วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน (9/9)

3. กษัตริย์ของท่านเสด็จมา เพื่อเปิดเผยน้ำพระทัยของพระเจ้า (3)

คุณครูคนหนึ่ง อยากแสดงความชื่นชมแก่นักเรียนทุกคน จึงให้นักเรียนทุกคนมา และบอกกับนักเรียนแต่ละคนว่านักเรียนแต่ละคนมีคุณค่าเพียงไร หลังจากนั้น เธอได้มอบริบบิ้นสีฟ้าให้กับนักเรียนทุกคน คนละ 3 ชิ้น บนริบบิ้นเขียนว่า "ฉันเป็นคนมีคุณค่า" แล้วเธอก็ได้มอบหมายให้นักเรียนแต่ละคนไปมอบริบบิ้นให้กับใครก็ได้ ที่คิดว่ามีคุณค่ากับเขา และให้บอกกับคนนั้นว่าเขามีคุณค่าต่อชีวิตของเขาเพียงไร

เด็กคนหนึ่งก็ได้เข้าไปหาผู้บริหารของบริษัทแห่งหนึ่งข้างโรงเรียน เพื่อยกย่องเขาว่าเขาได้มีคุณค่าต่อชีวิตเพียงไร ที่ได้เคยแนะนำสิ่งดี ๆ ในชีวิตเกี่ยวกับแผนการในอนาคต และบอกว่า "เราได้รับการบ้านจากคุณครูครับ ให้ยกย่องชมเชยคนอื่น ผมเลยอยากขอบคุณและชื่นชมในตัวของคุณ แต่ผมมีริบบิ้นอีก 2 ชิ้น คุณช่วยเอาไปให้ใครอีกก็ได้ที่คุณชื่นชม"

ชายคนนี้เมื่อได้รับก็คิดไม่ออกว่าจะเอาไปให้ใคร ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจที่จะมอบให้กับเจ้านายของเขา ซึ่งเจ้านายคนนี้ไม่มีใครอยากจะพบ เพราะเป็นเจ้านายที่เจ้าอารมณ์ โกรธเกรี้ยวกับพนักงานเสมอ เขาเข้าไปและชื่นชมกับนายของเขา ชื่นชมว่าเจ้านายเป็นคนที่อัจฉริยะ เก่ง เจ้านายก็ประหลาดใจกับลูกน้องคนนี้ ว่าจะมาไม้ไหน สุดท้ายชายคนนี้ก็บอกกับเจ้านายว่า "ผมมีริบบิ้น 2 ชิ้น เด็กนักเรียนคนหนึ่งให้ผมมา และบอกให้ผมติดให้ใครก็ได้ ผมเลยเอามาติดให้กับเจ้านาย"

เขาก็ติดริบบิ้นนั้นบนเสื้อนอกของเจ้านาย และกล่าวเสริมว่า "เจ้านายครับ ยังมีริบบิ้นอีกชิ้นหนึ่ง ผมขอให้เจ้านายเอาไปให้ใครก็ได้ที่เจ้านายชื่นชม"

เจ้านายเมื่อได้รับก็คิดไม่ออก จนกลับบ้าน จึงได้เรียกลูกชายของมา และเล่าเรื่องต่างๆ เหล่านี้ให้กับลูกชาย พร้อมกับบอกลูกว่า "พ่อได้ริบบิ้นเส้นนี้ ระหว่างที่พ่อขับรถกลับบ้าน ก็ยังไม่รู้ว่าจะให้ใครดี ในที่สุดพ่อก็นึกถึงลูก พ่ออยากจะชื่นชมลูก วัน ๆ หนึ่งพ่อทำงานยุ่งเหยิง พอกลับบ้านก็ไม่ได้เจอหน้าลูก ไม่ได้ใส่ใจดูแลลูกเลย บางครั้งก็อาละวาดถึงการเรียนที่ไม่เอาไหนอีกต่างหาก อาละวาดที่ทำที่นอนรกรุงรัง แต่วันนี้พ่ออยากนั่งลงคุยกับลูก อยากบอกว่าลูกมีคุณค่ามากเพียงไรสำหรับพ่อ นอกจากลูกและแม่ของลูก พ่อก็นึกไม่ออกว่าใครมีคุณค่ากับชีวิตของพ่อ จริง ๆ แล้ว ลูกเป็นลูกที่ยอดเยี่ยม พ่อรักลูกมาก"

เด็กหนุ่มผู้เป็นลูก ก็ตะลึง และร้องสะอึกสะอื้น ร้องไห้อย่างไม่หยุด ร้องไห้ด้วยร่างที่สั่นเทา และมองหน้าพ่อทั้งน้ำตา บอกพ่อเขาว่า "พ่อครับ เมื่อตอนเย็นที่ผมอยู่บนห้อง ผมนั่งเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ว่าทำไมผมจึงอยากจะฆ่าตัวตาย และขอให้พ่อยกโทษให้กับผม ผมตั้งใจจะฆ่าตัวตายคืนนี้ตอนที่พ่อกับแม่กำลังนอนหลับ ผมคิดว่าพ่อไม่เคยห่วงใยเลย จดหมายอยู่บนห้องครับ แต่คิดว่าตอนนี้ผมคงไม่ต้องการมันแล้วแหละ"

พ่อของเด็กหนุ่มคนนั้นก็เดินไปที่ห้องนอน พร้อมพบกับข้อความอันสะเทือนใจที่บรรยายถึงความเจ็บปวดของลูกชาย ต่อจากนั้น เขาก็เปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต

ชายคนนี้กลับไปดำเนินชีวิตด้วยความเปลี่ยนแปลง นี่อาจเป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เห็นจากการยอมที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต

ผมไม่มีริบบิ้นสำหรับพี่น้องทุก ๆ คน แต่อยากบอกว่า ทุกท่านเป็นคนที่มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์ทรงชื่นชมเราทุกคนที่เป็นลูกของพระองค์ และพระองค์ทรงต้องการให้เราดำเนินชีวิตสมกับที่พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ในชีวิตของเราทั้งหลาย

ขอให้กษัตริย์ที่เสด็จมาในชีวิตของท่านอยู่ในใจของท่าน และเป็นผู้ที่จะปลดปล่อยชีวิตของท่านจากสิ่งต่าง ๆ ที่ผูกมัดชีวิตของท่าน ขอให้พระองค์เป็นทางรอดในชีวิตของท่าน ที่ท่านจะมั่นใจในความรอดที่ได้รับ และนำลูกหลานให้อยู่ในทางของพระเจ้า กษัตริย์ของท่านจะเป็นผู้เปิดเผยน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อท่านจะมีชีวิตที่สำเร็จตามน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นคนที่มีคุณค่าของพระเจ้า

 

ศจ. ศาสวัต มูลสถาน

การนมัสการรวม "วันใบปาล์ม" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 17/04/2011

เรื่อง กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน


หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน (8/9)

3. กษัตริย์ของท่านเสด็จมา เพื่อเปิดเผยน้ำพระทัยของพระเจ้า (2)

ถ้าจะเปรียบพระเจ้าเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ในโลกนี้ และมีนโยบายต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายด้านความรอด ความเชื่อ หรือความรัก แต่มนุษย์ไม่เข้าใจนโยบายของพระเจ้า เราเป็นเหมือนพนักงานที่ไม่เข้าใจนโยบายของเจ้าของบริษัท แต่พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จมาเพื่อจะอธิบายนโยบายเหล่านี้ให้เราได้เข้าใจ และพระองค์ไม่เพียงแค่พูดเท่านั้น แต่พระองค์ทรงทำให้นโยบายเหล่านั้นสำเร็จในชีวิตของเรา พระองค์ทรงเป็นผู้จัดการที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ที่เปิดเผยน้ำพระทัยของพระเจ้า และให้เราทั้งหลายได้เข้าสู่แผนการนี้ด้วยความมั่นใจ จะทำได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเราเข้าใจพระองค์อย่างลึกซึ้งเพียงไร

1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย
2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม (โรม 12:1-2)

การที่เราจะเข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้านั้น จะต้องทำเช่นไร? ขอที่เราจะถวายตัวของเราเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตแด่พระเจ้า แล้วเราจะเข้าใจพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระองค์

เริ่มต้นที่ใด? เริ่มต้นที่การเปลี่ยนแปลงความคิดในใจของเรา เปลี่ยนจิตใจที่เต็มด้วยความสงสัย วุ่นวายของเราให้เป็นจิตใจที่สงบต่อพระเจ้า

 

ศจ. ศาสวัต มูลสถาน

การนมัสการรวม "วันใบปาล์ม" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 17/04/2011

เรื่อง กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน (7/9)

3. กษัตริย์ของท่านเสด็จมา เพื่อเปิดเผยน้ำพระทัยของพระเจ้า (1)

10 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ประชาชนทั่วทั้งกรุงก็พากันแตกตื่นถามว่า "ใครหนอ"
11 ฝูงชนก็ตอบว่า "นี่คือเยซูผู้เผยพระวจนะ ซึ่งมาจากนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี" (มัทธิว 21:10-11)

กษัตริย์ของท่านเสด็จมาเพื่อปลดปล่อยท่าน เพื่อเป็นทางแห่งความรอด และเพื่อเปิดเผยพระทัยของพระเจ้า

การเผยพระวจนะของพระองค์ คือการเปิดเผยน้ำพระทัยของพระเจ้าให้เราทั้งหลายได้ทราบ

1 ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า
2 ในปฐมกาลพระองค์ทรงดำรงอยู่กับพระเจ้า
3 พระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระวาทะ
4 พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์
5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่ (ยอห์น 1:1-5)

พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งผ่านทางพระวาทะ หรือพระวจนะ หรือพระเยซูคริสต์ ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากพระวาทะของพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่พระองค์ทรงรู้จักเราแต่ละคนเป็นอย่างดี พระองค์ทรงทราบว่าเรากำลังเจ็บป่วยหรือมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา พระองค์เสด็จมาเพื่อเปิดเผยสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้ ให้ได้รู้

8 ฟีลิปทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว"
9 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า 'ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น' " (ยอห์น 14:8-9)

เราอยู่กับพระเจ้ามานานเท่าไรแล้ว? เรารู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้าดีมากน้อยเพียงไร? เราเข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าลึกซึ้งมากน้อยเพียงไร? บางครั้งเราไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า เราอาจถามพระเจ้าถึงเรื่องราวเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้น แต่พระองค์มาเพื่อเปิดเผยน้ำพระทัยของพระเจ้า

 

ศจ. ศาสวัต มูลสถาน

การนมัสการรวม "วันใบปาล์ม" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 17/04/2011

เรื่อง กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน (6/9)

2. กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน เพื่อเป็นความรอด (3)

ข้าพเจ้าเชื่อว่าเราทั้งหลายมั่นใจในความรอดในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า แต่สิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องเราทั้งหลาย คือ ดำเนินชีวิตให้สมกับที่พระองค์ทรงประทานชีวิตให้กับเรา รักษาชีวิตบนเส้นทางแห่งความรอดของเรา

หลายครั้งเราบอกว่า ยุคนี้เป็นยุคสุดท้ายและเป็นยุคแห่งสงครามฝ่ายวิญญาณ

หลายคนอาจไม่เคยได้ยินคำว่า "สงครามฝ่ายวิญญาณ" อาจรู้จักแต่สงครามอ่าวเปอร์เซีย หรือสงครามลิเบีย เราทุกคนเมื่อเริ่มต้นชีวิตฝ่ายวิญญาณ เราก็กำลังเข้าสู่สงครามฝ่ายวิญญาณ เป็นการต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็น

การต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็น เราจะทำอย่างไรดี? พระวจนะบอกให้เราสวมยุทธภัณฑ์ทั้ง 6 และอธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้า ในสงครามนี้เราอาจพบความเจ็บปวดฝ่ายร่างกาย อาจพบคำถามที่ไม่มีคำตอบ อาจพบปัญหาที่ไม่มีทางแก้ไข สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราตั้งคำถามว่า "พระองค์ทรงอยู่ที่ไหน?"

บนเส้นทางแห่งความรอดในความเชื่อนี้ เรากำลังอยู่ในสงคราม เราจะต้องดำเนินชีวิตอย่างมั่นคง

พี่เขยของข้าพเจ้าเสียชีวิต และเช้าวันหนึ่งคุณแม่ของท่านอยากพาหลานไปทำบุญ พี่สาวของข้าพเจ้าก็รู้สึกลำบากใจ เพราะไม่อยากให้ลูกไปทำบุญกับคุณย่า เขากำลังต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็น และไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร ไม่มีเหตุผลที่จะบอกได้ว่าทำไมจึงไม่อยากให้ลูกไปทำบุญกับแม่ของสามี

เธอจึงได้คุกเข่าลงอธิษฐาน ทูลกับพระเจ้าว่า "พระเจ้า ลูกของข้าพระองค์เป็นลูกของพระองค์ ขอให้เขาอยู่ในเส้นทางแห่งความเชื่อ และจะไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เขาเหินห่างจากทางของพระองค์ ขอพระองค์ช่วยด้วยเถิด ข้าพระองค์ไม่อยากให้ลูกของข้าพระองค์ไปกับคุณย่า" เธอได้มอบทุกสิ่งกับพระเจ้า

เช้าวันต่อมา สิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้น หมอกลงอย่างหนาทึบมากจนมองไม่เห็นหนทาง และหนาวมาก ๆ คุณย่าก็เลยกลัว และยอมที่จะไปคนเดียว ไม่เอาหลานไป

นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ และเราจะเอาชนะได้ด้วยการอธิษฐานเท่านั้น

ทางแห่งความเชื่อ ทางแห่งความรอด เป็นทางแคบ ที่อาจไม่สะดวกสบายหรือราบรื่นเท่าไรนัก แต่เราทั้งหลายผู้เชื่อในพระองค์ จะดำเนินต่อไป และอยู่ในหนทางแห่งความเชื่อนี้อย่างเข้มแข็ง

 

ศจ. ศาสวัต มูลสถาน

การนมัสการรวม "วันใบปาล์ม" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 17/04/2011

เรื่อง กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน (5/9)

2. กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน เพื่อเป็นความรอด (2)

คำคำหนึ่งที่เราทั้งหลายเรารู้จักดี คือ "โฮซันนา" ดังที่พระคัมภีร์ได้เขียนอธิบายเพิ่มเติม ว่าความหมาย คือ เป็นคำสรรเสริญพระเจ้า ใช้นมัสการพระเจ้า แต่อีกความหมาย ที่ชาวอิสราเอลใช้พร้อมกับการสรรเสริญพระเจ้า คือ "ขอทรงโปรดช่วยเราให้รอด"

ในขณะที่กำลังสรรเสริญพระเจ้า คำคำนี้ก็กำลังบอกว่า "พระเยซู ขอทรงโปรดช่วยเราให้รอดด้วยเถิด" พระองค์ทรงเป็นทางแห่งความรอดของชีวิตของเราทั้งหลาย และทางของพระเจ้าที่จะช่วยเราได้ คือทางของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เป็นทางแห่งความรอดที่ยุติธรรมสำหรับทุก ๆ คน ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน ทางนี้เป็นทางเดียวเท่านั้น

เมื่อเราประกาศเรื่องราวของพระเจ้า เราอาจบอกว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นทางเดียวที่ไปสู่แผ่นดินสวรรค์ และคนที่เราไปประกาศด้วยอาจตอบว่า "ถ้าผมจะไปเชียงใหม่ มีเส้นทางหลายเส้นทางที่จะถึง ไปได้เยอะแยะหลายทาง ก็ถึงเชียงใหม่ได้" ซึ่งสิ่งที่เขากำลังจะบอก คือ สารพัดความดีที่เขานับถือก็นำไปถึงสวรรค์ได้เช่นกัน แต่อย่าลืมว่า พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของแผ่นดินสวรรค์ ไม่มีวิธีการใดของมนุษย์ที่ไปถึงแผ่นดินสวรรค์ได้ ถ้าเจ้าของสวรรค์ไม่อนุญาตให้เข้าไป สิ่งที่จะช่วยให้เรารอดได้ คือ พระเยซูคริสต์

ถ้าหากศึกษาจากชีวิตของหนูนา จะพบว่าการจับหนูนาไม่ใช่เรื่องง่าย หนูนาจะขุดรู และคนเห็นจะรู้ว่านี่คือรูของมัน เขาอาจจะเอากรงตาข่ายดักที่ปากของรู แต่บางครั้งก็จับได้ และบางครั้งก็ไม่ติด เพราะอะไร? ก็เพราะว่าหนูนาฉลาด มันสามารถขุดรู 2-3 รูเพื่อเราตัวรอดได้ ถ้าหากก่อไฟด้วยฟางให้ควันเข้าไปในรู ก็จะเห็นว่ามีรูออกอีก 2-3 รู

มนุษย์เราก็พยายามที่จะหาหลากหลายหนทางที่จะนำไปสู่ความรอด แต่ชีวิตของเราไม่เหมือนกับหนูนา เราไม่สามารถสร้างหนทางแห่งความรอดได้ เราอาจมีหลายวิธีในชีวิตของเรา แต่พระเยซูคริสต์เท่านั้นเป็นทางรอด

 

ศจ. ศาสวัต มูลสถาน

การนมัสการรวม "วันใบปาล์ม" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 17/04/2011

เรื่อง กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน (4/9)

2. กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน เพื่อเป็นความรอด (1)

8 ฝูงชนเป็นอันมาก ได้เอาเสื้อผ้าของตนปูตามถนนหนทาง บางคนก็ตัดกิ่งไม้มาปูตามถนน
9 ฝ่ายฝูงชนซึ่งเดินไปข้างหน้า กับผู้ที่ตามมาข้างหลัง ก็พร้อมกันโห่ร้องว่า "โฮซันนา(ในที่นี้ใช้เป็นคำสรรเสริญ) แก่ราชโอรสของดาวิด ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญโฮซันนา ในที่สูงสุด" (มัทธิว 21:8-9)

พระองค์ทรงเป็นทางรอดสำหรับคนทุกคนในแผ่นดินโลกนี้ นี่คือความตั้งใจของพระองค์

ก่อนหน้านี้ ในมัทธิว บทที่ 20 มารดาของสาวกสองคนมาหาพระเยซู ขอให้ลูกของเธอได้นั่งข้างซ้ายและข้างขวาของพระองค์ เหตุที่เธอพูดเช่นนี้ เพราะเธอไม่เข้าใจในเป้าหมายการมาของพระเยซูคริสต์ ไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วพระองค์มาเพื่อเหตุไร

20 ขณะนั้นมารดาของบุตรแห่งเศเบดี พาบุตรทั้งสองมาเฝ้าพระองค์กราบไหว้ทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์
21 พระองค์จึงทรงถามนางนั้นว่า "ท่านปรารถนาอะไร" นางทูลว่า "ขอพระองค์รับสั่งตั้งให้บุตรของข้าพระองค์สองคนนี้ นั่งในราชอาณาจักรของพระองค์เบื้องขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง เบื้องซ้ายคนหนึ่ง"
22 แต่พระเยซูตรัสตอบว่า "ที่ท่านทั้งสองขอนั้นท่านไม่เข้าใจ ถ้วยซึ่งเราจะดื่มนั้นท่านจะดื่มได้หรือ" เขาทูลว่า "ได้พระเจ้าข้า"
23 พระองค์ตรัสกับเขาว่า "ท่านทั้งหลายจะดื่มถ้วยของเราเป็นแน่ แต่ซึ่งจะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่พนักงานของเราที่จะจัดให้ แต่พระบิดาของเราได้ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น" (มัทธิว 20:20-23)

พระองค์ก็ตรัสตอบใน ข้อ 27-28

27 ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของพวกท่าน
28 อย่างที่บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก (มัทธิว 20:27-28)

พระเยซูคริสต์ทรงมาเพื่อเป็นทางรอดสำหรับเราทั้งหลาย แต่การเป็นทางรอดของพระองค์ พระองค์ไม่ได้เพียงแค่มาบอก และปล่อยให้เราดำเนินชีวิตอย่างสะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง

พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา" (ยอห์น 14:6)

สาวกของพระองค์ก็ยืนยันในถ้อยคำนี้

ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า (กิจการ 4:12)

เราจะไปหาที่ไหนก็ไม่มี หาที่ไหนก็ไม่เจอ เพราะมีทางเดียว คือ พระเยซูคริสต์

เหมือนกับชีวิตของเรากำลังตกอยู่ในหลุมใหญ่หลุมหนึ่ง และมีคนเดินผ่านมา บอกกับเราว่า "ขึ้นมาสิ เอามือเกาะดินขึ้นมา ทำอย่างไรก็ได้ ขุดดินให้เป็นรู และตะเกียกตะกายไต่ขึ้นมา" แต่พระเยซูไม่ใช่เช่นนั้น พระองค์ทรงเห็นเราที่อยู่ในหลุม และพระองค์ก็ทรงยื่นบางสิ่งบางอย่างให้เราจับ เพื่อรับเราขึ้นมาให้ได้ และพระองค์ก็ไม่ได้บอกว่าไปไหนก็ได้ แต่พระองค์เชิญชวนว่า "จงตามเรามาเถิด"

นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงกำลังบอกกับเรา ให้ติดตามพระองค์

และสัปดาห์หน้า วันอีสเตอร์ จะเป็นสัปดาห์แห่งการประกาศเรื่องราวของพระเจ้า ขอที่เราจะพาลูกหลานหรือคนใกล้ชิด เพื่อที่เขาจะได้ยินเรื่องราวของพระเจ้า เพื่อจะได้บอกกับเขาเหล่านั้นว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นทางเดียว เป็นทางแห่งความรอด

 

ศจ. ศาสวัต มูลสถาน

การนมัสการรวม "วันใบปาล์ม" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 17/04/2011

เรื่อง กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน (3/9)

1. กษัตริย์ของท่านเสด็จมหาท่าน เพื่อปลดปล่อยท่าน (3)

คนจำนวนมากที่ได้ยินได้เห็น แต่ไม่ได้รับการปลดปล่อย เพราะมีบางสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่ในใจลึก ๆ ดังประโยคหนึ่งที่พูดเสมอ คือ "รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ"

เราไม่รู้ภายในใจของมนุษย์คิดอะไรมากน้อยเพียงไร ดีหรือไม่ดีอย่างไร สิ่งที่ผูกมัดนั้นแหละคือสิ่งที่ทำให้เราไม่ได้รับการปลดปล่อยที่แท้จริงจากพระเจ้า

นักสังคมสงเคราะห์ สัมภาษณ์นักโทษว่าติดคุกเพราะเหตุใด นักโทษก็ได้ตอบว่า "20 ปี เนื่องด้วยการขโมยเชือกเส้นเดียว" นักสังคมสงเคราะห์ก็แปลกใจ นักโทษก็อธิบาย "และที่ปลายเชือกมีควายติดมาตัวหนึ่ง" นักสังคมสงเคราะห์ก็ยังคงไม่เข้าใจ นักโทษก็เล่าต่อว่า "เจ้าของควายตามมาทวงคืน เขาเลยใช้มีดแทงเจ้าของควายคนนั้นตาย"

เมื่อเราสืบค้นในใจ เราจะพบว่ามีสิ่งในใจอีกมากมายที่เราไม่รู้ สิ่งที่เราทำผิดพลาดอาจเป็นเพียงบางสิ่งบางอย่างเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเราคิดดี ๆ เราอาจพบว่ามีหลายสิ่งที่เราถูกผูกมัดอยู่ในใจที่เรายังไม่ยอมให้พระเจ้าปลดปล่อย เรากำมันไว้ ไม่ยอมให้พระองค์ปลดปล่อย

บางคนกำปัญหาและความทุกข์ยากไว้อยู่แน่น ไม่ยอมปล่อย

ชาวสวนมะพร้าวผู้หนึ่ง ต้องการปราบฝูงลิงที่มาแอบกินมะพร้าว วันหนึ่งคิดวิธีได้ โดยการเอามะพร้าวแห้ง ๆ ผ่าตรงหัวให้เป็นรูเล็ก และเอาถั่วไส้ในมะพร้าว เมื่อลิงได้เห็น ก็เอามือล้วงในมะพร้าวลูกนั้น มือข้างหนึ่งล้วงลูกหนึ่ง อีกข้างก็ล้วงอีกลูกหนึ่ง มือสองข้างก็กำถั่วไว้แน่น พอเจ้าของสวนมาเพื่อจับ มันก็วิ่งหนี เมื่อมันอยากปีนขึ้นต้นมะพร้าว ก็ขึ้นไม่ได้เพราะมือไม่ยอมปล่อยถั่วที่อยู่ในมะพร้าว ในที่สุด มันก็ถูกจับ

นี่คือชีวิตของเรา บางครั้งเราไม่ยอมปล่อยบางสิ่งบางอย่างที่เรากำไว้อยู่ พระเยซูมาเพื่อปลดปล่อยชีวิตของเราทั้งหลาย ปลดปล่อยทั้งฝ่ายร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ พระองค์ทรงปลดปล่อยและรับผิดชอบชีวิตของเราทั้งหมดให้อยู่ในพระเจ้า เหมือนกับที่พระองค์ทรงเสด็จมาและมองเยรูซาเล็ม และบอกว่าอยากโอบอุ้มเหมือนแม่ไก่ที่โอบอุ้มลูกไว้ใต้ปีก แต่อิสราเอลก็ไม่ยอมที่จะให้พระองค์ปกป้อง เพราะเขาไม่ยอมที่จะได้รับการปลดปล่อย

โอ เยรูซาเล็มๆที่ได้ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างผู้ที่รับใช้มาหาเจ้าถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ (มัทธิว 27:37)

เมื่อเราได้รับการปลดปล่อยแล้วจะเป็นเช่นไร? เมื่อได้รับการปลดปล่อยชีวิตจากพระเจ้าแล้ว ชีวิตของเราจะเป็นดังที่พระเยซูคริสต์ตรัสไว้ใน มัทธิว บทที่ 5 คือ เราจะกลายเป็นผู้ที่ "เป็นสุข" ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใด เราก็จะรู้สึกว่าชีวิตของเราเป็นสุข และมีความสุขในพระเจ้า

วันนี้เรามีสิ่งใดที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย สิ่งใดที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราติดตามและรับใช้พระเจ้าได้อย่างไม่เต็มที่ ขอพระเจ้าช่วยเหลือเราที่สิ่งเหล่านั้นจะไม่เป็นอุปสรรคแก่เราในการติดตามพระเจ้า

 

ศจ. ศาสวัต มูลสถาน

การนมัสการรวม "วันใบปาล์ม" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 17/04/2011

เรื่อง กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน (2/9)

1. กษัตริย์ของท่านเสด็จมหาท่าน เพื่อปลดปล่อยท่าน (2)

จะเป็นภาพที่งดงามเพียงไรที่เราทุกคนได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์สำหรับมนุษย์คนหนึ่ง ได้ทำหน้าที่เป็นพ่อเป็นแม่ที่สมบูรณ์ เป็นลูกที่ดีแก่คุณพ่อคุณแม่ หรือเป็นเจ้าของบริษัทหรือโรงงานที่ดีให้กับลูกน้อง นี่แหละคือความสมบูรณ์ที่พระองค์ทรงต้องการจากชีวิตของเราในการรับใช้พระองค์

เราอาจคิดว่าเราไม่ได้รับการปลดปล่อยที่แท้จริงจากสิ่งที่ผูกมัดชีวิต เราอาจพบความเจ็บปวด ความทุกข์ยาก และถามพระเจ้าว่า ทำไมพระองค์จึงให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับเรา?

แต่ถ้าเราได้รับการปลดปล่อยที่แท้จริง เราจะคิดอย่างตรงกันข้าม และจะขอบพระคุณในทุกกรณี

คนหนึ่งที่เป็นแบบอย่างของผู้ที่ได้รับการปลดปล่อยอย่างแท้จริง คือ ศักเคียส

1 ฝ่ายพระเยซูจึงเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะทรงผ่านไป
2 ดูเถิด มีชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นนายด่านภาษีและเป็นคนมั่งมี
3 ศักเคียสพยายามจะดูให้เห็นพระเยซูว่า พระองค์เป็นผู้ใดแต่ดูไม่เห็นเพราะคนแน่น ด้วยเขาเป็นคนเตี้ย
4 เขาจึงวิ่งไปข้างหน้าขึ้นต้นมะเดื่อ เพื่อจะได้เห็นพระองค์เพราะว่าพระองค์จะเสด็จไปทางนั้น
5 เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงที่นั่น พระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ดูศักเคียสแล้วตรัสแก่เขาว่า "ศักเคียสเอ๋ย จงรีบลงมา เพราะว่าเราจะต้องพักอยู่ในตึกของท่านวันนี้"
6 แล้วเขาก็รีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความปรีดี
7 เมื่อคนทั้งหลายเห็นแล้วเขาก็พากันบ่นว่า "พระองค์เข้าไปพักอยู่กับคนบาป"
8 ฝ่ายศักเคียสยืนทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า "ดูเถิด พระเจ้าข้า ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนอนาถากึ่งหนึ่ง และถ้าข้าพระองค์ได้ฉ้อโกงของของผู้ใด ข้าพระองค์ยอมคืนให้เขาสี่เท่า"
9 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "วันนี้ความรอดมาถึงครอบครัวนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นลูกของอับราฮัมด้วย
10 เพราะว่าบุตรมนุษย์ได้มาเพื่อจะเที่ยวหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด" (ลูกา 19:1-10)

ศักเคียสมีรูปร่างเตี้ย และอยากจะพบกับพระเยซูคริสต์ เมื่อเขาให้พระองค์เข้าไปในบ้าน เขาไม่ได้เพียงแค่ยินดีที่พระองค์ทรงเข้าไปในบ้านเท่านั้น แต่สิ่งที่น่ายินดีกว่านั้นคือ เขาได้ให้พระองค์เข้ามาอยู่ในหัวใจ ได้รับการปลดปล่อยจากพระเจ้า เขาพร้อมที่จะเลิกสิ่งที่เขาเคยทำ และทำหน้าที่ของมนุษย์ให้ดีที่สุด นี่คือแบบอย่างของคนที่ได้รับการปลดปล่อยที่แท้จริงในชีวิต

 

ศจ. ศาสวัต มูลสถาน

การนมัสการรวม "วันใบปาล์ม" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 17/04/2011

เรื่อง กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน (1/9)


1 ครั้นพระองค์กับพวกสาวกมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ถึงหมู่บ้านเบธฟายี เชิงภูเขามะกอกเทศ แล้วพระเยซูทรงใช้สาวกสองคน
2 สั่งเขาว่า "จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าท่าน ท่านจะพบแม่ลาตัวหนึ่งผูกอยู่กับลูกของมัน จงแก้จูงมาให้เรา
3 ถ้ามีผู้ใดว่าอะไรแก่ท่าน ท่านจงว่า 'พระองค์ต้องประสงค์' แล้วเขาจะปล่อยให้มาทันที"
4 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เพื่อจะให้เป็นไปตามพระวจนะที่ตรัสโดยผู้เผยพระวจนะว่า
5 จงบอกชาวศิโยนว่า กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน โดยพระทัยอ่อนสุภาพ ทรงลา ทรงลูกลา
6 สาวกทั้งสองคนนั้น ก็ไปทำตามพระเยซูตรัสสั่ง
7 จึงจูงแม่ลากับลูกของมันมา และเอาเสื้อผ้าของตนปูบนหลัง แล้วพระองค์ได้ทรงลานั้น
8 ฝูงชนเป็นอันมาก ได้เอาเสื้อผ้าของตนปูตามถนนหนทาง บางคนก็ตัดกิ่งไม้มาปูตามถนน
9 ฝ่ายฝูงชนซึ่งเดินไปข้างหน้า กับผู้ที่ตามมาข้างหลัง ก็พร้อมกันโห่ร้องว่า "โฮซันนา(ในที่นี้ใช้เป็นคำสรรเสริญ) แก่ราชโอรสของดาวิด ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญโฮซันนา ในที่สูงสุด"
10 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ประชาชนทั่วทั้งกรุงก็พากันแตกตื่นถามว่า "ใครหนอ"
11 ฝูงชนก็ตอบว่า "นี่คือเยซูผู้เผยพระวจนะ ซึ่งมาจากนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี" (มัทธิว 21:1-11)


พระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ จะหนุนใจให้เรามีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา สมาคมพระคริสตธรรมได้ออกพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับมาตรฐาน ซึ่งได้มีการแปลและเรียบเรียงใหม่ ใช้เวลารวมทั้งสิ้น 14 ปี จึงขอเชิญชวนที่พี่น้องจะได้อ่านศึกษา เพื่อจะได้ใช้พระคัมภีร์ที่มีภาษาที่ตรงกับสถานการณ์สมัยพระคัมภีร์มากขึ้น และอีกประมาณ 1 ปี ก็จะมีฉบับมาตรฐานที่เป็นฉบับศึกษาพระคัมภีร์ด้วย นี่เป็นการอวยพรจากพระเจ้าสำหรับพระคัมภีร์ในประเทศไทย

เมื่อเราอ่านพระวจนะของพระเจ้าเราจะพบความตื่นเต้นตลอดเวลา

ช่วงเวลาที่ผ่านมา หลายท่านอาจได้ใช้คู่มือในการศึกษาเหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วงเวลาก่อนวันอีสเตอร์ เพื่อเตรียมใจสำหรับเทศกาลอีสเตอร์ และในวันนี้ ทุก ๆ คริสตจ้กรก็เฉลิมฉลองเนื่องในวันใบปาล์ม ซึ่งเป็นขั้นแรกของการเฉลิมฉลองชัยชนะของพระองค์ ที่พระองค์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม

เมื่อ 2000 ปีก่อน มีคนจำนวนมากทำเช่นนี้เพื่อต้อนรับพระองค์ ผู้คนต่างตื่นเต้น ถามกันว่า "ใครหนอ?" และมีคนตอบว่า "นี่คือเยซูผู้เผยพระวจนะ"

มีอีกคำหนึ่ง คือ "กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน" ซึ่งเป็นหัวข้อสำหรับคำเทศนาในวันนี้

ถ้าอ่านต่อไป จะพบว่าพระเยซูทรงทำพันธกิจมากมาย

จากพระคำในตอนนี้ เราพบ 3 สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้เกิดผลในชีวิตของเราทั้งหลาย

 

1. กษัตริย์ของท่านเสด็จมหาท่าน เพื่อปลดปล่อยท่าน (1)

1 ครั้นพระองค์กับพวกสาวกมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ถึงหมู่บ้านเบธฟายี เชิงภูเขามะกอกเทศ แล้วพระเยซูทรงใช้สาวกสองคน
2 สั่งเขาว่า "จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าท่าน ท่านจะพบแม่ลาตัวหนึ่งผูกอยู่กับลูกของมัน จงแก้จูงมาให้เรา
3 ถ้ามีผู้ใดว่าอะไรแก่ท่าน ท่านจงว่า 'พระองค์ต้องประสงค์' แล้วเขาจะปล่อยให้มาทันที"
4 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เพื่อจะให้เป็นไปตามพระวจนะที่ตรัสโดยผู้เผยพระวจนะว่า
5 จงบอกชาวศิโยนว่า กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน โดยพระทัยอ่อนสุภาพ ทรงลา ทรงลูกลา
6 สาวกทั้งสองคนนั้น ก็ไปทำตามพระเยซูตรัสสั่ง
7 จึงจูงแม่ลากับลูกของมันมา และเอาเสื้อผ้าของตนปูบนหลัง แล้วพระองค์ได้ทรงลานั้น (มัทธิว 21:1-7)

พระองค์เสด็จมาหาเราเพื่ออะไร?

จากพระธรรมตอนนี้ ลูกลาถูกมัดไว้อยู่ พระองค์ตรัสแก่สาวกให้เข้าไปแก้มัดลูกลานั้น เมื่อมีใครถาม ก็ให้ตอบว่า พระองค์ทรงต้องการ เพียงเท่านั้น เจ้าของลาก็จะปล่อยออกมาให้พระองค์ทรงขี่

พระองค์ทรงเสด็จมาหาเรา เพื่อปลดปล่อยเราทั้งหลาย

ถ้าเราเป็นสาวก เราจะตัดสินใจเช่นไร? เราไม่รู้ว่าลาตัวไหนจะเป็นลาที่ให้พระองค์ทรงขี่

เป็นธรรมดาที่อิสราเอลแทบจะทุกบ้านมีลาอยู่ แต่สาวกเดินไปด้วยความเชื่อ ว่าจะพบในสิ่งที่พระองค์ตรัส และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เขาสามารถนำลูกลามาให้กับพระองค์ได้

พระองค์ทรงเสด็จมาเพื่อปลดปล่อยสิ่งที่ถูกผูกมัดไว้ เพื่อจะได้ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด

ลาที่ถูกมัดอยู่ ไม่สามารถทำหน้าที่ในการแบกของ บรรทุกสัมภาระได้ พระองค์ทรงให้นำลานั้นมา เพื่อให้มันได้รับใช้พระเจ้า

เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงเสด็จมาหามนุษย์เพื่อปลดปล่อยมนุษย์จากสิ่งที่ผูกมัดชีวิตอยู่ เพื่อที่จะสามารถทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำหน้าที่ที่พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาอย่างสวยงามและมอบหมายให้ทำ

 

ศจ. ศาสวัต มูลสถาน

การนมัสการรวม "วันใบปาล์ม" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 17/04/2011

เรื่อง กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ชีวิตแห่งความเชื่อ (8/8)

3. ความเชื่อที่ถูกต้อง ต้องยึดมั่น (2)

ความสัมพันธ์ของพระเจ้าและอิสราเอล เป็นเหมือนสามีและภรรยา

เพราะผู้สร้างเจ้าเป็นสามีของเจ้า พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา และองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลเป็นผู้ไถ่ของเจ้า เขาเรียกพระองค์ว่าพระเจ้าของสากลโลก (อิสยาห์ 54:5)

ในพันธสัญญาใหม่ พระองค์ได้บอกว่าพระคริสต์เป็นเจ้าบ่าว และคริสตจักรคือเจ้าสาว เป็นความสัมพันธ์ที่แนบแน่น

31 เพราะเหตุนี้ ผู้ชายจึงจะละบิดามารดาของตน ไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน
32 ความจริงที่ฝังอยู่ในข้อนี้สำคัญ ส่วนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเข้าใจว่าหมายถึงพระคริสต์และคริสตจักร (เอเฟซัส 5:31-32)

ความเชื่อของเราเป็นเช่นไร? เรามอบให้กับพระองค์เท่ากับชีวิตหรือไม่? หรือความสัมพันธ์ช่างห่างเหินเหลือเกิน?

เมื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าพิธีสมรสแล้ว คงจะไม่มีเจ้าสาวคนใดที่จะบอกกับเจ้าบ่าวว่า "เหนื่อยเหลือเกิน กลับบ้านก่อนนะ ไว้ต้องการเมื่อไรจะเรียกแล้วกันนะ" ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วความสัมพันธ์จะเป็นเช่นไร?

ความสัมพันธ์ของคริสเตียนกับพระเจ้า จะต้องแนบแน่น ไม่ใช่เข้ามาหาพระเจ้าเพียงเมื่อมีความจำเป็น และไม่ใช่อธิษฐานแบบขอไปที อธิษฐาน 2-3 คำแล้วรีบรับประทานอาหาร

มิชชันนารีท่านหนึ่ง ได้ไปประกาศให้แก่คนจีน รู้สึกลำบากมาก เพราะคนเหล่านั้นเขายิ้มตลอดเวลา คนเหล่านั้นก็ถามว่า "ทำไมต้องเชื่อพระเยซู เมื่อตกงานรัฐบาลก็ให้ความช่วยเหลือ ชีวิตก็สบายดีอยู่แล้ว" พวกเขาก็ไม่มีจิตใจที่จะฟังพระกิตติคุณ

ตรงข้าม สำหรับคนบางคนที่มีความทุกข์มาก อ่อนระอาใจ รู้สึกว่าชีวิตช่างลำบาก พระเจ้าไม่ช่วยเหลือ เลยไม่อธิษฐาน นี่ก็เข้าตกหลุมพรางของซาตาน เพราะเวลาเช่นนี้ ควรที่เขาจะเข้ามาหาพระเจ้า ต้องมีความเชื่อที่เข้มแข็งขึ้น ต้องยึดมั่น

ชีวิตของโยบ ในวันเดียวกัน ท่านสูญเสียลูกชาย ลูกสาว ภรรยา เพื่อน และเงินทอง เพื่อนก็มาตำหนิท่าน แต่โยบก็ยังมั่นคงในความเชื่อ และในที่สุดท่านก็ได้รับพรจากพระเจ้าเป็นทวีคูณ

วันนี้ความเชื่อของเราที่มั่นคงอยู่ได้ด้วยเหตุผลใด? มีพระคำของพระเจ้า และใจได้ฟังพระวจนะ ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า

เด็กหญิงคนหนึ่ง ในห้องมีไฟลุกขึ้นมา เธอก็หนีไฟ วิ่งปีนขึ้นไปบนหลังคา พ่อก็บอกให้เธอกระโดดลงมา เธอก็กลัว เพราะควันไฟทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นพ่อได้ พ่อก็บอกว่า ให้โดดลงมา พ่อเห็นลูก เมื่อได้ยินเสียงพ่อ เธอก็อุ่นใจ และกระโดดลงมา

วันนี้เราได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือไม่? หรือเราพึ่งตนเองอยู่? ถ้าเราพึ่งพระองค์ เราจะต้องมีความมั่นคง ในยุคสมัยที่ขาดความเชื่อนี้ บางครั้งอาจรู้สึกว่าไม่สามารถพึ่งพาพระเจ้าได้ แต่แท้จริง เราพึ่งพาพระองค์ได้ ให้เราฟังพระสุรเสียง ฟังพระคำ ยืนอย่างมั่นคงในการพึ่งพาพระองค์

 

"เราบอกท่านทั้งหลายว่า พระองค์จะทรงประทานความยุติธรรมให้เขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรมนุษย์มา ท่านจะพบความเชื่อในแผ่นดินโลกหรือ" (ลูกา 18:8)

วันนี้คุณมีความเชื่อเช่นนี้หรือไม่? ถ้ามีความเชื่อความหวังในพระองค์อย่างแท้จริง พระองค์จะไม่ทอดทิ้งคุณ พระองค์จะทรงประคองเมื่อคุณล้มลง เมื่ออ่อนกำลังพระองค์ก็จะทรงช่วยเหลือคุณ ให้เราฝึกฝนในวิถีแห่งความเชื่อ ที่เราจะมีความเชื่อที่มั่นคง แล้วพระองค์จะทรงประทานพรที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ชีวิตของเรา

 

ศจ. วิวัฒน์ วงศ์สันติชน

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 10/04/2011

เรื่อง ชีวิตแห่งความเชื่อ

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

ชีวิตแห่งความเชื่อ (7/8)

3. ความเชื่อที่ถูกต้อง ต้องยึดมั่น (1)

ต้องยึดมั่นและอดทน ถ้าเราไม่มีความเชื่อที่มั่นคง เราก็จะล้มเหลวพ่ายแพ้

ขอที่เราจะอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ อย่าอ่อนละอาใจ เราจะต้องอดทน แล้วเราจะอยู่ใกล้พระองค์ตลอดเวลา

หญิงหม้ายคนนี้หาความยุติธรรมจากผู้พิพากษาท่านนี้ เธอไปหาผู้พิพากษาไม่ขาดช่วงเลยทีเดียว จนผู้พิพากษารู้สึกว่าเธอกวนตลอดเวลาเลย ร้องขอความยุติธรรมอย่างเต็มที่

เมื่อคำอธิษฐานยังไม่ได้รับคำตอบ เราจะต้องอธิษฐานต่อไป

บางครั้ง เราอดทนรอคอยว่าพระองค์จะทรงประทานให้แก่เราอย่างไร และพระองค์ก็ทรงอดทนเพื่อเราได้

บางครั้งพระองค์ทรงอดทนเพราะเราอธิษฐานทูลขอผิด แม้ว่าพระองค์อยากที่จะตอบคำอธิษฐานเรา แต่หลายครั้งพระองค์ทรงอดทนที่จะไม่ประทานแก่เราเป็นเวลานาน เพราะพระเจ้าจะทรงประทานให้กับเราในเวลาที่ถูกต้องเหมาะสมและดีที่สุด บางครั้งเราไม่รู้ และเมื่อเราได้รับก็ลืมที่จะขอบพระคุณ

แม่ว่าพระองค์จะไม่ได้ประทานตามที่เราอยาก แต่เราก็ต้องขอบพระคุณพระเจ้า

8 เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา" พระเจ้าตรัสดังนี้
9 "เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น" (อิสยาห์ 55:8-9)

บางครั้งสิ่งที่อยู่ในความคิดของเราไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด พระองค์ทรงทราบว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา ความคิดของพระองค์สูงส่งกว่าเรา ความเชื่อต้องมีความอดทนและความยึดมั่น ความเชื่อนั้นไม่ได้อยู่ในความคิด แต่เราจะต้องถวายใจทั้งหมดที่จะพึ่งพาพระองค์

คำสอนโบราณได้สอนไว้ว่า เมื่อหญิงคนหนึ่งแต่งงานออกไปแล้ว จะต้องฟังสามี แต่งงานกับไก่ ก็ต้องเป็นเหมือนไก่ แต่งงานกับสุนัขก็เหมือนสุนัข นั่นคือให้เป็นเหมือนกันสามี

เมื่อสูญเสียสามีและบุตรชายทั้งสองคน นาโอมีได้บอกให้นางรูธกลับไปยังบ้านเมืองของตนเสีย เพราะว่าหากตามเธอกลับไปยังอิสราเอลก็จะไม่มีอนาคต แต่นางรูธ ได้กล่าวปฏิเสธนางนาโอมี

แต่รูธตอบว่า "ขอแม่อย่าวิงวอนให้ฉันจากแม่หรือเลิกติดตามแม่ไปเลย เพราะแม่จะไปไหนฉันจะไปด้วย และแม่จะอาศัยอยู่ที่ไหนฉันก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ญาติของแม่จะเป็นญาติของฉัน และพระเจ้าของแม่ก็จะเป็นพระเจ้าของฉัน" (นางรูธ 1:16)

ความเชื่อในพระเจ้าของเราจะต้องเป็นความเชื่อเช่นนี้ เป็นทั้งชีวิตของเรา

 

ศจ. วิวัฒน์ วงศ์สันติชน

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 10/04/2011

เรื่อง ชีวิตแห่งความเชื่อ

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

ชีวิตแห่งความเชื่อ (6/8)

2. ทูลขอด้วยความเชื่อ และมีการกระทำ (2)

บางคนอธิษฐานตามความเคยชิน ไม่มีความเชื่อ หรืออาจทำตามผู้อื่น อาจลองดูว่าพระเจ้าจะทรงฟังหรือไม่ ถ้าหากพระองค์ไม่ฟัง ไม่ตอบ เราก็จะกล่าวโทษกับพระเจ้า ด้านหนึ่งก็อธิษฐานด้านหนึ่งก็กล่าวโทษ นี่แสดงว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณยังไม่บริบูรณ์

บางคนอธิษฐานแบบปกติ "ขอทรงอวยพรแก่คุณพ่อคุณแม่ด้วย อวยพรคริสตจักรด้วย" เมื่ออธิษฐานเช่นนี้ เขาขอพรให้กับพ่อแม่ด้านไหน? ขอพระพรให้คริสตจักรด้านไหน? บางครั้งเราอธิษฐานแบบไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นเรื่องใด

แท้จริง พระองค์ทรงประสงค์ที่จะอวยพรแก่พ่อแม่และคริสตจักรของเรา แต่บางครั้งคำอธิษฐานของเราไม่มีกำลัง เพราะเราขาดความเชื่อที่แท้จริง อย่าอธิษฐานแบบครอบจักรวาล เราควรจะเฉพาะเจาะจง

บางครั้งในคำคืนอธิษฐานในวันพุธ มีหัวข้ออธิษฐานหลายหัวข้อ ผู้ที่ร่วมก็อธิษฐานเผื่อทีละเรื่อง เราเคยคิดหรือไม่ว่าสิ่งที่เราทูลขอ พระเจ้าได้ตอบคำอธิษฐานเหล่านั้นบ้างหรือไม่? ถ้ามีการสำรวจ เราจะรู้ว่าพระองค์ได้ทรงตอบคำอธิษฐานแล้ว และจะทำให้เรามีความเชื่อมากขึ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ฟังคำอธิษฐานของพวกเรา

การอธิษฐานไม่ใช่เป็นเพียงพิธีกรรม แต่เป็นจากชีวิตของเรา

16 จงชื่นบานอยู่เสมอ
17 จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ
18 จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย (1เธสะโลนิกา 5:16-18)

พระองค์ตรัสคำอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟัง เพื่อสอนว่าคนทั้งหลายควรอธิษฐานอยู่เสมอ ไม่อ่อนระอาใจ (ลูกา 18:1)

น้ำพระทัยของพระเจ้า สอนให้เราอย่าได้อ่อนระอาในการอธิษฐานอ้อนวอนจากพระองค์ ไม่ใช่อธิษฐานครั้งสองครั้งแล้วเลิกอธิษฐาน แต่ขอที่เราจะพึ่งหวัง และมอบสิ่งเหล่านั้นแด่พระเจ้า

ทุกครั้งที่ตื่นนอน เราต้องเอาใจของเราหันหาพระเจ้า ขอพระเจ้าทรงนำในการดำเนินชีวิต ในการงาน ในการรับใช้พระเจ้า เราจะพึ่งพระเจ้าในทุกเรื่องในชีวิตของเรา

การอธิษฐานเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตครอบครัว

การอธิษฐานเป็นเหมือนการกลับบ้าน เอาเรื่องราวที่พบมาเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ทีละเรื่อง พระบิดาเจ้าผู้ทรงสถิตในสวรรค์กับเรามีความสนิทสนมกันอย่างมาก ขอที่เราจะสนทนากับพระองค์นาน ๆ หามุมสงบเพื่ออธิษฐานกับพระองค์ เปิดใจทั้งหมด เทใจทั้งหมดของเราแก่พระองค์ทีละเรื่อง เราสามารถกลับบ้านและสนทนากับพระเจ้าพระบิดาของเรา

 

ศจ. วิวัฒน์ วงศ์สันติชน

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 10/04/2011

เรื่อง ชีวิตแห่งความเชื่อ

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

ชีวิตแห่งความเชื่อ (5/8)

2. ทูลขอด้วยความเชื่อ และมีการกระทำ (1)

เมื่อเรามีความเชื่อ เราทูลกับพระเจ้า และไม่ใช่แต่ปาก ต้องมีการกระทำ เหมือนหญิงหม้ายที่เดินทางไปหาผู้พิพากษา และตอนแรกท่านก็ไม่สนใจ แต่เธอก็ยังไป และอ้อนวอน

พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะฟังคำอธิษฐานของเรา พระองค์ไม่เพียงแต่ฟังคำอธิษฐาน แต่พระองค์ทรงเต็มพระทัยที่จะตอบ เต็มพระทัยที่จะประทานพระคุณเหนือชีวิตของเรา

ผู้ซึ่งเป็นพ่อแม่ เมื่อเห็นลูกต้องการอะไร ก็จะให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เขา แต่พ่อแม่บางคนทำผิดพลาด รักลูกด้วยการให้ทุกสิ่งที่ลูกต้องการ ให้เงินเพราะคิดว่าเงินช่วยเขาได้ แม้ว่าบางครั้งลูกยังเด็กเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิด เช่นเดียวกับเมื่อลูกต้องการมีด แล้วก็ยังให้มีดกับเขา แม้เขาอาจยังเด็กเกินไป ยังไม่รู้จักการใช้มีด

พระบิดาทรงเข้าใจ และทรงรู้จักเรา พระองค์ทรงรักเรา ทรงมีฤทธิ์อำนาจที่จะช่วยเหลือเรา เราจึงเชื่อพึ่งวางใจในพระองค์ได้

เมื่ออธิษฐานต้องมีความเชื่อ ถ้าอธิษฐานโดยไม่มีความเชื่อก็เหมือนไม่ได้อธิษฐาน พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะฟังคำอธิษฐานของเรา แต่บางครั้งความเชื่อของเราไม่เพียงพอ ก็ขอที่เราจะทูลขอให้พระเจ้าทรงช่วยเหลือเรา

22 พระเยซูจึงตรัสตอบเหล่าสาวกว่า "จงเชื่อในพระเจ้าเถิด
23 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดๆจะสั่งภูเขานี้ว่า 'จงลอยไปลงทะเล' และมิได้สงสัยในใจแต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้น ก็จะเป็นตามนั้นจริง
24 เหตุฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น" (มาระโก 11:22-24)

พระองค์ทรงสาปแช่งต้นมะเดื่อ และในที่สุด ทรงตรัสว่า "ท่านจงเชื่อในพระเจ้าเถิด"

สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าทรงทำได้ การอธิษฐานด้วยความเชื่อสามารถย้ายภูเขาลงในทะเลได้ สามารถทำการยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าทรงฤทธิ์อำนาจสูงสุด แต่ทุกอย่างอยู่ที่เวลาและน้ำพระทัยของพระเจ้าว่าเป็นเช่นไร

เราอธิษฐานขอความร่ำรวยจากพระเจ้า ขอความสุขภาพที่แข็งแรง อธิษฐานเผื่อสิ่งต่างๆ เราขอแล้วมีความเชื่อหรือไม่? และสิ่งที่เราขอถูกต้องตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่?

ถ้าสิ่งนั้นไม่มีประโยชน์ต่อเรา หรือเวลายังไม่ถึง พระเจ้าก็จะไม่ทรงประทานแก่เรา

เมื่อพระองค์ทรงฟังเราแล้ว เราต้องขอบคุณพระเจ้า

 

ศจ. วิวัฒน์ วงศ์สันติชน

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 10/04/2011

เรื่อง ชีวิตแห่งความเชื่อ

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

ชีวิตแห่งความเชื่อ (4/8)

1. หาคนที่จะพึ่งได้ (4)

บางครั้งการได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า อาจไม่ใช่โดยตรง

เมื่อเราเจ็บป่วย มีปัญหาด้านการเงิน และได้อธิษฐานพึ่งพาพระองค์ พระองค์อาจไม่ได้ทรงช่วยเราโดยตรง แต่จะอาจทรงใช้คนรอบข้างของเรามาช่วยเหลือเรา ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าบางครั้งมาทางอ้อม และบางครั้งมาโดยตรง

พระเจ้าอาจทรงนำให้เราพบหมอเฉพาะด้านที่จะช่วยรักษาเรา และพระองค์ทรงรักษาผ่านหมอท่านนี้ แต่นี่ไม่ใช่ความสามารถของมนุษย์ แต่พระเจ้าทรงนำเรา และเราก็ควรที่จะถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า

มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่ง เกิดอุทกภัยใหญ่ มีน้ำไหลหลากมาอย่างแรง ชายคนหนึ่งก็ได้หนีขึ้นไปบนหลังคา น้ำก็เพิ่มระดับสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ มาถึงหัวเข่าของเขาแล้ว เขาก็ได้อธิษฐานขอการช่วยเหลือจากพระเจ้า เมื่อเขาอธิษฐานเสร็จ ก็ได้เห็นเรือลำหนึ่งแล่นมา คนที่อยู่ในเรือก็เรียกให้เขาขึ้นเรือ ชายคนนี้ก็ไม่ขึ้น บอกว่า "เดี๋ยวพระเจ้าจะช่วยผมเอง" ต่อมาก็มีเรือยนต์ลำหนึ่งมา เรียกให้เขาขึ้น เขาก็บอก "ไม่เป็นไร ผมกำลังอธิษฐานขอการช่วยเหลือจากพระเจ้าอยู่" ต่อมาก็มีเฮลิคอปเตอร์บินมาหาเขา และปล่อยบันไดเพื่อช่วยเขา แต่เขาก็ปฏิเสธ ในที่สุดเขาก็เสียชีวิต

เมื่อเขาได้พบพระเยซู เขาก็ทูลถามว่า "ทำไมพระองค์ไม่ช่วยเหลือข้าพระองค์?" พระองค์ก็ตรัสตอบว่า "เราให้เรือพาย เรือยนต์ และเฮลิคอปเตอร์มาช่วยเหลือเจ้า แต่เจ้าปฏิเสธทั้งหมด"

เมื่อเราอธิษฐานขอจากพระเจ้า บางครั้งความช่วยเหลือจากพระองค์มาโดยทางอ้อม

พระองค์ทรงพระชนม์ สัจจริง พึ่งได้ เรามีพระองค์เป็นผู้ที่เราพึ่งเชื่อวางใจได้อย่างแท้จริง

 

ศจ. วิวัฒน์ วงศ์สันติชน

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 10/04/2011

เรื่อง ชีวิตแห่งความเชื่อ

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554

ชีวิตแห่งความเชื่อ (3/8)

1. หาคนที่จะพึ่งได้ (3)

บางคนอาจบอกว่าต้องวางใจในนักการเมือง เพราะสังคมมีปัญหามากมาย หวังว่านักการเมืองจะมาแก้ไขให้ เราเป็นคนธรรมดา ทำอะไรไม่ได้ แต่นักการเมืองแก้ไขได้

รัฐมนตรีต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาท่านหนึ่ง ชื่อ คริสซินเจอร์ ท่านเป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ อยู่ในระดับแนวหน้าท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าท่านเป็นบุคคลแห่งประวัติศาสตร์ ไม่ใช่นักการเมือง ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ก็มีความเจริญ มีการแก้ไขให้ดีขึ้น แต่ไม่สามารถแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น

หลายคนหวังว่าประวัติศาสตร์ จะเป็นประวัติศาสตร์ที่ดี แต่น่าสังเวช ที่กลับกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้าโศก
ท่านพูดถึงปัญหาต่าง ๆ ว่าสามารถแก้ไขได้ และท่านบอกว่านักการเมืองที่ดีก็ยังมีอยู่ และเราเป็นคริสเตียนเราก็จะให้ความเกรงใจกับนักการเมือง แต่นักการเมืองที่ดีก็ยังเป็นคนธรรมดา ปัญหาบางอย่างเขาก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แม้ว่านโยบายจะดี แต่ในที่สุดก็อาจไม่สามารถแก้ไขตามนโยบายนั้นได้

ดังนั้นมาพึ่งนักการศึกษาดีกว่าหรือไม่?

จากประวัติของคริสตจักร เมื่อมิชชันนารีไปประกาศยังที่ใด เขาก็จะสนใจการศึกษา โดยใช้การศึกษาให้คนเหล่านั้นรู้จักกับพระเจ้า แต่นักการศึกษาที่ดีที่สุดก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความบาปได้ เพราะสัญชาติญาณของมนุษย์ก็ยังหันไปหาความบาป เราเลยเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยหรือประเทศต่างๆ วัยรุ่นก็เป็นวัยที่อันตราย แม้ว่าจะมีการศึกษาที่ดี ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ยังคงมีปัญหายาเสพติดจนหลายคนหมดอนาคต พวกเขาช่วยตัวเองไม่ได้ในเรื่องชีวิตทางเพศ ตกอยู่ในความมืด ปัญหาชีวิตครอบครัวก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า หนุ่มสาวจำนวนมากตกอยู่ในความมืด

แล้วคริสตจักรมาเพื่อสาปแช่งและตำหนิคนที่อยู่ในคามมืดเหล่านี้หรือ? แล้วความสว่างอยู่ที่ไหน?

ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก (มัทธิว 5:14)

คริสตจักรเป็นความสว่างของสังคม และของโลกนี้

ส่วนความลึกลับของดาวทั้งเจ็ดดวง ซึ่งเจ้าได้เห็นในมือข้างขวาของเรา และแห่งคันประทีปทองคำทั้งเจ็ดนั้นก็คือ ดาวเจ็ดดวงได้แก่ทูตสวรรค์ของคริสตจักรทั้งเจ็ด และคันประทีปเจ็ดคันนั้นได้แก่คริสตจักรทั้งเจ็ด (วิวรณ์ 1:20)

ในสภาพของสังคมโลกที่เต็มด้วยความผิดบาปนี้ วัยรุ่นเหล่านั้นต้องการอะไร? เขาต้องการคริสตจักรที่จะไปช่วยเหลือพวกเขา นำพวกเขาออกจากความมืด เพื่อรับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เพราะพระกิตติคุณเต็มด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

การศึกษาอย่างเดียว ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ การศึกษามีขอบเขตของมัน

บางคนบอกว่า เมื่อพึ่งการเมืองไม่ได้ การศึกษาไม่ได้ ก็มาพึ่งนักวิทยาศาสตร์ดีกว่า

ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า ชีวิตความเป็นอยู่ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นมากมาย เราใช้เทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ แต่เมื่อเจอไวรัสก็ไม่มีปัญญาแก้ เราจะเห็นได้ว่าวิทยาศาสตร์ไม่สามารถแก้ไขชีวิตของมนุษย์

สภาพของเราก็เหมือนกับหญิงหม้ายนี้ เราต้องการผู้ที่จะวางใจและพึ่งได้

ผู้ที่เราจะพึ่งได้ ก็คือ พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และโลก ทรงสร้างตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสุดปลาย พระคริสต์ทรงเสด็จมายังโลกนี้เพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากบาป เพื่อสำแดงรักยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดยากเกินกว่าที่พระองค์จะทรงทำได้ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่และเต็มด้วยฤทธิ์อำนาจ และวันอีสเตอร์ เป็นวันที่เราจะฉลองการฟื้นพระชนม์ และวันหนึ่งพระองค์จะทรงเสด็จกลับมา ในเวลานี้พระองค์ทรงประทับอยู่กับเรา และแก้ไขชีวิตของเรา เพราะพระองค์มีอำนาจ พระองค์ทรงเป็นความรัก และทรงเป็นความหวังของเรา ผู้ที่เราเชื่อวางใจได้จริง ๆ คือพระเจ้าองค์นี้

 

ศจ. วิวัฒน์ วงศ์สันติชน

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 10/04/2011

เรื่อง ชีวิตแห่งความเชื่อ

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

ชีวิตแห่งความเชื่อ (2/8)

1. หาคนที่จะพึ่งได้ (2)

คุณกล้าพูดเช่นนี้หรือไม่ว่าเราพึ่งตัวเองในการชนะความบาป? ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่าไม่รู้ว่าอะไรคือความบาป

ถ้าบอกว่าไม่มีความบาป ยืนด้วยความมั่นคง ก็ขอบคุณพระเจ้า

ดาวิด กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอิสราเอล ผู้ซึ่งมีชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณสูงส่ง ส่วนใหญ่ของพระธรรมสดุดีก็เขียนโดยพระองค์ แต่ในช่วงชีวิตหนึ่ง พระองค์ได้ทำบาปที่ยิ่งใหญ่ ถูกชักจูงไปในทางของราคะตัณหา ยืมมือผู้อื่นฆ่าอุรียาห์ เพื่อแย่งภรรยาของเขามา พระองค์ทำอย่างนี้ได้อย่างไร? กษัตริย์ดาวิดได้ละทิ้งการพึ่งพาพระเจ้า

ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ เราสูงส่งเทียบได้กับดาวิดเชียวหรือ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ยังสามารถทำบาปได้ และจากพระธรรมสดุดีหลายบท พระองค์ได้สารภาพบาปต่อพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงใช้พระองค์ ดาวิดรู้สึกว่าตนเองเป็นแกะอ่อนแอ และพระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี นี่เป็นจิตใจถ่อม

1 พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน
2 พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ
3 ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ (สดุดี 23:1-3)

ใช่แล้ว ดาวิดล้มเหลว แต่เมื่อพระองค์หวนกลับมาหาพระเจ้า ในที่สุดก็เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า

หลายครั้งทีเดียวที่เราอ่อนแอ เราไม่สามารถโอ้อวดตัวเองได้ เราล้มเหลว พ่ายแพ้ เมื่อเราอธิษฐานขอพระเจ้าทรงยกโทษ ขอให้พระองค์ทรงช่วยเหลือ ให้เรากลับตัวเป็นคนใหม่ พระเจ้าจึงจะใช้เราได้

ซาโลมอน ทรงมีพระสติปัญญาอันปราดเปรื่อง แต่เมื่ออยู่ในวัยชราพระองค์ก็ล้มเหลวในฝ่ายราคะตัณหา พระองค์ทรงรับมเหสีจากต่างชาติ และรับเอาวัฒนธรรมความเชื่อรูปเคารพจากธิดาของกษัตริย์เมืองต่าง ๆ และพระองค์ก็ล้มลงในความบาป ในที่สุด พระองค์ก็ได้เขียนพระธรรมปัญญาจารย์ และตอนสุดท้ายพระองค์ได้หนุนใจให้เราเชื่อพระเจ้า พึ่งพาพระเจ้า

13 จบเรื่องแล้ว ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง
14 ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงาน ทุกประการเข้าสู่การพิพากษาพร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว (ปัญญาจารย์ 12:13-14)

 

ศจ. วิวัฒน์ วงศ์สันติชน

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 10/04/2011

เรื่อง ชีวิตแห่งความเชื่อ

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

ชีวิตแห่งความเชื่อ (1/8)


1 พระองค์ตรัสคำอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟัง เพื่อสอนว่าคนทั้งหลายควรอธิษฐานอยู่เสมอ ไม่อ่อนระอาใจ
2 พระองค์ตรัสว่า "ในนครหนึ่งมีผู้พิพากษาคนหนึ่ง ที่มิได้เกรงกลัวพระเจ้าและมิได้เห็นแก่มนุษย์
3 ในนครนั้นมีหญิงม่ายคนหนึ่งมาหาผู้พิพากษาผู้นั้นพูดว่า 'ขอให้ความยุติธรรมแก่ข้าพเจ้าในการสู้ความเถิด'
4 ฝ่ายผู้พิพากษานั้นไม่ยอมทำจนช้านาน แต่ภายหลังเขานึกในใจว่า 'แม้ว่าเราไม่ยำเกรงพระเจ้า และไม่เห็นแก่มนุษย์
5 แต่เพราะแม่ม่ายคนนี้มากวนเราให้ลำบาก เราจะให้ความยุติธรรมแก่นาง เพื่อมิให้นางมารบกวนบ่อยๆให้เรารำคาญใจ' "
6 และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "จงฟังคำที่ผู้พิพากษาอธรรมนี้ได้พูด
7 พระเจ้าจะไม่ทรงประทานความยุติธรรมแก่คนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ ผู้ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนหรือ พระองค์จะอดพระทัยไว้ช้านานหรือ
8 เราบอกท่านทั้งหลายว่า พระองค์จะทรงประทานความยุติธรรมให้เขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรมนุษย์มา ท่านจะพบความเชื่อในแผ่นดินโลกหรือ" (ลูกา 18:1-8)


พระคริสต์ได้ยกคำอุปมา ว่ามีผู้พิพากษาท่านหนึ่ง ซึ่งมิได้เกรงกลัวพระเจ้า และไม่ได้เห็นแก่มนุษย์ ผู้พิพากษานี้เป็นตัวแทนของยุคสมัยของคนไม่เชื่อ

และหญิงหม้ายผู้นี้ มีความทุกข์ และมาร้องทุกข์กับผู้พิพากษาเพื่อให้เขาแก้ไขกรณีของเธอ แม่หม้ายนี้มีความเชื่อ เป็นตัวแทนของผู้ที่มีความเชื่อ

เรารู้ว่าคริสเตียนคือผู้ที่มีความเชื่อ แต่ในประโยคสุดท้าย พระคริสต์ได้ตรัสว่า "แต่เมื่อบุตรมนุษย์มา ท่านจะพบความเชื่อในแผ่นดินโลกหรือ"

ในกลุ่มของผู้เชื่อ มีหลายคนที่ไม่ได้มีความเชื่อที่แท้จริง ขณะที่หลายคนมีพยานแห่งความเชื่อที่แท้จริงออกมา

วันนี้ ขอที่เราจะสำรวจตนเอง ว่าความเชื่อของเราเป็นความเชื่อแบบใด และเราจะเรียนรู้จากแม่หม้ายท่านนี้

 

1. หาคนที่จะพึ่งได้ (1)

หญิงหม้ายผู้นี้ หาผู้ที่จะไว้วางใจ หาคนที่จะแก้ความทุกข์ของเธอ และเห็นว่าผู้พิพากษาคนนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาของเธอได้

ในช่วงชีวิตของเราจะต้องมีการเลือก ว่าเราจะเชื่อใคร

หญิงหม้ายคนนี้ ได้เชื่อในผู้พิพากษาผู้นี้ เชื่อว่าเขาจะช่วยเธอได้ แต่ต่อมาพบว่าผู้พิพากษานี้ไม่ดี แล้วทำไมยังต้องมา? จุดประสงค์ที่พระเยซูคริสต์ทรงยกคำอุปมานี้คืออะไร? ผู้พิพากษาท่านนี้ในใจไม่มีพระเจ้า ไม่เกรงใจใคร แล้วจะช่วยเธอได้หรือ?

พระเยซูคริสต์ทรงยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบพระบิดากับผู้พิพากษาท่านนี้

พระเจ้าทรงยุติธรรม เต็มด้วยความเมตตา เราสมควรที่จะพึ่งวางใจในพระองค์ นอกจากพระเจ้าแล้วเราจะเชื่อใครได้อีก!

หลายคนพึ่งตัวเอง ไม่พึ่งพระเจ้า แท้จริงใครเล่าที่จะพึ่งตนเองได้ นั่นคือการโกหกตัวเองและโกหกผู้อื่นด้วย

มนุษย์ไม่สามารถพึ่งตัวเองในการดำเนินชีวิตอยู่

ตอนเด็กเล็ก ๆ เราก็ต้องพึ่งพ่อแม่ ถ้าไม่มีพ่อแม่เลี้ยงดู เราจะเติบใหญ่ได้อย่างไร

เมื่ออยู่โรงเรียน เราก็พึ่งครูบาอาจารย์ เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้กับเรา

เมื่อทำงาน เราก็ต้องพึ่งนายจ้าง และนายจ้างก็ต้องพึ่งลูกจ้างเช่นกัน

ไม่ว่าจะทำการเล็กหรือการใหญ่ เราก็ต้องพึ่งผู้อื่น อาศัยความร่วมมือกับผู้อื่น ดังนั้น มนุษย์จะพึ่งตัวเองไม่ได้

คริสเตียนกับผู้ที่ไม่เชื่อต่างกันอย่างไร? ผู้ที่เราเชื่อวางใจคือพระเจ้า

ในยุคสมัยที่ไม่มีความเชื่อนี้ ถ้าเราเลือกวางใจผู้ที่จะวางใจผิด ก็จะเหมือนที่อิสราเอลได้หนีห่างจากพระเจ้า แม้ว่าเขาจะได้รับการทรงนำจากพระเจ้าออกจากอียิปต์ แต่เขาก็กลับลืมพระองค์ กราบไหว้พระอื่น และในที่สุดก็ล้มเหลว

เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้รับพระคุณความรอดเพราะเราได้เชื่อในพระองค์

แต่ถ้าเราสนใจแต่ตัวเอง พึ่งแต่ตัวเอง แล้วเราจะมีความรู้สึกว่าตัวเองต่อสู้ได้ด้วยมือเปล่าจนประสบความสำเร็จ

 

ศจ. วิวัฒน์ วงศ์สันติชน

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 10/04/2011

เรื่อง ชีวิตแห่งความเชื่อ

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

พระลักษณะของพระเจ้า (10/10)

นอกจากนี้ พระเจ้าร้องเพลงเสียงดัง

พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าอยู่ท่ามกลางเจ้า เป็นนักรบผู้ประทานความมีชัย พระองค์ทรงเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าด้วยความยินดี พระองค์จะทรงรื้อฟื้นเจ้าใหม่ด้วยความรักของพระองค์ พระองค์จะทรงเริงโลดเพราะเจ้าด้วยร้องเพลงเสียงดัง (เศฟันยาห์ 3:17)

พระเจ้าดีใจเพราะเรา พระองค์ทรงรักเรา พระองค์ทรงเรารักมาก พระองค์ทรงยินดีและเปรมปรีดิ์ในเรา ถ้าเรารู้เช่นนี้ เราก็จะไม่แสวงหาให้คนอื่นมายินดีในเรา เพราะพระองค์ทรงเติมเต็มในชีวิตของเรา

เมื่อมีรุ้งที่เมฆ เราจะดูรุ้งนั้น และระลึกถึงพันธสัญญาถาวร ระหว่างพระเจ้ากับบรรดาสัตว์โลกที่มีชีวิต ซึ่งอยู่บนแผ่นดินโลก" (ปฐมกาล 9:16)

เมื่อเราดูรุ้ง ให้เรารู้ว่าพระเจ้าก็ทรงดูรุ้งนั้นอยู่เช่นกัน พระองค์มีคำสัญญาต่อเรา

เพราะพระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย แม้อับราฮัมมิได้รู้จักข้าพระองค์ และอิสราเอลหาจำข้าพระองค์ได้ไม่ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระนามของพระองค์คือพระผู้ไถ่ของข้าพระองค์แต่เก่าก่อน (อิสยาห์ 63:16)

เพราะภูเขาอาจจะพรากจากไป และเนินอาจจะคลอนแคลน แต่ความรักมั่นคงของเราจะไม่พรากไปจากเจ้า และพันธสัญญาแห่งสันติภาพของเราจะไม่คลอนแคลนไป พระเจ้าผู้มีความสมเพชต่อเจ้าตรัสดังนี้ (อิสยาห์ 54:10)

ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตรจากครรภ์ของนางได้หรือ" แม้ว่าคนเหล่านี้ยังลืมได้ กระนั้นเราก็จะไม่ลืมเจ้า (อิสยาห์ 49:15)

พระองค์ทรงมีพระสัญญาเจาะจงสำหรับเราแต่ละคนเป็นการส่วนตัว ทรงสัตย์ซื่อที่จะรักษาพระสัญญา

เราอ่านพระคัมภีร์เพื่อจะรู้จักพระเจ้า มีพระคัมภีร์หลายตอนที่จะบอกว่าพระองค์ทรงน่ารักเพียงไร

ตอนท้ายของพระธรรมโยนาห์ ได้บอกแก่เราว่าพระเจ้าทรงห่วงมนุษย์ และห่วงสัตว์ด้วย เรานมัสการพระเจ้าที่สุดยอด

สิ่งเหล่านี้เป็นพระลักษณะทางศีลธรรมของพระองค์และลักษณะเฉพาะของพระองค์ ทำให้เราสามารถวางใจพระองค์ได้ในทุกเรื่อง

เราแต่ละคนมีเรื่องที่หนักใจอยู่ ข้าพเจ้าก็มี พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา ลักษณะพระเจ้าที่เรารับรู้ในวันนี้ให้ความเข้าใจว่าเราพึ่งพิงในพระเจ้าได้ เราวางทุกสิ่งไว้กับพระเจ้าได้ เราเข้าหาพระเจ้าได้ พระองค์ทรงเรียกให้เรามาใกล้พระองค์ พระเจ้าไม่ได้เป็นพระเจ้าที่ไม่มีเวลา เพราะพระองค์ไม่ทรงถูกจำกัดด้วยเวลา พระองค์ไม่เคยไม่มีเวลาให้กับเรา แต่ผู้ที่ไม่มีเวลาคือเราเอง

ข้าพเจ้าขอเชิญชวน ให้เราทำความรู้จักพระเจ้า

ให้เรารู้จักให้เราพยายามรู้จักพระเจ้า การที่พระองค์เสด็จออกก็แน่นอนเหมือนอรุณ พระองค์จะเสด็จมาหาเราอย่างห่าฝน ดังฝนชุกปลายฤดูที่รดพื้นแผ่นดิน (โฮเชยา 6:3)

อย่าใช้ชีวิตแบบทิ้งขว้าง เรามีชีวิตเดียว ขอที่เราจะใช้ชีวิตอย่างดี ที่เราจะมีชีวิตที่รู้จักผูกพันกับพระเจ้า

อ. ตรูจิตต์ นีเดอร์เรอร์

คำเทศนารายการเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 20/03/2011

เรื่อง พระลักษณะของพระเจ้า

หมายเหตุ:ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

พระลักษณะของพระเจ้า (9/10)

เมื่อเรานมัสการอะไร เราก็จะเป็นเช่นนั้น

ผู้ที่ทำรูปเหล่านั้นจะเป็นเหมือนรูปเหล่านั้น เออ บรรดาผู้ที่วางใจในรูปเหล่านั้น ก็เช่นกัน (สดุดี 115:8)

ถ้าเรานมัสการพระเจ้า คืออยู่กับพระองค์ ใช้เวลากับพระองค์ เราจะเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น

เมื่อเราสนิทกับใคร ใช้เวลาร่วมกัน ก็จะมีการซึมซาบอะไรบางอย่าง

สามีของข้าพเจ้าดมยาดม เพราะว่าข้าพเจ้าดมยาดมด้วยเช่นกัน

ข้าพเจ้ากินหวานน้อย เขาก็เริ่มชอบกินหวานน้อย

ข้าพเจ้าไม่ชอบกินช็อกโกแลต แต่ต่อมาข้าพเจ้าก็ชอบกินเช่นเดียวกับเขา

บางครั้งเรามานมัสการ แต่ไม่ได้นมัสการ เพราะเราไม่ได้อยู่กับพระเจ้า แล้วการที่เรามาอยู่ในเวลานั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราเลย

ในการนมัสการ เราจะต้องมาอยู่กับพระองค์

เรานมัสการพระใด เราก็จะเป็นเหมือนเช่นนั้น

เวลาเราเข้าหาพระเจ้า อยู่กับพระเจ้า เราก็จะเป็นเหมือนพระองค์ รับจากพระองค์

มีคนหนึ่ง ไม่ได้ไปนมัสการที่โบสถ์นานมาก แลวันหนึ่งข้าพเจ้าได้โทรคุยกับเขา เขาบอกว่า เขาไม่กล้ามาโบสถ์ เพราะว่าเขาไม่มีเพื่อน และไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้าอย่างไร

ข้าพเจ้าก็ตอบว่า "ทำหน้าเหมือนเดิม อย่าเพิ่งคิดว่าคนอื่นจะมาตัดสินเรา เพราะนี่เป็นเพียงความรู้สึก ขอที่จะผ่านความรู้สึก"

บางครั้ง เราก็อาจไม่ได้ทำให้คนเห็นพระเจ้าเท่าไร ขอพระเจ้าช่วยเรา พระเจ้าทรงพระกรุณา ทรงประทานโอกาส ทรงช่วยเหลือ ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ มิได้ถูกำหนดด้วยเวลา และพระองค์ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง

จากเรื่องของโยนาห์ตอนนี้ พระองค์ก็เป็นพระเจ้าที่อยู่ในชีวิตของเรา และพระเจ้าก็ deal กับเราเช่นนี้ คือ ทรงพระกรุณา อดทน กริ้วช้า ให้โอกาส เต็มด้วยความคิดสร้างสรรค์

อ. ตรูจิตต์ นีเดอร์เรอร์

คำเทศนารายการเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 20/03/2011

เรื่อง พระลักษณะของพระเจ้า

หมายเหตุ:ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

พระลักษณะของพระเจ้า (8/10)

บทเรียนจากโยนาห์

1 เหตุการณ์นี้ไม่เป็นที่พอใจโยนาห์อย่างยิ่ง และท่านโกรธ
2 ท่านจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นไปเช่นนี้มิใช่หรือ นี่แหละเป็นเหตุให้ข้าพระองค์ได้รีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรัก มั่นคง และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ
3 ข้าแต่พระเจ้า เพราะฉะนั้น บัดนี้ ขอพระองค์ทรงเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะว่าข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่"
4 และพระเจ้าตรัสว่า "การที่เจ้าโกรธเช่นนี้ดีอยู่หรือ"
5 แล้วโยนาห์ก็ออกไปนอกนคร นั่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองนั้น และท่านทำเพิงไว้เป็นที่ท่านอาศัย ท่านนั่งอยู่ใต้ร่มเพิงคอยดูเหตุการณ์อันจะเกิดขึ้นกับนครนั้น
6 และพระเจ้าทรงกำหนดให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่ง งอกขึ้นมาเหนือโยนาห์ ให้เป็นที่กำบังศีรษะของท่าน เพื่อให้บรรเทาความร้อนรุ่มกลุ้มใจในเรื่องนี้ เพราะเหตุต้นละหุ่งต้นนี้โยนาห์จึงมีความยินดียิ่งนัก
7 แต่ในเวลาเช้าวันรุ่งขึ้น พระเจ้าทรงกำหนดให้หนอนตัวหนึ่งมากัดกินต้นละหุ่งต้นนั้น จนมันเหี่ยวไป
8 เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดให้ลมตะวันออกที่ร้อนผากพัดมา และแสงแดดก็แผดลงบนศีรษะของโยนาห์จนท่าน อ่อนเพลียไปและท่านก็ทูลขอว่า ให้ท่านตายเสียเถิด ท่านว่า "ข้าตายเสียก็ดีกว่าอยู่"
9 แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า "ที่เจ้าโกรธเพราะต้นละหุ่งนั้นดีอยู่แล้วหรือ" ท่านทูลว่า "ที่ข้าพระองค์โกรธถึงอยากตายนี้ดีแล้ว พระเจ้าข้า"
10 และพระเจ้าตรัสว่า "เจ้าหวงต้นไม้ซึ่งเจ้ามิได้ลงแรงปลูก หรือมิได้กระทำให้มันเจริญ มันงอกเจริญขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียวดุจกัน
11 ไม่สมควรหรือที่เราจะหวงเมืองนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพลเมืองมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงเป็นอันมากด้วย" (โยนาห์ 4:1-11)

งานของโยนาห์ เป็นงานที่ง่ายมาก แต่เพราะความดื้อของเขา จึงต้องพบกับปัญหา และเมื่อประกาศกับนีนะเวห์ ประชาชนก็กลับใจ และพระเจ้าก็มิได้ทรงโทษ คำเผยพระวจนะของโยนาห์ที่ว่าพระเจ้าจะทำลายเมืองนีนะเวห์ก็ไม่เป็นจริง เพราะว่าพวกเขากลับใจใหม่

โยนาห์ อยากให้คำทำนายของท่านสำเร็จ เพราะเมืองนีนะเวห์เป็นศัตรูกับอิสราเอล ท่านเอาแต่ใจตัวเอง และโยนาห์ก็ยังคงยืนยันสิ่งที่เขาคิดว่าถูก

และสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึก ข้าพเจ้าคิดว่าโยนาห์ไม่มีวุฒิภาวะ เพราะว่าเขาโวยวายกับเรื่องต้นละหุ่ง ซึ่งเป็นของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าใช้ไปก็ไม่ไป เมื่อทำแล้วไม่ได้ดังใจก็ไม่พอใจ และสุดท้ายเขาก็ยังคงไม่กลับใจ

พระเจ้าทราบหรือไม่ว่าโยนาห์เป็นเช่นนี้? พระเจ้าทรงสัพพัญญู พระองค์ทรงทราบว่าพระองค์เป็นเช่นนี้ พระองค์ก็ยังใช้ท่าน เช่นเดียวกัน พระเจ้าก็ทรงใช้เราทุกคนได้ พระเจ้าทรงน่ารัก และทรงพระคุณ

ขณะเดียวกัน พระเจ้าทรงใจเย็น กริ้วช้า อดกลั้นพระทัย มีเหตุผล สอนด้วยการเปรียบเทียบ เต็มด้วยพระเมตตา มีพระคุณ ทรงยิ่งใหญ่ ให้ต้นละหุ่งงอกและให้หนอนกินต้นไม้นั้นได้ นอกจากนี้ยังทรงอารมณ์ขัน ให้ต้นละหุ่งมาเพื่อให้ใจเย็น แต่วันต่อมาก็ส่งหนอน และส่งลมตะวันออกมาอีก ทั้งนี้เพื่อสอนโยนาห์

พระเจ้ารักโยนาห์หรือไม่? บางครั้งเราก็เป็นเช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงทำให้ต้นละหุ่งโตขึ้น งอกขึ้นมาบังแดดให้เรา แม้ในเวลาที่เราทำผิด หรือมีท่าทีในใจที่ผิด เสร็จแล้วพระองค์ก็ทรงสอนให้เราได้เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ของที่ไม่ได้ปลูกแต่ให้ประโยชน์ท่านยังหวง แล้วคนเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาตามพระฉายของพระองค์เล่าพระเจ้าจะมิได้ทรงหวงหรือ?

วันหนึ่ง ข้าพเจ้าไปขึ้นรถที่จตุจักร ข้าพเจ้าได้พบกับขอทานคนหนึ่ง มาขอเงิน ดูสติไม่ปกติ เขย่าถ้วยเงิน แล้วเที่ยวของเงิน ข้าพเจ้าก็ทราบว่า พระเจ้าก็รักเขาเช่นกัน

เมื่อเราซาบซึ้งพระลักษณะของพระองค์ ให้เราเรียนสิ่งเหล่านี้ให้เข้ามาในชีวิตของเรา

อ. ตรูจิตต์ นีเดอร์เรอร์

คำเทศนารายการเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 20/03/2011

เรื่อง พระลักษณะของพระเจ้า

หมายเหตุ:ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

พระลักษณะของพระเจ้า (7/10)

สูงสุดของการเปิดเผยสำแดงของพระเจ้า ก็คือ พระเยซูคริสต์

พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และทรงผดุงโลกไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ทรงชำระบาปแล้ว ก็ได้ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าเบื้องบน (ฮีบรู 1:3)

ถ้าเรารู้จักพระบุตร เราก็รู้จักพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงสะท้อนพระลักษณะของพระเจ้าให้เราได้เห็นได้เข้าใจ เราเห็นพระเจ้าผ่านทางพระองค์

พระกิตติคุณทั้ง 4 เล่มถ้าเราอ่าน เราก็จะพบบุคคลหนึ่งที่น่าทึ่ง

ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าตัดสินใจที่อยากจะรู้จักพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าได้อ่านพระกิตติคุณ เมื่ออ่านแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกว่า พระองค์เป็นบุคคลที่เข้าใจได้ยากมาก เพราะเป็นแบบที่เราไม่เคยเห็นในสังคม พระองค์ไม่ตามสังคม ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่พึ่งได้ เพราะว่าพระองค์ทรงจริง และสัตย์ซื่อ คิดอย่างไรก็พูดเช่นนั้น เต็มไปด้วยพระกรุณา พระเมตตาสงสาร ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นใครที่เป็นเหมือนพระองค์

ถ้าอยากรู้จักพระเจ้า ให้ศึกษาเรื่องราวของพระเยซู แล้วเราจะรู้จักพระเจ้าในลักษณะบุคคล

เราอาจรู้สึกว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ สูงส่ง ไกลเกินเอื้อม เหตุใดพระเจ้าจึงทรงเสด็จมาหาเรา เราไม่มีทางเข้าใจได้ว่าเหตุไร เราไม่อาจเข้าใจพระองค์ได้

บางครั้งเราเห็นพระลักษณะบางอย่างที่เราไม่เข้าใจ เราอย่าเพิ่งทิ้งสิ่งนั้นไป เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เราก็ไม่สามารถเข้าใจพระองค์ได้ทั้งหมด แต่ถ้าเราอยากเข้าใจพระองค์ได้อย่างใกล้ชิดขึ้น ให้ศึกษาผ่านทางชีวิตขององค์พระเยซูคริสต์

พระองค์อยู่กับเราทุกวันทุกเวลา ทรงไปทำงานกับเราที่ทำงาน ทรงร่วมกับเราในปัญหาต่าง ๆ ในความทุกข์ต่างๆ เข้าใจเราเมื่อเราต้องเจอเพื่อนร่วมงานหรือนายที่เป็นบริบทของเรา พระองค์ทรงเข้าใจ

เพราะว่า เรามิได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป (ฮีบรู 4:15)

เวลาที่เราคิดถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ขณะเดียวกันก็รู้ว่าพระองค์ทรงเข้าใจ นี่อาจเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก เพราะพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะเข้าใจปัญหาชีวิตของเราได้อย่างไร? เราอาจเข้าใจไม่ได้ว่าพระองค์ทรงเข้าใจเราได้อย่างไร แม้กระนั้นเมื่อพระองค์ตรัสอย่างชัดเจนว่าพระองค์เข้าใจเรา พระองค์ก็ทรงเข้าใจเรา และพระองค์ก็ทรงอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา

ถ้าเราดำเนินชีวิตคริสเตียนเพียงเฉพาะวันอาทิตย์ ชีวิตเราจะน่าเบื่อมาก แต่พระเจ้าอยู่กับเราทุกวัน จันทร์-เสาร์ หรืออาทิตย์หลังจากเลิกนมัสการ พระองค์ก็ยังทรงอยู่กับเรา

ข้าพเจ้าผ่านช่วงเวลาที่คิดว่าพระเจ้าไม่อยู่กับข้าพเจ้า เวลานั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ไกล ไม่ตอบคำอธิษฐาน รู้สึกว่าคำอธิษฐานไปไม่ถึงเพดานห้อง แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นกับความรู้สึกของเรา สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความจริงของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นองค์อิมมานูเอล สิ่งเหล่านี้เราค้นพบจากชีวิตประจำวันของเรา

การจะรู้จักพระองค์ ไม่ใช่เพียงการอ่านเกี่ยวกับพระองค์ แต่เป็นการใช้เวลากับพระองค์

พระเจ้าทรงทราบความคิด เราต้องระวังด้วยว่าเราคิดอะไร และพระองค์ทรงไปกับเรา ดังนั้นระวังว่าเราจะไปในที่ใด พระองค์ไม่ได้ต้องการให้เราหวาดระแวง แต่ขอที่เราจะใช้เวลากับพระองค์

เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ไม่ได้พูดเรื่องราวที่เป็นตำนาน แต่เป็นสารที่พูดเรื่องจริงที่พระองค์ทรงสื่อเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์เองให้แก่เรา

อ. ตรูจิตต์ นีเดอร์เรอร์

คำเทศนารายการเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 20/03/2011

เรื่อง พระลักษณะของพระเจ้า

หมายเหตุ:ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2554

พระลักษณะของพระเจ้า (6/10)

ลักษณะทางศีลธรรมของพระเจ้า

เราพอจะเชื่อมโยงพระลักษณะเหล่านี้ได้ เพราะพระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมาตามพระฉายาของพระองค์ แม้จะคล้ายคลึง แต่ระดับของพระองค์นั้นต่างจากของเรานัก

มนุษย์มีความรัก แต่ลึก ๆ ก็ต้องการความรัก ความรักของมนุษย์จึงเทียบไม่ได้เลยกับที่พระเจ้าทรงมี

1. พระเจ้าทรงดี

ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ทรงเห็นว่าดี เพราะพระองค์ทรงดี ก็เลยสร้างสิ่งที่ดี ๆ ขึ้นมา

ศิลปินจะวาดผลงานของเขาออกจากลักษณะของเขาเอง การแต่งเพลงก็เช่นเดียวกัน เมื่อคนคนหนึ่งผลิตสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะผลิตจากตัวของเขา

พระองค์ทรงสร้างดีทุกอย่าง มีอยู่สิ่งเดียวที่พระเจ้าเห็นว่าไม่ดี คือเมื่ออาดัมอยู่คนเดียว พระเจ้าบอกว่าไม่ดี จึงได้ทรงสร้างคู่อุปถัมภ์ขึ้นมา

2. พระเจ้าทรงเป็นความรัก

เป็นความรักสูงสุด เป็นความรักที่ได้ทรงส่งพระเยซูคริสต์มาเพื่อเรา

3. พระเจ้าทรงพระเมตตาและทรงพระคุณ

ถ้าพระเจ้าไม่ทรงพระคุณ โลกก็อยู่ยาก

เมื่ออาดัมและเอวาทำบาป ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงพระคุณ พระองค์อาจจะทำลายโลกใหม่แล้วสร้างใหม่ แต่เพราะพระองค์ทรงพระคุณ ทำให้พระองค์มีพระคุณแล้วมีพระคุณเล่า เป็นพระลักษณะที่เราพึ่งพิง เราพึ่งพิงพระเจ้าได้ เพราะพระองค์ทรงให้แก่เรา แม้ในสิ่งที่เราไม่สมควรได้รับ

พระเจ้าทรงให้อภัยเสมอในความบาปต่าง ๆ ที่มนุษย์ทำ

4. พระเจ้าทรงมีพระเมตตาสงสาร

ความเมตตาสงสาร คือ ความรู้สึกเศร้าใจที่มีต่อความทุกข์ยาก

พระเยซูคริสต์ทรงสงสารฝูงชน คนกำพร้า หญิงหม้าย คนต่างด้าว คนที่ถูกกดขี่ เชลย ทรงสงสารเรา ทรงเห็นท่าทีของเรา

5. พระเจ้าทรงอดทนและกริ้วช้า

ถ้าอ่านพระคัมภีร์เกี่ยวกับอิสราเอล ตั้งแต่ออกจากอียิปต์ จะรู้สึกว่า พวกเขาดื้อจริง ๆ สมควรจะโดนลงโทษ แต่พระเจ้าก็อดกลั้นและกริ้วช้า

6. พระเจ้าทรงเป็นความจริง

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นความจริง พระวิญญาณเป็นพระวิญญาณแห่งความจริง พระองค์โกหกไม่ได้ เราจึงไว้ใจพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์

7. พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ

ทรงทำตามทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเปิดเผยไว้ในพระคำของพระองค์ หรือเปิดเผยไว้ในชีวิตของเรา
พระสัญญาส่วนใหญ่มีเงื่อนไข ดังเช่น ถ้าอิสราเอลต้องการได้รับการอวยพร เขาก็จะต้องอยู่ในทางของพระเจ้า รักษาพระบัญญัติของพระองค์

พระองค์ทรงซื่อสัตย์ แต่เราต้องทำส่วนของเราด้วย

8. พระเจ้าทรงเที่ยงธรรม

ทรงยุติธรรม การตัดสินลงโทษความบาปด้วยความตายก็มาจากความยุติธรรมของพระเจ้า

การที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ก็มาจากความเที่ยงธรรมของพระองค์ เป็นการแสดงความเที่ยงธรรมและความรักของพระเจ้า

อ. ตรูจิตต์ นีเดอร์เรอร์

คำเทศนารายการเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 20/03/2011

เรื่อง พระลักษณะของพระเจ้า

หมายเหตุ:ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

พระลักษณะของพระเจ้า (5/10)

พระลักษณะของพระเจ้าที่เฉพาะพระเจ้าเท่านั้นมี (3) 

5. พระเจ้าทรงเป็นนิรันดร์

พระองค์ไม่มีที่เริ่ม และไม่มีที่จบ พระองค์ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเรื่องของเวลา

6. พระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง

เมื่อเรามองดูสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา เราไม่เห็นสิ่งใดที่ไม่เปลี่ยนแปลง คนเราเปลี่ยนแปลง บางคนเวลาผ่านไป อาจสวยขึ้น หรือสวยลง อาจเป็นผู้ใหญ่ขึ้น หรือเป็นผู้ใหญ่น้อยลง หรือบางคนอาจมีชีวิตที่ขมขื่นมากขึ้น ขึ้นกับว่าเขาเหล่านั้นเผชิญชีวิตด้วยท่าที่ทัศนคติเช่นไร ถ้าดำเนินชีวิตด้วยทัศนคติที่พระเจ้าทรงสอน ชีวิตเราก็จะดีขึ้น แต่ถ้าดำเนินชีวิตด้วยความคิดของโลก เราจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ขมขื่น ยากลำบาก

แต่พระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงในพระลักษณะของพระองค์ และจุดประสงค์ของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์

พระเจ้ามีเสรีภาพในการตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ และจากการอธิษฐาน หลายครั้งพระเจ้าทรงเปลี่ยนพระทัย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับที่ทรงเปลี่ยนพระทัยจากพระพิโรธของพระองค์

ดังเช่นในกันดารวิถี 14 พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะลงโทษอิสราเอล ที่พวกเขาไม่สำนึกพระคุณที่พระเจ้าทรงช่วยเขาตลอดมา และโมเสสได้ร้องทูลต่อพระเจ้ามิให้ทำลายชนชาติของพระองค์ แล้วพระองค์ก็ทรงเปลี่ยนพระทัย

นี่จึงเป็นเหตุที่พระเจ้าทรงเรียกให้เราอธิษฐาน เพราะคำอธิษฐานของเรานำพาพระกรุณาของพระเจ้าเข้ามาในสถานการณ์ได้

ถ้าคนทำผิด ผลของการทำผิดก็ได้ระบุไว้แล้ว แต่พระเจ้าทรงเมตตาและทรงพร้อมที่จะอภัยเสมอ คำอธิษฐานของเราจึงสามารถแทรกแซงได้ แม้ว่าพระเจ้าจะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงในพระลักษณะของพระองค์ แต่ในหลาย ๆ สถานการณ์ พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐาน พระองค์ทรงมีพระทัยที่ไม่ต้องการให้ผู้ใดพินาศ

ถ้าเราคิดว่าพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง และไม่อธิษฐาน ก็ไม่ถูกต้อง เพราะในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลก เปลี่ยนได้ด้วยคำอธิษฐาน พระเจ้าทรงสถาปนาการอธิษฐานไว้ให้คนของพระองค์มีอิทธิพลในการเปลี่ยนสถานการณ์ได้ โดยพระเจ้าทรงครอบครองควบคุมอยู่เหนือสุกสิ่ง

7. พระลักษณะอื่น ๆ

  • พระองค์ทรงบริสุทธิ์ ชอบธรรม
  • พระองค์ทรงเป็นองค์ตรีเอกานุภาพ มี 3 พระภาค คือ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ

 

อ. ตรูจิตต์ นีเดอร์เรอร์

คำเทศนารายการเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 20/03/2011

เรื่อง พระลักษณะของพระเจ้า

หมายเหตุ:ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ