วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Colossians Lesson 1 (1:1-14): Live A Worthy Life - ดำเนินชีวิตอย่างสมควร (2)

I. Paul's Thankful: The Gospel Response (2)

7 as you also learned from Epaphras, our dear fellow servant, who is a faithful minister of Christ on your behalf,
8 who also declared to us your love in the Spirit." (Colossians 1:1-8 NKJV)

And we also learn about who Epaphras was. He was a fellow servant and a faithful minister of Christ. He was learned the Gospel from Paul, went back to his city, and taught it to the people in Colosse. He loved them and brought the news about problems in the church to Paul.

Paul had an impact on Epaphras. And then Epaphras talked the message and preached to Gospel to people in Colesse. This is the impact one can have.

 

PRINCIPLE I:

  • Growth in Christ is great cause for thanksgiving.

As we know that there are only few Christians in Thailand, less than 1 per cent. But we can teach others about the Word. We have great opportunities to preach Christ.

For you, are you personally growing in Christ? If so, thank God for that. Grow in Christ, and you would bear fruits in Spirit. Others will recognize the fruits that are coming out from you.


I. เปาโลสำนึกในพระคุณ: ตอบสนองต่อข่าวประเสริฐ (2)

7 ตาม​ที่​พวก​ท่าน​ได้​เรียน​จาก​เอปา​ฟรัสเพื่อน​ร่วม​งาน​ที่​รัก​ของ​เรา เขา​เป็น​ผู้​ปรน​นิบัติ​ที่​ซื่อ​สัตย์​ของ​พระ​คริสต์​เพราะ​เห็น​แก่​ท่าน
8 และ​เขา​ได้​แจ้ง​ให้​เรา​ทราบ​ถึง​ความ​รัก​ของ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ใน​พระ​วิญ​ญาณ (โคโลสี 1:7-8 THSV2011)

และเราก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเอปาฟรัส เขาเป็นผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ และติดตามพระคริสต์ เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับข่าวประเสริฐจากอาจารย์เปาโล และได้กลับไปยังเมืองของเขา สอนผู้คนในเมืองโคโลสี เขารักชาวเมืองโคโลสี และนำข่าวเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในคริสตจักรมารายงานกับอาจารย์เปาโล ชีวิตอาจารย์เปาโลมีผลกระทบต่อเอปาฟรัส และเอปาฟรัสก็ได้นำข้อความไปบอก และเทศนาข่าวประเสริฐกับผู้คนในเมืองโคโลสี นี่เป็นผลกระทบที่คนคนหนึ่งสามารถมีได้

 

ข้อคิดที่ I:

การเติบโตในพระคริสต์เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดการขอบพระคุณ

ดังที่เราได้รู้ว่ามีคริสเตียนไม่มากนักในประเทศไทย น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ แต่เราสามารถสอนคนอื่นเกี่ยวกับพระคำ เรามีโอกาสที่ดีมากในการประกาศเรื่องราวของพระคริสต์

สำหรับคุณ คุณได้เติบโตกับพระคริสต์เป็นการส่วนตัวหรือไม่? ถ้าหากว่าใช่ จงขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งนั้น

เติบโตในพระคริสต์ แล้วคุณก็จะเกิดผลแห่งพระวิญญาณ คนอื่น ๆ ก็จะเห็นผลเหล่านั้นที่ออกมาจากชีวิตของคุณ

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 1

เมื่อวันที่ 05/04/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Colossians Lesson 1 (1:1-14): Live A Worthy Life - ดำเนินชีวิตอย่างสมควร (1)

Colossians Lesson 1

(1:1-14)

Live A Worthy Life

 

Outlines

I. Paul's Thankful: The Gospel Response (1-8)

II. Paul Prays: Know God's Will (9)

III. Paul's Goal: Live a Worthy Life (10-14)

 

Christian life is just like a tree. If you plant a tree, you would expect it to bear fruits. The same, God wants our lives to bear fruits.

 

I. Paul's Thankful: The Gospel Response (1)

"1 Paul, an apostle of Jesus Christ by the will of God, and Timothy our brother,
2 To the saints and faithful brethren in Christ who are in Colosse: Grace to you and peace from God our Father and the Lord Jesus Christ.
3 We give thanks to the God and Father of our Lord Jesus Christ, praying always for you,
4 since we heard of your faith in Christ Jesus and of your love for all the saints;
5 because of the hope which is laid up for you in heaven, of which you heard before in the word of the truth of the gospel,
6 which has come to you, as it has also in all the world, and is bringing forth fruit, as it is also among you since the day you heard and knew the grace of God in truth;
7 as you also learned from Epaphras, our dear fellow servant, who is a faithful minister of Christ on your behalf,
8 who also declared to us your love in the Spirit." (Colossians 1:1-8 NKJV)

This letter was from Paul and Timothy. It was written to Christians in Colosse. He was thankful for their response to the Gospel. Paul had never been to the city, but he had heard about their faith. And he thanked God for their spiritual growth.

The responses to the Gospel which are the marks of an authentic Christians consists of:

  • Faith ... in Christ. A result of hearing Gospel is faith. And the object of the faith is Christ. Faith should not be put in others. The object is not religions, or what to do or don't do. True faith is in Christ. We have to agree, and believe in the person of Jesus Christ. And we should not misplace our faith to others.
  • Love ... for the Saints. The object of love is the saints or others, not our selves. Love should not be toward others, world, money or other idols. It should be for other saints.

"He who loves his life will lose it, and he who hates his life in this world will keep it for eternal life." (John 12:25 NKJV)

"But whoever has this world's goods, and sees his brother in need, and shuts up his heart from him, how does the love of God abide in him?" (1John 3:17 NKJV)

"A new commandment I give to you, that you love one another; as I have loved you, that you also love one another." (John 13:34 NKJV)

For you, do you have love for saints or other believers? We have bond. Here we have men from different places, different countries, or different backgrounds, but we have a bond of relationship because of Jesus Christ. We should have love for all saints.

  • Hope ... in Heaven. Our ultimate hope is that we will be in Heaven. Heaven is the object of our hope. Heaven is an actual place, where God and Christ has designed for us. Christ is preparing the place for us. He intends and wants us to be with Him in Heaven. That's His home and He wants us to be in His House. We would be where He is. There are only 2 places to go: place of God and Christ, and place of Satan.

"2 In My Father's house are many mansions; if it were not so, I would have told you. I go to prepare a place for you.
3 And if I go and prepare a place for you, I will come again and receive you to Myself; that where I am, there you may be also." (John 14:2-3 NKJV)


โคโลสี บทเรียนที่ 1

(โคโลสี 1:1-14)

ดำเนินชีวิตอย่างสมควร

 

โครงร่าง

I. เปาโลสำนึกในพระคุณ: ตอบสนองต่อข่าวประเสริฐ (1-8)

II. เปาโลอธิษฐาน: รู้น้ำพระทัยพระเจ้า (9)

III. เป้าหมายของเปาโล: ดำเนินชีวิตอย่างสมควร (10-14)

 

ชีวิตคริสเตียนก็เป็นเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ถ้าหากคุณจะปลูกต้นไม้ คุณก็คาดหวังที่จะให้ต้นไม้นั้นออกผล เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงต้องการให้ชีวิตของเราเกิดผล

 

I. เปาโลสำนึกในพระคุณ: ตอบสนองต่อข่าวประเสริฐ (1)

1 เปา​โล อัคร​ทูต​ของ​พระ​เยซู​คริสต์​ตาม​พระ​ทัย​ของ​พระ​เจ้า และ​ทิ​โม​ธี​น้อง​ชาย
2 เรียน บรร​ดา​ธรร​มิกชน​และ​พี่​น้อง​ที่​เชื่อ​ใน​พระ​คริสต์​ใน​เมือง​โค​โล​สี ขอ​ให้​พระ​คุณ​และ​สันติ​สุข​จาก​พระ​เจ้า​พระ​บิดา​ของ​เรา​อยู่​กับ​พวก​ท่าน
3 เรา​ขอบ​พระ​คุณ​พระ​เจ้า​พระ​บิดา​ของ​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา​เสมอ​เมื่อ​อธิษ​ฐาน​เผื่อ​พวก​ท่าน
4 เพราะ​เรา​ได้​ยิน​เรื่อง​ความ​เชื่อ​ของ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ใน​พระ​เยซู​คริสต์ และ​เรื่อง​ความ​รัก​ที่​พวก​ท่าน​มี​ต่อ​ธรร​มิก​ชน​ทุก​คน
5 เพราะ​ความ​หวัง​ที่​เก็บ​ไว้​เพื่อ​พวก​ท่าน​ใน​สวรรค์ ซึ่ง​ท่าน​เคย​ได้​ยิน​มา​แล้ว​ใน​ถ้อย​คำ​แห่ง​ความ​จริง​คือ​ข่าว​ประ​เสริฐ
6 ที่​มา​ถึง​ท่าน​ทั้ง​หลาย ข่าว​ประ​เสริฐ​กำ​ลัง​เกิด​ผล​และ​เจริญ​ขึ้น​ทั่ว​โลก เช่น​เดียว​กับ​ที่​เป็น​อยู่​ใน​พวก​ท่าน​ตั้ง​แต่​วัน​ที่​ท่าน​ได้​ยิน​และ​เข้า​ใจ​พระ​คุณ​ของ​พระ​เจ้า​ใน​ความ​จริง​นั้น
7 ตาม​ที่​พวก​ท่าน​ได้​เรียน​จาก​เอปา​ฟรัสเพื่อน​ร่วม​งาน​ที่​รัก​ของ​เรา เขา​เป็น​ผู้​ปรน​นิบัติ​ที่​ซื่อ​สัตย์​ของ​พระ​คริสต์​เพราะ​เห็น​แก่​ท่าน
8 และ​เขา​ได้​แจ้ง​ให้​เรา​ทราบ​ถึง​ความ​รัก​ของ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ใน​พระ​วิญ​ญาณ (โคโลสี 1:1-8 THSV2011)

จดหมายนี้มาจากอาจารย์เปาโล และทิโมธี เขียนถึงคริสเตียนในเมืองโคโลสี อาจารย์เปาโลขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการตอบสนองของพวกเขาต่อข่าวประเสริฐ อาจารย์เปาโลไม่เคยไปยังโคโลสี แต่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเขา และท่านก็ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณของพวกเขา

การตอบสนองต่อข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นเครื่องหมายของคริสเตียนที่แท้จริง ได้แก่

  • ความเชื่อ ... ในพระคริสต์ ผลจากการได้ยินข่าวประเสริฐ คือ ความเชื่อ และเป้าหมายของความเชื่อคือพระคริสต์ ความเชื่อไม่ควรจะอยู่ที่สิ่งอื่นใด ความเชื่อไม่ได้ตั้งอยู่บนศาสนา หรือสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ความเชื่อที่แท้อยู่ในพระคริสต์ เราจำเป็นต้องเห็นด้วยและเชื่อในบุคคลของพระเยซูคริสต์ เราไม่ควรวางความเชื่อไว้ในที่ที่ผิดในที่อื่นใด
  • ความรัก ... สำหรับธรรมิกชน เป้าหมายของความรัก คือ ธรรมิกชน หรือคนอื่น ๆ ไม่ใช่ตัวเราเอง ความรักไม่ควรจะมอบให้กับสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นโลก เงิน หรือรูปเคารพ ความรักของเราควรจะมีต่อธรรมิกชนทั้งหลาย

คน​ที่​รัก​ชีวิต​ตัว​เอง​ต้อง​เสีย​ชีวิต และ​คน​ที่​เกลียด​ชัง​ชีวิต​ตัว​เอง​ใน​โลก​นี้​จะ​รัก​ษา​ชีวิต​นั้น​ไว้​นิรันดร์ (ยอห์น 12:25 THSV2011)
แต่​ถ้า​ใคร​มี​ทรัพย์​สม​บัติ​ใน​โลก​นี้ และ​เห็น​พี่​น้อง​ของ​ตน​ขัด​สน​แล้ว​ยัง​ไม่​เปิด​ใจ​ช่วย​เขา ความ​รัก​ของ​พระ​เจ้า​จะ​ดำ​รง​อยู่​ใน​คน​นั้น​ได้​อย่าง​ไร? (1 ยอห์น 3:17 THSV2011)
เรา​ให้​บัญ​ญัติ​ใหม่​ไว้​กับ​พวก​ท่าน คือ​ให้​รัก​ซึ่ง​กัน​และ​กัน เรา​รัก​พวก​ท่าน​มา​แล้ว​อย่าง​ไร ท่าน​ก็​จง​รัก​กัน​และ​กัน​ด้วย​อย่าง​นั้น (ยอห์น 13:34 THSV2011)

สำหรับคุณ คุณมีความรักต่อธรรมิกชนหรือผู้เชื่อคนอื่น ๆ หรือไม่? เรามีพันธะต่อกันและกัน เราในที่นี่มาจากหลากหลายที่ หลากหลายประเทศ หรือพื้นฐานที่แตกต่างกัน แต่เรามีพันธะแห่งความสัมพันธ์ เนื่องจากพระเยซูคริสต์ เราควรมีความรักมอบให้ธรรมิกชนทุก ๆ คน

  • ความหวัง ... ในสวรรค์ ความหวังสุดท้ายของเรา คือที่เราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ สวรรค์เป็นเป้าหมายของความหวังของเรา สวรรค์เป็นสถานที่จริง ๆ เป็นที่ที่พระเจ้าและพระคริสต์ได้ออกแบบเพื่อเรา พระคริสต์ทรงกำลังเตรียมที่สำหรับเรา พระองค์ตั้งพระทัยและทรงต้องการให้เราไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ ที่นั่นเป็นบ้านของพระองค์ และพระองค์ทรงต้องการให้เราอยู่ในบ้านของพระองค์ พวกเราจะอยู่ในที่ที่พระองค์ทรงอยู่

มีเพียงแค่ 2 ที่ที่จะไป ได้แก่ สถานที่ของพระเจ้าและพระคริสต์ และสถานที่ของซาตาน

2 ใน​พระ​นิ​เวศ​ของ​พระ​บิดา​เรา​มี​ที่​อยู่​มาก​มาย ถ้า​ไม่​มี​เรา​คง​บอก​ท่าน​แล้ว เพราะ​เรา​ไป​จัด​เตรียม​ที่​ไว้​สำ​หรับ​พวก​ท่าน
3 เมื่อ​เรา​ไป​จัด​เตรียม​ที่​ไว้​สำ​หรับ​ท่าน​แล้ว เรา​จะ​กลับ​มา​อีก​และ​รับ​ท่าน​ไป​อยู่​กับ​เรา เพื่อ​ว่า​เรา​อยู่​ที่​ไหน​พวก​ท่าน​จะ​ได้​อยู่​ที่​นั่น​ด้วย (ยอห์น 14:2-3 THSV2011)

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 1

เมื่อวันที่ 05/04/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Introduction to Colossians - บทนำ พระธรรมโคโลสี (5)

III. The Truth of JESUS in Colossians

Paul wanted to correct the church. Paul stressed on the Supremacy of Jesus Christ in this book.

It has 2 portions: basic doctrine of Christ, and practical applications.

It shows detailed picture of Jesus Christ about how He is. Jesus Christ is the object of Christian's faith because He is the Redeemer. He is the Son of God. He is the Head of Church and Supreme. He is the Fullness of Salvation. Jesus Christ is the reconciler of the universe. He pull back to Himself to the redemption through His Blood.

Jesus Christ is also the fullness of God. He is the bodily form of God. He had the Fullness of God within Himself.

He is the one who fulfilled the Old Testament.

PRINCIPLE III:

  • The Bible says CHRIST is the ONE Who Is

    • SUPREME (Superior)

    • The HEAD over all

    • SUFFICIENT to SAVE


III. ความจริงเกี่ยวกับพระเยซูในพระธรรมโคโลสี

อาจารย์เปาโลต้องการที่จะปรับปรุงแก้ไขคริสตจักร โดยเน้นที่ความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูคริสต์ในจดหมายฝากเล่มนี้

พระธรรมโคโลสีมี 2 ส่วน ได้แก่ หลักคำสอนพื้นฐานของพระคริสต์ และการประยุกต์ใช้ในภาคปฏิบัติ

พระธรรมโคโลสี แสดงภาพของพระเยซูคริสต์อย่างละเอียดเกี่ยวกับว่าพระลักษณะของพระองค์เป็นเช่นไร

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางของความเชื่อคริสเตียน เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นศีรษะของคริสตจักร และทรงยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์ทรงเป็นความรอดที่สมบูรณ์ พระเยซูคริสต์เป็นผู้นำการคืนดีของจักรวาล พระองค์ทรงนำสรรพสิ่งกลับมาสู่พระองค์เองด้วยการไถ่ผ่านทางพระโลหิตของพระองค์

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าที่สมบูรณ์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในรูปแบบของร่างกาย พระองค์ทรงมีพระลักษณะของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบในพระองค์เอง พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ทำให้พันธสัญญาเดิมสมบูรณ์

ข้อคิดที่ III:

พระคัมภีร์กล่าวว่า พระคริสต์ทรงเป็นผู้ที่

  • ยิ่งใหญ่สูงสุด (อยู่เหนือสรรพสิ่ง)

  • เป็นศีรษะของสรรพสิ่งทั้งปวง

  • ทรงเพียงพอที่จะช่วยให้รอด

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Introduction to Colossians

เมื่อวันที่ 29/03/2010

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปหรือการแปลของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Introduction to Colossians - บทนำ พระธรรมโคโลสี (4)

II. Colossians: A Letter in the New Testament

The author is Paul. We can learn about Paul's life from Acts chapter 9 to 28.

It was written about 63 AD in Rome. At the same period time, he also wrote other 2 books, which are Ephesians and Philemon.

Colossians is the people of Colosse. Paul did not start the church. It was not an important city then, but we learn a lot from this book.

Paul spent full 2 years in Ephesus at the school of Tyrannus. Epaphras came to visit him from Colosse and became a believer. He learned in this school and go back to start a church.

Epaphras reported a problem occurred in the church at Colosse. The problem was about Heresy going on in the church. And Paul wrote the letter back to the church.

There heresy or false teaching has some characteristics. It takes the Word of Christ and add to it. This became the problem in Colosse. It became false Gospel.

  1. Human philosophy. Basic principles of the world added to the word of Christ. The important one is Gnosticism (related to "gnosis" which means knowledge). People were called "in the KNOW", spiritual aristocrat (superior to others). They taught that salvation is not through faith, but through superior knowledge. They went on to Greek philosophy. They said that all men are evil and spirit is good. They tried to separate flesh, spirit, and the world. They protect God, and taught that the emanating of God created the world. They tried to fit God in their philosophy.
  2. Jewish element. It is about Asceticism, which taught self-denying way of lives, and called the belivers to try to control the flesh.
  3. Pagan element. It was about worship of angels. The people might worship them directly or use them as a way to connect with God. Anyway, they are not true way to worship God.

Heresy wears a mask of Christianity. False belief in Christ is not rooted completely in the Bible. It may add something to it or extract something from it.

There are 3 questions to consider in order to determine that the teachings are heresy or not.

  • Is Christ the HEAD or not?
  • Is Christ SUPREME or something less?
  • Is Christ SUFFICIENT to save or not?

This is why we have to back to the WORD. God's Word is truth and absolute. It is unchangeable.

PRINCIPLE II:

  • You Cannot ADD or SUBTRACT From The Truth of the Jesus and Still Call It Christianity.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

II. พระธรรมโคโลสี: จดหมายฝากฉบับหนึ่งในพันธสัญญาใหม่

ผู้เขียนพระธรรมโคโลสีคืออาจารย์เปาโล เราสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตของอาจารย์เปาโลได้จากพระธรรมกิจการบทที่ 9-28

พระธรรมเล่มนี้เขียนในปี ค.ศ. 63 ในกรุงโรม ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่อาจารย์เปาโลเขียนจดหมายฝากอีก 2 เล่ม ได้แก่ เอเฟซัส และฟีเลโมน

อาจารย์เปาโลไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักรในเมืองโคโลสี และเมืองนี้ก็ไม่ได้เป็นเมืองสำคัญ แต่เราสามารถเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากพระธรรมเล่มนี้

อาจารย์เปาโลใช้เวลา 2 ปีเต็มในเอเฟซัสที่โรงเรียนที่ชื่อทีรันนัส เอปา​ฟรัสได้ไปเยี่ยมเยียนอาจารย์เปาโลจากโคโลสี และได้กลายเป็นผู้เชื่อ เขาได้เรียนรู้ในโรงเรียนนี้ และได้กลับไปก่อตั้งคริสตจักร

เอปา​ฟรัสได้รายงานเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในคริสตจักรแห่งโคโลสี เป็นปัญหาเกี่ยวกับความเชื่อที่ผิดที่กำลังเข้ามายังคริสตจักร และอาจารย์เปาโลก็ได้เขียนจดหมายกลับไปยังคริสตจักร

ความเชื่อที่ผิด หรือคำสอนผิด มีลักษณะบางอย่าง คือมักจะนำคำตรัสสอนของพระคริสต์มาสอน และเพิ่มเติมสิ่งอื่นเข้าไป นี่กลายเป็นปัญหาของคริสตจักรในเมืองโคโลสี และกลายเป็นพระกิตติคุณที่ผิด

  • ปรัชญาของมนุษย์ เป็นหลักการของโลกที่เพิ่มเติมเข้าไปในคำสอนของพระคริสต์ ซึ่งที่สำคัญอันหนึ่ง คือ นอสติก (เกี่ยวข้องกับคำว่า "gnosis" ซึ่งแปลว่าความรู้) ผู้ที่เชื่อในลัทธินี้จะถูกเรียกว่า "ผู้มีความรู้" เป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณสูงส่ง (สูงกว่าคนอื่น ๆ) ลัทธินี้จะสอนว่าความรอดมิได้ได้มาโดยผ่านทางความเชื่อ แต่โดยความรู้ที่สูง พวกเขาจะผสมผสานร่วมกับปรัชญากรีก กล่าวว่ามนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งชั่ว และวิญญาณเป็นสิ่งดี พวกเขาพยายามแยกร่างกาย จิตวิญญาณ และโลก พวกเขาพยายามปกป้องพระเจ้า และสอนว่าส่วนของพระเจ้าที่แยกออกมา เป็นสิ่งที่สร้างโลก พวกเขาพยายามสอนเรื่องพระเจ้าให้เข้ากับหลักปรัชญาของเขา
  • คำสอนของยิว เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามบัญญัติอย่างเคร่งครัด สอนเกี่ยวกับการปฏิเสธตนเอง และสอนให้ผู้เชื่อพยายามที่จะควบคุมเนื้อหนังของตน
  • คำสอนของชาวต่างชาติ เกี่ยวข้องกับการนมัสการทูตสวรรค์ ผู้ที่เชื่อจะนมัสการทูตสวรรค์โดยตรง หรือใช้ทูตสวรรค์เป็นหนทางในการติดต่อกับพระเจ้า ซึ่งไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องในการนมัสการพระเจ้า

ความเชื่อที่ผิด ได้สวมหน้ากากแห่งคริสตศาสนา ความเชื่อที่ผิดในพระคริสต์ ไม่ได้มีรากฐานมาจากพระคัมภีร์อย่างสมบูรณ์ โดยอาจจะเพิ่มเติมบางอย่างเข้าไป หรือนำคำสอนบางอย่างออกไป

มี 3 คำถามที่จะต้องพิจารณาเพื่อไตร่ตรองว่าคำสอนเป็นคำสอนที่ผิดหรือไม่

  • พระคริสต์เป็นศีรษะหรือไม่?
  • พระคริสต์ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด หรือว่าเป็นอะไรที่น้อยกว่านั้น?
  • พระคริสต์ทรงเพียงพอที่จะช่วยเราให้รอดหรือไม่?

นี่จึงเป็นความจำเป็นที่เราจะต้องกลับมายังพระคำของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงและสมบูรณ์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ข้อคิดที่ II:

  • คุณไม่สามารถเพิ่มเติมหรือนำบางสิ่งออกไปจากความจริงแห่งพระเยซูคริสต์ แล้วยังคงเรียกว่าความเชื่อนั้นว่า "คริสตศาสนา"

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Introduction to Colossians

เมื่อวันที่ 29/03/2010

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปหรือการแปลของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Introduction to Colossians - บทนำ พระธรรมโคโลสี (3)

I. The Bible: The Truth, God's Word (3)

Jesus declared that God's words are truth. The Holy Spirit will teach us about the truth and teach us to understand it. God's word is eternal and powerful.

"Then God said, 'Let there be light'; and there was light." (Genesis 1:3 NKJV)

From Genesis chapter 1, we would see how God created the earth. He said "let there be ...", and then it was so. Everything became reality. That is the power of His Word.

"So shall My word be that goes forth from My mouth; It shall not return to Me void, But it shall accomplish what I please, And it shall prosper in the thing for which I sent it." (Isaiah 55:11 NKJV)

Spirit of Truth will teach us to understand the bible which is God's Word and Truth. Pray before reading it. Ask what He wants us to learn.

If we would give Him a chance, open the Word, and see how it would change your life. It takes time to study God's Word.

Bible study is more than study in the class. It is a way of life. You can never learn too much about God. You have to continue to study about The Word.

PRINCIPLE I:

  • God Spoke the Bible. It is TRUE. Its purpose is to reveal God and His Son, the Lord Jesus Christ.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

I. พระคัมภีร์: ความจริง พระวจนะของพระเจ้า (2)

พระเยซูก็ทรงสำแดงว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสอนเราเกี่ยวกับความจริง และสอนเราให้เข้าใจความจริงนั้น พระคำของพระเจ้านั้นนิรันดร์และทรงพลานุภาพ

พระ​เจ้า​ตรัส​ว่า "จง​เกิด​ความ​สว่าง" ความ​สว่าง​ก็​เกิด​ขึ้น (ปฐมกาล 1:3 THSV2011)

จากปฐมกาลบทที่ 1 เราก็จะเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกขึ้นมา พระองค์ตรัสว่า"จงเกิด..." และสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นมา ทุกสิ่งล้วนกลายเป็นจริงขึ้นมา นี่เป็นฤทธิ์เดชของพระวจนะของพระอค์

ทำ​นอง​เดียว​กัน คำ​ของ​เรา​ที่​ออก​จาก​ปาก​ของ​เรา จะ​ไม่​กลับ​มา​สู่​เรา​เปล่าๆ แต่​จะ​ทำ​ให้​สิ่ง​ที่​เรา​พอใจ​นั้น​สำเร็จ และ​ให้​สิ่ง​ที่​เรา​ใช้​ไป​ทำ​นั้น​เสร็จสิ้น (อิสยาห์ 55:11 THSV2011)

พระวิญญาณแห่งความจริงจะสอนให้เราเข้าใจพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้า และเป็นความจริง จงอธิษฐานก่อนที่จะอ่านพระคัมภีร์ ทูลถามพระองค์ว่าทรงต้องการให้เราเรียนรู้สิ่งใด

ขอที่เราจะเปิดโอกาสให้กับพระองค์ เปิดพระคัมภีร์ และดูว่าสิ่งนี้จะเปลี่ยนชีวิตของเราได้อย่างไร

การศึกษาพระวจนะของพระเจ้านั้นใช้เวลา การศึกษาพระคัมภีร์ไม่ใช่เป็นเพียงการเรียนในชั้นเรียน แต่เป็นวิถีชีวิต คุณไม่สามารถเรียนรู้มากเกินไปเกี่ยวกับพระเจ้า คุณจำเป็นที่จะต้องศึกษาเกี่ยวกับพระวจนะต่อไป

ข้อคิดที่ I

  • พระเจ้าตรัสผ่านพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นจริง ไว้ใจได้ และเป้าหมายของพระคัมภีร์คือเพื่อเปิดเผยพระเจ้าและพระบุตร องค์พระเยซูคริสต์เจ้า

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Introduction to Colossians

เมื่อวันที่ 29/03/2010

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปหรือการแปลของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Introduction to Colossians - บทนำ พระธรรมโคโลสี (2)

I. The Bible: The Truth, God's Word (2)

The bible has a purpose. It is story about God redeeming man. From the beginning to the very end, the story has not changed. From Genesis chapter 3 to Revelation is the story about redemption. The seed of Woman would beat the head of Satan. The stories in the Old Testament are also the shadow of what would be fulfilled in the New Testament. One example is about the kinsman-redeemer in the book of Ruth. Boaz, who was Ruth's kinsman-redeemer, was just like Christ. Jesus Christ is our Kinsman-Redeemer.

In the New Testament, Jesus came to fulfill the Old Testament. He came to fulfill the law. Not to condemn or judge, but to redeem.

The bible is about the God and His Son. He wants to redeem us, and we are the objects. It is about His characters and attributes.

God reveals Himself in different ways: from nature, from the creations, from circumstances of life, and, specifically, from the Bible. That is how we know about truth. That is why we learn the bible.

Jesus is the perfect reflection of God. This is how we know God as well. He is the perfect representation of God.

The bible is without error or contradiction. It is written by 40 men, over 1,500 years, but no contradiction.

"God is not a man, that He should lie, Nor a son of man, that He should repent. Has He said, and will He not do? Or has He spoken, and will He not make it good?" (Number 23:19 NKJV)

God is God, and not a man. He has not changed His Mind. He does not retract or erase what he has said. He does exactly what he said He would do.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

I. พระคัมภีร์: ความจริง พระวจนะของพระเจ้า (2)

พระคัมภีร์มีเป้าหมาย เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับที่พระเจ้าทรงไถ่มนุษย์ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เรื่องราวก็ไม่มีเปลี่ยนแปลง จากปฐมกาล 3 จนถึงวิวรณ์ ก็ล้วนเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทรงไถ่ พงศ์พันธุ์ของสตรีจะทำให้หัวของซาตานแหลก เรื่องราวทั้งหลายจากพันธสัญญาเดิมก็เป็นเงาของสิ่งที่จะได้รับการเติมเต็มในพันธสัญญาใหม่

ตัวอย่างหนึ่ง คือ เกี่ยวกับญาติสนิท ที่มีภาระในการไถ่ญาติของตน (kinsman-redeemer) ซึ่งปรากฎในพระธรรมนางรูธ โบอาสผู้ซึ่งเป็นญาติสนิทของนางรูธ ก็เป็นดังเช่นพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นญาติสนิท ที่ได้ทรงไถ่เราทั้งหลาย

ในพันธสัญญาใหม่ พระเยซูทรงเติมเตมพันธสัญญาเดิม พระองค์ทรงทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ พระองค์มิได้ทรงเสด็จมาเพื่อกล่าวโทษหรือพิพากษา แต่ทรงเสด็จมาเพื่อไถ่

พระคัมภีร์เป็นเรื่อราวเกี่ยวกับพระเจ้า และพระบุตรของพระองค์ พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะไถ่เรา และเราก็เป็นผู้ที่ได้รับการไถ่ เรื่องราวทั้งสิ้นก็เกี่ยวกับพระลักษณะและธรรมชาติของพระเจ้า

พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เองผ่านหลายทาง อาทิเช่น ทางธรรมชาติ ทางสิ่งทรงสร้างทั้งหลาย ทางสถานการณ์ของชีวิต และที่เจาะจงก็คือ ผ่านทางพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นวิธีที่เราจะรู้เกี่ยวกับความจริ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราศึกษาพระคัมภีร์

พระเยซูทรงสำแดงพระลักษณะของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ เราจึงสามารถรู้จักพระเจ้าได้โดยศึกษาจากพระลักษณะของพระเยซูด้วยเช่นกัน พระองค์ทรงเป็นตัวแทนที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า

พระคัมภีร์ไม่มีข้อคิดพลาด หรือไม่มีความขัดแย้ง เขียนโดยผู้เขียน 40 คน ตลอดระยะเวลา 1,500 ปี แต่ไม่มีความขัดแย้งกันเอง

พระ​เจ้า​ทรง​ไม่​ใช่​มนุษย์​ที่​จะ​มุสา และ​ไม่​ได้​ทรง​เป็น​บุตร​ของ​มนุษย์​ที่​จะ​ต้อง​กลับ​ใจ พระ​องค์​จะ​ไม่​ทรง​ทำ​ตาม​ที่​ตรัส​ไว้​แล้ว​หรือ? พระ​องค์​จะ​ไม่​ทรง​ทำ​ให้​สำเร็จ​ตาม​ที่​ทรง​ลั่น​วา​จา​ไว้​แล้ว​หรือ? (กันดารวิถี 23:19 THSV2011)

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า และมิได้ทรงเป็นมนุษย์ พระองค์ไม่เปลี่ยนพระทัย พระองค์ไม่ถอนกลับ หรือยกเลิกสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ พระองค์ทรงทำตามสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ว่าจะทรงทำทุกประการ

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Introduction to Colossians

เมื่อวันที่ 29/03/2010

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปหรือการแปลของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Introduction to Colossians - บทนำ พระธรรมโคโลสี (1)

I. The Bible: The Truth, God's Word (1)

Sometimes we do not like the truth, but truth is a reliable thing you can rely on. The Holy Bible is the book of truth because God is truth. If we are reading the Bible, we are reading the Book of Truth.

The problem is that sometimes people believe in different things. How do we know which one is truth?

If you want to know the truth, to know about God, go to the Bible. It begins and ends with truth. It says about God, his work, and His Son - Jesus Christ. The bible is addressed to us.

How do we know that it is truth? How can we rely on it?

To know the bible is a process. It is complex and takes time to learn and study. It will speak for itself. If we read the bible, we will see that it is relevant to our lives.

God is the author of the bible. He wrote it through men. God called them to write specific books, which were collected together and called The Holy Bible.

"All Scripture is given by inspiration of God, and is profitable for doctrine, for reproof, for correction, for instruction in righteousness" (2Timothy 3:16 NKJV)

The bible is God-breathed. He breathed it out. All scriptures are God-breathed, not by man.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 

I. พระคัมภีร์: ความจริง พระวจนะของพระเจ้า (1)

บางครั้งเราก็ไม่ชอบความจริง แต่ความจริงเป็นสิ่งที่เราสามารถเชื่อได้ พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นหนังสือแห่งความจริง เพราะพระเจ้าทรงเป็นความจริง หากว่าเราอ่านพระคัมภีร์ เราก็กำลังอ่านหนังสือแห่งความจริง

ปัญหาก็คือว่า บางครั้งผู้คนก็เชื่อในสิ่งต่าง ๆ กัน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งใดเป็นความจริง?

หากคุณต้องการรู้ความจริง เพื่อที่จะรู้จักกับพระเจ้า ก็ขอที่จะไปยังพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์เริ่มต้นและจบลงด้วยความจริง เป็นหนังสือที่กล่าวเกี่ยวกับพระเจ้า พระราชกิจของพระองค์ และพระบุตรของพระองค์ คือ องค์พระเยซูคริสต์

พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่เขียนถึงเราทั้งหลาย

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือความจริง? เราจะเชื่อใจได้อย่างไร?

การที่จะรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์เป็นกระบวนการ เป็นสิ่งที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการศึกษาเรียนรู้ พระคัมภีร์จะกล่าวกับเราเอง หากว่าเราอ่านพระคัมภีร์ เราก็จะเห็นว่าหนังสือเล่มนี้ล้วนเกี่ยวข้อกับชีวิตของพวกเรา

พระเจ้าทรงเป็นผู้เขียนพระคัมภีร์ขึ้นมา โดยทรงเขียนผ่านทางมนุษย์ พระเจ้าทรงเรียกพวกเขาให้เขียนหนังสือขึ้นมา ซึ่งเมื่อรวมกันทั้งหมดจะเรียกว่า "พระคริสตธรรมคัมภีร์"

พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในเรื่องความชอบธรรม (2 ทิโมธี 3:16 THSV2011)

พระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า พระเจ้าทรงดลใจให้เขียนออกมา ไม่ได้มาจากมนุษย์

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Introduction to Colossians

เมื่อวันที่ 29/03/2010

แปลและสรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์