที่เราทุกคนจะต้องเผชิญแน่ ๆ ในสวรรค์เราจะเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์

เราเป็นกายเดียวกัน รวมกันเป็นหนึ่ง เป็นอวัยวะของกายเดียวกัน ไม่ใช่เป็นเครื่องประดับ ขอที่อวัยวะทุกส่วนจะทำหน้าที่ และเมื่อเรารวมเป็นกายเดียวกัน จะส่งผลให้คนมากมายหลั่งไหลมาในคริสตจักรของเรา

การเป็นกายเดียวกัน เราจะต้องสละตัวเอง แม้ว่ากิจกรรมบางอย่างจะไม่อยากทำ แต่ขอที่เราจะทำ เพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกัน

คำอธิษฐานและคำตรัสของพระเยซูคริสต์

คำอธิษฐานของพระเยซูสะท้อนความคิดของการเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่อธิษฐานเพื่อบาปผิดของเราคนเดียว แต่เพื่อความผิดของพี่น้องด้วย เพราะเราเป็นกายเดียวกัน

และขอทรงโปรดยกบาปผิดของ ข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น (มัทธิว 6:12)

พระเยซูคริสต์ตรัสสอนว่าพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เมื่อเราเจ็บพระองค์ก็ทรงเจ็บ

เมื่อเซาโลกำลังเดินทางไปยังดามัสกัส พระเยซูทรงตรัสกับเซาโล

3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้น มีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ
4 เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสมาว่า "เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม"
5 เซาโลจึงทูลถามว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด" พระองค์ตรัสว่า "เราคือเยซู ซึ่งเจ้าข่มเหง (กิจการ 9:3-5)

จริง ๆ แล้วเซาโลข่มเหงสาวกของพระเยซูคริสต์ แต่เป็นเพราะพระองค์ทรงก็เป็นหนึ่งเดียวกับผู้เชื่อ

เมื่อเป็นเช่นนี้ จะไม่มีผู้ใดที่เราจะยกโทษให้ไม่ได้ เพราะในสวรรค์ เราจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขาเหล่านั้น

คำอธิษฐานเผื่อชนชาติของเรา

ขอที่เราจะเป็นเดือดเป็นร้อนต่อกันและกัน และอธิษฐานเพื่อชนชาติของเรา

"ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสำรวจ และยกโทษความผิดบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทอดทิ้งพระองค์ โดยหันไปหารูปเคารพ นมัสการสิ่งอื่น มีการล่วงประเวณี และข้าพระองค์ทั้งหลายก็ไม่สำนึก ข้าพระองค์ทั้งหลายเอาเปรียบคนที่ไม่มีทางสู้ ขอทรงโปรดยกโทษข้าพระองค์ทั้งหลายด้วย ขอทรงเมตตาฟังจากฟ้าสวรรค์ และลบบาปผิดของประเทศ เพื่อพวกเขาในประเทศ จะคุกเขากราบลงต่อพระพักตร์พระองค์ ละทิ้งความชั่วทั้งหลาย หันมาหาพระองค์ผู้ทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริง เป็นชีวิต และยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงเมตตาฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ทั้งหลายด้วย"

เมื่อเราอธิษฐานเช่นนี้ เรากำลังรวมตัวเราเองกับความเป็นชนชาติของเรา เราคงจะไม่บอกว่าใครผิด

เราเป็นส่วนของคริสตจักรสะพานเหลือง สิ่งที่เราทำ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของเรา เพราะไม่มีเรื่องส่วนตัวในคริสตจักร เมื่อวันหนึ่งเราขึ้นไปในสวรรค์ จะไม่มีเรื่องใดที่ถูกปิดลับ ทุกสิ่งจะเปิดเผย ไม่มีการปกปิดซ่อนเร้น เพราะที่นั่นเป็นความสว่าง ทุกสิ่งโปร่งใส

ถ้าเราสามารถเก็บบันทึกสิ่งที่เราคิดไว้ได้ทั้งที่ลับที่แจ้งไว้ เราจะกล้าเปิดเผยสิ่งเหล่านั้นให้แก่ที่ประชุมหรือไม่? แต่สิ่งเหล่านั้นจะถูกเปิดแน่ ๆ เมื่อเราอยู่หน้าบัลลังค์ของพระเจ้า ถ้าเราจะต้องอายเมื่อสิ่งนั้นถูกเปิดเผย ก็อย่าทำ เพราะมีวันนั้นแน่ ๆ

 

อ. ชัยราช กิจเกื้อกูล (พี่ด้องYFC)

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน" ตอนที่ 3

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

เมื่อเช้าวันที่ 25/07/2010


หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การรับผิดชอบต่อกันและกัน (5/6)

เรื่องของคนคนหนึ่งมีผลต่อส่วนรวม

ความผิดบาปของอาคาน

สมัยโยชูวายกทัพเข้ายึดครองคานาอัน เมืองที่สองที่เขาจะต้องสู้รบด้วย คือเมืองอัย ปรากฎว่าแพ้ศึก ตายไป 36 คน นี่เป็นเรื่องใหญ่ เพราะข่าวเหล่านี้จะกระจายไปทั่วคานาอัน เขาจึงร้องไห้อธิษฐานต่อพระเจ้า และพระเจ้าจึงเปิดเผยว่าที่แพ้ศึกเพราะมีคนคนหนึ่งที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า คือ อาคาน

1 แต่คนอิสราเอลได้ละเมิดในเรื่องของต้องถวายนั้น เพราะอาคานบุตรคารมี ผู้เป็นบุตรศับดี ผู้เป็นบุตรเศ-ราห์ เผ่ายูดาห์ ได้นำของถวายบางส่วนไปเป็นของตน และพระพิโรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่อคนอิสราเอล
2 ฝ่ายโยชูวาให้คนออกจากเยรีโคไปยังเมืองอัย ซึ่งอยู่ใกล้เบธาเวนข้างทิศตะวันออกของเมืองเบธเอล บอกเขาว่า "จงขึ้นไปและสอดแนมดูเมืองนั้น" คนเหล่านั้นก็ขึ้นไปและสอดแนมดูที่เมืองอัย
3 และเขากลับมารายงานแก่โยชูวาว่า "ไม่ต้องให้ประชาชนทั้งหมดขึ้นไป ให้สักสองสามพันคนขึ้นไปตีเมืองอัยก็พอ ไม่ต้องให้ประชาชนทั้งหมดปีนป่ายไปที่นั่นเลย เพราะเขามีคนน้อย"
4 เพราะฉะนั้นจึงมีประชาชนขึ้นไปที่นั่นเพียงสามพันคน แต่ต้องแตกหนีจากชาวเมืองอัย 5ฝ่ายชาวเมืองอัยก็ฆ่าฟันคนเหล่านั้นตาย ประมาณสามสิบหกคน โดยขับไล่คนเหล่านั้นจากประตูเมืองไปยัง เชบาริมฟันเขาตามทางลง และจิตใจของประชาชนก็แหลกเหลวไปอย่างน้ำ (โยชูวา 7:1-6)

สำหรับคนทั่วไปอาจไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นจะต้องเสี่ยงเพราะคนคนเดียว เพราะเป็นแค่เรื่องของอาคานคนเดียว คนทั้ง 36 คนมีญาติพี่น้อง มีคนที่รักรออยู่ แต่ความผิดของคนหนึ่งคน ส่งผลต่อทั้งชุมชน นี่เป็นความจริงที่ปรากฎในพระคัมภีร์

เราไม่ได้ตัดไม้ทำลายป่า ไม่ได้ก่อเหตุวุ่นวาย แต่เหตุไรเราจึงต้องพบกับน้ำปาไหลหลาก? นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น

ความผิดบาปของบุตรชายทั้งสองของเอลี

ผู้รับใช้พระเจ้าคนหนึ่งชื่อเอลี มีลูก 2 คน ทั้งสองทำผิดต่อพระเจ้าร้ายแรง จนพระเจ้าทรงระบุว่าไม่สามารถให้อภัยได้ และกล่าวโทษเอลี ว่า ให้เกียรติลูกของเขามากกว่าพระเจ้า พระเจ้าจะทรงตัดเขาออกจากการรับใช้ และจะไม่มีผู้ใดในตระกูลเขาที่ได้แก่ตาย

หลังจากนั้น ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนวันหนึ่ง ฟิลิสเตียมาโจมตีอิสราเอล และทั้งสองถูกฆ่าตายในสนามรบ เมื่อเอลีทราบข่าวก็คอหักตาย ลูกสะไภ้ที่กำลังตั้งครรภ์ก็คลอดบุตรและเสียชีวิต

10 เพราะฉะนั้นคนฟีลิสเตียจึงสู้รบและอิสราเอลก็พ่ายแพ้ ต่างก็หนีไปยังเต็นท์ของตน ครั้งนั้นมีการฆ่าฟันกันมาก เพราะทหารราบของอิสราเอลตายเสียสามหมื่นคน
11 และหีบแห่งพระเจ้าก็ถูกยึดไป และบุตรทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ถูกฆ่าตาย
12 ผู้ชายเผ่าเบนยามินคนหนึ่งวิ่งไปจากแนวรบมาถึงชิโลห์ ในวันเดียวกัน เสื้อผ้าขาดและดินก็อยู่บนศีรษะของเขา
13 เมื่อเขามาถึงนั้น ดูซี เอลีอยู่บนที่นั่งข้างถนนคอยเฝ้าอยู่ เพราะจิตใจของท่านหวั่นด้วยเรื่องหีบแห่งพระเจ้า และเมื่อชายคนนั้นเข้ามาในเมืองและบอกข่าว ชาวเมืองทั้งสิ้นก็ร้องขึ้น
14 เมื่อเอลีได้ยินเสียงร้องเช่นนั้นก็ถามว่า "นั่นเสียงอะไรกันโกลาหล" แล้วชายคนนั้นก็รีบเข้ามาบอกเอลี
15 ฝ่ายเอลีมีอายุเก้าสิบแปดปี ตาของท่านแข็งมองอะไรไม่เห็น
16 ชายคนนั้นบอกเอลีว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนที่มาจากแนวรบ ข้าพเจ้าหนีมาจากแนวรบวันนี้" เอลีก็ถามว่า "ลูกเอ๋ยเป็นอย่างไรบ้าง"
17 ผู้ที่ส่งข่าวนั้นก็ตอบว่า "อิสราเอลได้หนีพวกฟีลิสเตียไปแล้ว มีการฆ่าฟันกันมากท่ามกลางประชาชน บุตรทั้งสองของท่าน คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ตาย และหีบแห่งพระเจ้าถูกยึดไปเสีย"
18 เมื่อเขากล่าวถึงหีบแห่งพระเจ้า เอลีก็หงายหลังจากที่นั่งที่อยู่ข้างประตู คอของท่านก็หัก และท่านสิ้นชีวิตแล้ว เพราะท่านชรามากและตัวก็หนัก ท่านได้วินิจฉัยคนอิสราเอลอยู่สี่สิบปี
19 ฝ่ายบุตรสะใภ้ของท่าน คือภรรยาของฟีเนหัสมีครรภ์กำลังจะคลอดบุตร และเมื่อนางได้ยินข่าวว่าเขายึดหีบแห่งพระเจ้าไป และพ่อผัวและสามีของนางก็สิ้นชีวิต นางก็โน้มตัวลงและคลอดบุตร เพราะความเจ็บปวดบังเกิดขึ้นแก่นาง
20 เมื่อนางกำลังจะตายนั้น พวกผู้หญิงที่เฝ้านางอยู่ได้บอกนางว่า "อย่ากลัวเลย เพราะเจ้ามีลูกผู้ชายคนหนึ่ง" แต่นางไม่ตอบไม่ฟัง (1ซามูเอล 4:10-20)

จนสมัยซาอูลไล่ฆ่าดาวิด เพราะรู้ว่าพระเจ้าจะทรงตั้งให้ดาวิดเป็นกษัตรย์ ปุโรหิตเมืองโนบที่ถูกฆ่าตายโดยซาอูล ก็เป็นลูกหลานของเอลี

17 และพระราชาก็รับสั่งแก่ราชองครักษ์ผู้ยืนเฝ้าอยู่ว่า "จงหันมาประหารปุโรหิตเหล่านี้ของพระเจ้าเสีย เพราะว่ามือของเขาอยู่กับดาวิดด้วย เขารู้แล้วว่ามันหนีไป แต่ไม่แจ้งให้เรารู้" แต่ข้าราชการผู้รับใช้ของพระราชาไม่ยอมลงมือ ทำกับปุโรหิตของพระเจ้า
18 แล้วพระราชาจึงตรัสกับโดเอกว่า "เจ้าจงไปฟันปุโรหิตเหล่านั้น" โดเอกคนเอโดมก็หันไปฟันบรรดาปุโรหิต ในวันนั้น เขาฆ่าบุคคลที่สวมเอโฟดผ้าป่านเสีย แปดสิบห้าคน
19 และเขาประหารชาวเมืองโนบ ซึ่งเป็นเมืองของปุโรหิตเสียด้วยคมดาบ ฆ่าเสียด้วยคมดาบ ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และเด็กกินนม โค ลาและแกะ (1ซามูเอล 22:17-19)

ก่อนที่ซาโลมอนจะขึ้นครองราษฎร์ ก็มีปัญหาเรื่องการขึ้นครองราษฎร์ อาโดนียาห์มีบารมีสูงมาก และมีแม่ทัพของประเทเข้าข้าง และมีผู้นำฝ่ายวิญญาณ คือมหาปุโรหิตเข้าข้างด้วย แต่เมื่อซาโลมอนได้ขึ้นครองราษฎร์ ก็ปลดอาบียาธาร์จากการเป็นมหาปุโรหิต และเขาก็คือลูกหลานของเอลี

26 ส่วนอาบียาธาร์ปุโรหิตนั้น พระราชารับสั่งว่า "จงไปอยู่ที่อานาโธท ไปสู่ไร่นาของเจ้าเพราะเจ้าควรที่จะตาย แต่ในเวลานี้เราจะไม่ประหารชีวิตเจ้า เพราะว่าเจ้าหามหีบของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าไปข้างหน้าดาวิดราชบิดาของเรา และเพราะเจ้าได้เข้าส่วนในบรรดาความทุกข์ใจราชบิดา ของเรา"
27 ซาโลมอนจึงทรงขับไล่อาบียาธาร์เสียจากหน้าที่ ปุโรหิตของพระเจ้า กระทำให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งพระองค์ตรัส เกี่ยวกับเชื้อสายของเอลีที่เมืองชีโลห์  (1พงศ์กษัตริย์ 2:26-27)

 

อ. ชัยราช กิจเกื้อกูล (พี่ด้องYFC)

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน" ตอนที่ 3

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

เมื่อเช้าวันที่ 25/07/2010


หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การรับผิดชอบต่อกันและกัน (4/6)

ความผิดของคนในอดีต ส่งผลต่อคนในปัจจุบัน

ความผิดบาปของชนชาติอิสราเอล

34 เหตุฉะนั้น นี่แหละ เราใช้ผู้เผยพระวจนะ นักปราชญ์ และธรรมาจารย์ต่างๆไปหาพวกเจ้า เจ้าก็จะฆ่าเสียบ้าง ตรึงเสียที่กางเขนบ้าง เฆี่ยนตีในธรรมศาลาของเจ้าบ้าง ข่มเหงไล่ออกจากเมืองนี้ไปเมืองโน้นบ้าง

35 ดังนั้น บรรดาโลหิตอันชอบธรรมซึ่งตกที่แผ่นดินโลก ตั้งแต่โลหิตของอาแบล ผู้ชอบธรรม จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์บุตรบารัคยาที่พวกเจ้าได้ฆ่าเสีย ในระหว่างพระวิหารกับแท่นบูชานั้น คงตกบนพวกเจ้าทั้งหลาย
36 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า บรรดาผลกรรมชั่วเหล่านั้นจะตกกับคนสมัยนี้ (มัทธิว 23:34-36)

เหตุการณ์เช่นนี้ ได้เปิดเผยในพระธรรมกิจการ คือ พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงที่กางเขน สเทเฟนถูกฆ่า เปโตรถูกตรึงที่กางเขน เปโตรและยอห์นถูกเฆี่ยนตี

ถ้าเราถูกเตือนว่าถ้าเราทำเช่นนี้ หลานของหลานจะต้องรับโทษ เราคงจะรู้สึกว่าไกลตัว แต่ถ้าหากว่าเราเป็นลูกหลานคนนั่นเล่า เราคงจะคิดว่าไม่สมควรได้รับผลกรรมชั่วเช่นนั้น นี่แหละความหมายของกายเดียวกัน คือ รับหมด

คนสมัยนั้น เหตุใดจะต้องรับโทษของบรรพบุรุษ? เมื่อเราดูลำดับพงศ์พันธุ์ของพระเยซู ที่ไล่ถึงอาดัม จะเห็นถึงบาปที่คนในอดีตทำ จนถึงเมื่อเศคาริยาห์ซึ่งเป็นผู้ชอบธรรมถูกอาหัสสั่งฆ่าตายเพราะรับคำเตือนไม่เป็น และโทษทั้งหมดของบรรพบุรุษนี้ ลงมาที่ชนชาติอิสราเอลซึ่งเป็นลูกหลานในอนาคต

พระเจ้าส่งผู้รับใช้มา พวกเขาจะฆ่าเสีย เฆี่ยนตีเสีย และหลานของหลานจะต้องรับโทษ เราอาจจะรู้สึกว่าไกลตัว แต่พระองค์ก็ได้ทรงสำแดงว่าพวกเขาจะต้องรับโทษจากบรรพบุรุษของเขาเช่นกัน

ความผิดบาปของชนชาติอามาเลข

ขณะที่อิสราเอลเจอศึกกับอามาเลข เมื่อโมเสสนำอิสราเอลออกจากอียิปต์ โมเสสได้ขึ้นภูเขาอธิษฐาน ทุกครั้งที่ชูธงขึ้น โยชูวาก็รบชนะ จนในที่สุดอิสราเอลก็ชนะ

8 ครั้งนั้น คนอามาเลขยกมารบกับคนอิสราเอลที่ตำบลเรฟีดิม
9 โมเสสสั่งโยชูวาว่า "จงเลือกชายฉกรรจ์ฝ่ายเราออกไปสู้รบกับพวกอามาเลข พรุ่งนี้เราจะยืนถือไม้เท้าของพระเจ้าอยู่บนยอดภูเขา"
10 โยชูวาก็ทำตามคำสั่งของโมเสส ออกสู้รบกับพวกอามาเลข ส่วนโมเสส อาโรน และเฮอร์ก็ขึ้นไปบนยอดภูเขานั้น
11 โมเสสยกมือขึ้นเมื่อไร อิสราเอลก็ได้เปรียบเมื่อนั้น ท่านลดมือลงเมื่อไร พวกอามาเลขก็เป็นต่อเมื่อนั้น
12 แต่มือของโมเสสเมื่อยล้า เขาทั้งสองก็นำก้อนหินมาวางไว้ให้โมเสสท่านนั่ง อาโรนกับเฮอร์ก็ช่วยยกมือท่านขึ้นคนละข้าง มือของท่านก็ชูอยู่จนตะวันตกดิน
13 ฝ่ายโยชูวาปราบอามาเลขกับประชาชนของ เขาพ่ายแพ้ไปด้วยคมดาบ
14 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงเขียนข้อความต่อไปนี้ลงไว้ในหนังสือเพื่อเป็นที่ระลึก ทั้งเล่าให้โยชูวาฟังคือว่าเราจะลบล้างชื่อชนชาติ อามาเลข ไม่ให้ปรากฏในความทรงจำของประชาชนภายใต้ฟ้านี้ เลย"
15 โมเสสจึงสร้างแท่นบูชาเรียกชื่อ ว่าเยโฮวาห์นิสสี(แปลว่า พระเยโฮวาห์ทรงเป็นธงของข้า) 16กล่าวว่า "มือบนพระบัลลังก์ของพระเจ้า พระองค์จะทรงกระทำสงคราม กับอามาเลขต่อไปทุกชั่วชาติพันธุ์" (อพยพ 17:8-15)

หลังจากนั้นหลายปี โยชูวาเข้ายึดครองคานาอัน มีผู้วินิจฉัยมากมาย จนสมัยกษัตริย์ เมื่อซาอูลเป็นกษัตริย์ พระเจ้าทรงสั่งซาอูล เพื่อให้ฆ่าคนอามาเลขทั้งหมดไม่ให้เหลือ เพราะในอดีต บรรพบุรุษอามาเลข ได้ยกทัพมาตีบรรพบุรุษของอิสราเอล และในที่สุดท่านก็ยกทัพมาตีเมืองนั้น แต่เหลือกษัตริย์คนเดียว

1 ซามูเอลก็เรียนซาอูลว่า "พระเจ้าทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเจิมท่านเป็นพระราชาเหนืออิสราเอลประชากรของพระองค์ เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอท่านฟังเสียงพระวจนะของพระเจ้า
2 พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า 'เราจะลงโทษอามาเลขในการที่สกัดทางอิสราเอล เมื่อเขาออกจากอียิปต์
3 ท่านจงไปโจมตีอามาเลข และทำลายบรรดาที่เขามีนั้นเสียให้สิ้นเชิง อย่าปรานีเขาเลย จงฆ่าเสียทั้งผู้ชายผู้หญิง ทั้งทารกและเด็กที่กินนมอยู่ ทั้งโค แกะ อูฐ และลา' "
4 ดังนั้นซาอูลจึงเกณฑ์พวกพลและตรวจพลที่ตำบลเทลาอิม ได้ทหารราบสองแสนคน และคนเผ่ายูดาห์หนึ่งหมื่นคน
5 ซาอูลก็ทรงยกกองทัพมายังเมืองอามาเลข และตั้งซุ่มอยู่ในหุบเขา
6 และซาอูลตรัสแก่คนเคไนต์ว่า "ไปเถิด จงแยกไปเสีย ลงไปเสียจากคนอามาเลข เกรงว่าเราจะทำลายพวกท่านไปพร้อมกับเขา เพราะท่านทั้งหลายได้แสดงความเอ็นดูต่ออิสราเอลเมื่อเขาออกจากอียิปต์" ดังนั้นคนเคไนต์ก็แยกออกไปจากคนอามาเลข
7 และซาอูลก็ทรงกระทำให้คนอามาเลขพ่ายแพ้ ตั้งแต่เมืองฮาวีลาห์ไกลไปจนถึงเมืองชูร์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของอียิปต์
8 ทรงจับอากักพระราชาของคนอามาเลขได้ทั้งเป็น และได้ฆ่าฟันประชาชนเสียอย่างสิ้นเชิงด้วยคมดาบ
9 แต่ซาอูลและประชาชนได้ไว้ชีวิตอากักและสัตว์ที่ดีที่สุด มีแกะกับโคและสัตว์อ้วนพีกับลูกแกะ และสิ่งดีๆทั้งหมดไม่ยอมทำลายเสียอย่างสิ้นเชิง ทุกสิ่งที่เขาดูถูกและไร้ค่าเขาก็ทำลายเสียสิ้น (1ซามูเอล 15:1-9)

ถ้าเราเป็นลูกหลานอามาเลข เราก็จะถามว่า เหตุใดจะต้องรับผลบาปกรรมนี้ด้วย?

ลัทธิปรัชญาที่สอนมนุษย์ เป็นปรัชญาที่มาจากคนไม่เชื่อ สอนเราเรื่องปัจเจกบุคคล ความเป็นส่วนตัว ตัวฉันของฉัน คนอื่นไม่เกี่ยว ลัทธิเช่นนี้ฝังในความคิดของเรา รบกวนจิตวิญญาณของเรา จนไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องของคนในยุคก่อนเกี่ยวข้องกับเรา

 

เรื่องของคนคนหนึ่งมีผลต่อส่วนรวม

ความผิดบาปของอาคาน

สมัยโยชูวายกทัพเข้ายึดครองคานาอัน เมืองที่สองที่เขาจะต้องสู้รบด้วย คือเมืองอัย ปรากฎว่าแพ้ศึก ตายไป 36 คน นี่เป็นเรื่องใหญ่ เพราะข่าวเหล่านี้จะกระจายไปทั่วคานาอัน เขาจึงร้องไห้อธิษฐานต่อพระเจ้า และพระเจ้าจึงเปิดเผยว่าที่แพ้ศึกเพราะมีคนคนหนึ่งที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า คือ อาคาน

1 แต่คนอิสราเอลได้ละเมิดในเรื่องของต้องถวายนั้น เพราะอาคานบุตรคารมี ผู้เป็นบุตรศับดี ผู้เป็นบุตรเศ-ราห์ เผ่ายูดาห์ ได้นำของถวายบางส่วนไปเป็นของตน และพระพิโรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่อคนอิสราเอล
2 ฝ่ายโยชูวาให้คนออกจากเยรีโคไปยังเมืองอัย ซึ่งอยู่ใกล้เบธาเวนข้างทิศตะวันออกของเมืองเบธเอล บอกเขาว่า "จงขึ้นไปและสอดแนมดูเมืองนั้น" คนเหล่านั้นก็ขึ้นไปและสอดแนมดูที่เมืองอัย
3 และเขากลับมารายงานแก่โยชูวาว่า "ไม่ต้องให้ประชาชนทั้งหมดขึ้นไป ให้สักสองสามพันคนขึ้นไปตีเมืองอัยก็พอ ไม่ต้องให้ประชาชนทั้งหมดปีนป่ายไปที่นั่นเลย เพราะเขามีคนน้อย"
4 เพราะฉะนั้นจึงมีประชาชนขึ้นไปที่นั่นเพียงสามพันคน แต่ต้องแตกหนีจากชาวเมืองอัย 5ฝ่ายชาวเมืองอัยก็ฆ่าฟันคนเหล่านั้นตาย ประมาณสามสิบหกคน โดยขับไล่คนเหล่านั้นจากประตูเมืองไปยัง เชบาริมฟันเขาตามทางลง และจิตใจของประชาชนก็แหลกเหลวไปอย่างน้ำ (โยชูวา 7:1-6)

สำหรับคนทั่วไปอาจไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นจะต้องเสี่ยงเพราะคนคนเดียว เพราะเป็นแค่เรื่องของอาคานคนเดียว คนทั้ง 36 คนมีญาติพี่น้อง มีคนที่รักรออยู่ แต่ความผิดของคนหนึ่งคน ส่งผลต่อทั้งชุมชน นี่เป็นความจริงที่ปรากฎในพระคัมภีร์

เราไม่ได้ตัดไม้ทำลายป่า ไม่ได้ก่อเหตุวุ่นวาย แต่เหตุไรเราจึงต้องพบกับน้ำปาไหลหลาก? นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น

ความผิดบาปของบุตรชายทั้งสองของเอลี

ผู้รับใช้พระเจ้าคนหนึ่งชื่อเอลี มีลูก 2 คน ทั้งสองทำผิดต่อพระเจ้าร้ายแรง จนพระเจ้าทรงระบุว่าไม่สามารถให้อภัยได้ และกล่าวโทษเอลี ว่า ให้เกียรติลูกของเขามากกว่าพระเจ้า พระเจ้าจะทรงตัดเขาออกจากการรับใช้ และจะไม่มีผู้ใดในตระกูลเขาที่ได้แก่ตาย

หลังจากนั้น ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนวันหนึ่ง ฟิลิสเตียมาโจมตีอิสราเอล และทั้งสองถูกฆ่าตายในสนามรบ เมื่อเอลีทราบข่าวก็คอหักตาย ลูกสะไภ้ที่กำลังตั้งครรภ์ก็คลอดบุตรและเสียชีวิต

10 เพราะฉะนั้นคนฟีลิสเตียจึงสู้รบและอิสราเอลก็พ่ายแพ้ ต่างก็หนีไปยังเต็นท์ของตน ครั้งนั้นมีการฆ่าฟันกันมาก เพราะทหารราบของอิสราเอลตายเสียสามหมื่นคน
11 และหีบแห่งพระเจ้าก็ถูกยึดไป และบุตรทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ถูกฆ่าตาย
12 ผู้ชายเผ่าเบนยามินคนหนึ่งวิ่งไปจากแนวรบมาถึงชิโลห์ ในวันเดียวกัน เสื้อผ้าขาดและดินก็อยู่บนศีรษะของเขา
13 เมื่อเขามาถึงนั้น ดูซี เอลีอยู่บนที่นั่งข้างถนนคอยเฝ้าอยู่ เพราะจิตใจของท่านหวั่นด้วยเรื่องหีบแห่งพระเจ้า และเมื่อชายคนนั้นเข้ามาในเมืองและบอกข่าว ชาวเมืองทั้งสิ้นก็ร้องขึ้น
14 เมื่อเอลีได้ยินเสียงร้องเช่นนั้นก็ถามว่า "นั่นเสียงอะไรกันโกลาหล" แล้วชายคนนั้นก็รีบเข้ามาบอกเอลี
15 ฝ่ายเอลีมีอายุเก้าสิบแปดปี ตาของท่านแข็งมองอะไรไม่เห็น
16 ชายคนนั้นบอกเอลีว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนที่มาจากแนวรบ ข้าพเจ้าหนีมาจากแนวรบวันนี้" เอลีก็ถามว่า "ลูกเอ๋ยเป็นอย่างไรบ้าง"
17 ผู้ที่ส่งข่าวนั้นก็ตอบว่า "อิสราเอลได้หนีพวกฟีลิสเตียไปแล้ว มีการฆ่าฟันกันมากท่ามกลางประชาชน บุตรทั้งสองของท่าน คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ตาย และหีบแห่งพระเจ้าถูกยึดไปเสีย"
18 เมื่อเขากล่าวถึงหีบแห่งพระเจ้า เอลีก็หงายหลังจากที่นั่งที่อยู่ข้างประตู คอของท่านก็หัก และท่านสิ้นชีวิตแล้ว เพราะท่านชรามากและตัวก็หนัก ท่านได้วินิจฉัยคนอิสราเอลอยู่สี่สิบปี
19 ฝ่ายบุตรสะใภ้ของท่าน คือภรรยาของฟีเนหัสมีครรภ์กำลังจะคลอดบุตร และเมื่อนางได้ยินข่าวว่าเขายึดหีบแห่งพระเจ้าไป และพ่อผัวและสามีของนางก็สิ้นชีวิต นางก็โน้มตัวลงและคลอดบุตร เพราะความเจ็บปวดบังเกิดขึ้นแก่นาง
20 เมื่อนางกำลังจะตายนั้น พวกผู้หญิงที่เฝ้านางอยู่ได้บอกนางว่า "อย่ากลัวเลย เพราะเจ้ามีลูกผู้ชายคนหนึ่ง" แต่นางไม่ตอบไม่ฟัง (1ซามูเอล 4:10-20)

จนสมัยซาอูลไล่ฆ่าดาวิด เพราะรู้ว่าพระเจ้าจะทรงตั้งให้ดาวิดเป็นกษัตรย์ ปุโรหิตเมืองโนบที่ถูกฆ่าตายโดยซาอูล ก็เป็นลูกหลานของเอลี

17 และพระราชาก็รับสั่งแก่ราชองครักษ์ผู้ยืนเฝ้าอยู่ว่า "จงหันมาประหารปุโรหิตเหล่านี้ของพระเจ้าเสีย เพราะว่ามือของเขาอยู่กับดาวิดด้วย เขารู้แล้วว่ามันหนีไป แต่ไม่แจ้งให้เรารู้" แต่ข้าราชการผู้รับใช้ของพระราชาไม่ยอมลงมือ ทำกับปุโรหิตของพระเจ้า
18 แล้วพระราชาจึงตรัสกับโดเอกว่า "เจ้าจงไปฟันปุโรหิตเหล่านั้น" โดเอกคนเอโดมก็หันไปฟันบรรดาปุโรหิต ในวันนั้น เขาฆ่าบุคคลที่สวมเอโฟดผ้าป่านเสีย แปดสิบห้าคน
19 และเขาประหารชาวเมืองโนบ ซึ่งเป็นเมืองของปุโรหิตเสียด้วยคมดาบ ฆ่าเสียด้วยคมดาบ ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และเด็กกินนม โค ลาและแกะ (1ซามูเอล 22:17-19)

ก่อนที่ซาโลมอนจะขึ้นครองราษฎร์ ก็มีปัญหาเรื่องการขึ้นครองราษฎร์ อาโดนียาห์มีบารมีสูงมาก และมีแม่ทัพของประเทเข้าข้าง และมีผู้นำฝ่ายวิญญาณ คือมหาปุโรหิตเข้าข้างด้วย แต่เมื่อซาโลมอนได้ขึ้นครองราษฎร์ ก็ปลดอาบียาธาร์จากการเป็นมหาปุโรหิต และเขาก็คือลูกหลานของเอลี

26 ส่วนอาบียาธาร์ปุโรหิตนั้น พระราชารับสั่งว่า "จงไปอยู่ที่อานาโธท ไปสู่ไร่นาของเจ้าเพราะเจ้าควรที่จะตาย แต่ในเวลานี้เราจะไม่ประหารชีวิตเจ้า เพราะว่าเจ้าหามหีบของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าไปข้างหน้าดาวิดราชบิดาของเรา และเพราะเจ้าได้เข้าส่วนในบรรดาความทุกข์ใจราชบิดา ของเรา"
27 ซาโลมอนจึงทรงขับไล่อาบียาธาร์เสียจากหน้าที่ ปุโรหิตของพระเจ้า กระทำให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งพระองค์ตรัส เกี่ยวกับเชื้อสายของเอลีที่เมืองชีโลห์  (1พงศ์กษัตริย์ 2:26-27)

 

อ. ชัยราช กิจเกื้อกูล (พี่ด้องYFC)

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน" ตอนที่ 3

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

เมื่อเช้าวันที่ 25/07/2010


หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การรับผิดชอบต่อกันและกัน (3/6)

พี่เลี้ยงน้องเลี้ยง

ระบบพี่เลี้ยงน้องเลี้ยง เป็นสิ่งสำคัญมาก เราพร้อมหรือไม่ที่จะเผาตนเองบนแท่นบูชา เพื่อกำจัดความเย่อหยิ่ง ความยโส ความรู้สึกที่ไม่อยากเสียเวลาหรือต้องอยู่ใต้อำนาจใคร?

คนที่ไม่ใช่เบอร์หนึ่ง ถ้ายังถ่อมไม่ได้ เมื่อขึ้นสวรรค์ก็จะไม่มีความสุขเลย เพราะจะมีคนที่อยู่เหนือเราเสมอ เราจะไม่ใช่เบอร์ 1

สำหรับคนที่ยุ่งกับสิ่งต่าง ๆ บนโลกนี้มาก ๆ ขอที่จะจำไว้ว่ากิจกรรมเหล่านี้วันหนึ่งจะต้องมีวันจบ แล้วเราจะต้องกราบทูลต่อพระเจ้าว่าเหตุใดเราจึงไม่รับใช้พระเจ้า ไม่ดูแลพี่น้อง มัวแต่ใช้เวลากับการงาน

ขอที่น้องเลี้ยงจะอธิษฐานเพื่อพี่เลี้ยง และพี่เลี้ยงอธิษฐานเพื่อน้องเลี้ยง และอย่าไปพูดกับผู้อื่น รักษาความไว้วางใจที่น้องเลี้ยงให้แก่เรา ยกเว้นเรื่องที่หนัก ๆ เช่น กรณีที่น้องเลี้ยงจะฆ่าตัวตาย ซึ่งควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือน้องเลี้ยงจะออกจากความเชื่อ ควรปรึกษาศิษยาภิบาล

ขอที่พี่เลี้ยงน้องเลี้ยงจะดูแลซึ่งกันและกัน

 

อ. ชัยราช กิจเกื้อกูล (พี่ด้องYFC)

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน" ตอนที่ 3

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

เมื่อเช้าวันที่ 25/07/2010


หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ