วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Colossians Lesson 2 (1:15-2:5): Supremacy of Christ Over All - สิทธิอำนาจสูงสุดของพระคริสต์เหนือทุกสิ่ง (3)

I. Christ is SUPREME Over ALL Things (1:15-1:18):
Who is Jesus and why is He so important? (3)

Jesus Christ is before all things. Christ exists all the time.

"Jesus said to them, 'Most assuredly, I say to you, before Abraham was, I AM.' " (John 8:58 NKJV)

He claimed to be God. He is before all things.

The word "before" has position meaning and time meaning. He was before the creation of the world and He is also over all things. He is higher than all things.

In Him all things held together. He unite and to collect. He continue to hold all things together. He sustains all things

What would happen if He doesn't hold all things? There would be chaos. Things will not even exist. He keeps all planets to turn over the sun. All things are held together. We can not live without His work.

 

PRINCIPLE I:

  • Jesus Christ is preeminent in creation. He made all things, controls all things, and holds all things together.

 

Jesus Christ is the head of the body, the Church. Head means controller, ruler and supremacy. He is the head over everything. The body will weak and powerless without head.

Jesus Christ is the Head of the church, not the pastor, nor the people.

He is the beginning. He is the origin of the church. He is the source of life of the church. He is also the firstborn from the dead. That's why he is the Head. We will resurrect as He was, and live forever with Him.

 

PRINCIPLE II:

  • Jesus Christ is preeminent in the church. He is the head of the Church, His body. So, why is Christ so important?

 

PRINCIPLE III:

  • Jesus is Supreme and Preeminent of ALL.

 

Do you realize and understand that He is supreme and preeminent? Have you submitted to His supremacy and preeminence over your lives?

What is your decision? Who do you think is the one who can control and hold your lives?

 


 

I. พระคริสต์ทรงสูงสุดเหนือทุกสิ่ง (1:15-2:18):
พระเยซูทรงเป็นผู้ใด และเหตุไรพระองค์จึงทรงสำคัญ? (3)

พระเยซูคริสต์ทรง​ดำ​รง​อยู่​ก่อน​ทุก​สิ่ง พระองค์ทรงเป็นอยู่เสมอ

พระ​เยซู​ตรัส​กับ​พวก​เขา​ว่า "เรา​บอก​ความ​จริง​กับ​ท่าน​ว่า ก่อน​อับ​รา​ฮัม​เกิด เรา​เป็น​อยู่​แล้ว" (ยอห์น 8:58 THSV2011)

พระองค์ทรงกล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง

คำว่า "ก่อน" มีความหมายทั้งในด้านของตำแหน่งสถานะ และด้านกาลเวลา พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนการสร้างโลก และพระองค์ทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง พระองค์ทรงอยู่สูงกว่าทุกสิ่ง

ทุก​สิ่ง​ถูก​ยึด​เข้า​ด้วย​กัน​โดย​พระ​องค์ พระองค์ทรงยึดและรวบรวมสรรพสิ่งเข้าด้วยกัน พระองค์ทรงค้ำจุนทุกสิ่ง จะเกิดสิ่งใดขึ้น หากทุกสิ่งไม่ได้ถูกยึดไว้โดยพระองค์? คงจะมีความวุ่นวาน สรรพสิ่งอาจจะไม่มีตัวตนอยู่ พระองค์ทรงธำรงรักษาดาวเคราะห์ทุกดวงให้โคจรรอบดวงอาทิตย์ ทุกสิ่งถูกยึดเข้าด้วยกัน เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากพระองค์

 

ข้อคิดที่ I:

  • พระเยซูคริสต์ทรงไม่มีใครเทียบได้ในการทรงสร้าง พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่ง ควบคุมทุกสิ่ง และยึดทุกสิ่งไว้ด้วยกัน

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของพระกาย ซึ่งก็คือคริสตจักร

ศีรษะหมายถึงผู้ควบคุม ผู้ครอบครอง และมีสิทธิอำนาจสูงสุด พระองค์ทรงเป็นศีรษะเหนือทุกสิ่ง ร่างกายจะอ่อนแรงและไม่มีกำลังหากไม่มีศีรษะ

พระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของคริสตจักร ไม่ใช่ศิษยาภิบาล หรือผู้ใดในคริสตจักร

พระองค์ทรงเป็นจุดเริ่มต้น ทรงเป็นต้นกำเนิดของคริสตจักร เป็นแหล่งของชีวิตของคริสตจักร พระองค์ทรงเป็นผู้แรกที่เป็นขึ้นจากตาย นี่จึงเป็นเหตุผลที่พระองค์ทรงเป็นศีรษะ และเราทั้งหลายก็จะเป็นขึ้นมาดั่งเช่นที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมา แล้วเราจะอยู่กับพระองค์ชั่วนิรันดร์

 

ข้อคิดที่ II:

  • พระเยซูคริสตฺ์ทรงไม่มีใครเทียบได้ในคริสตจักร พระองค์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร พระกายของพระองค์ แล้วเหตุใดพระองค์จึงทรงสำคัญ?

 

ข้อคิดที่ III:

  • พระเยซูคริสต์ทรงสูงสุด และทรงไม่มีใครเทียบได้ สำหรับทุกสิ่ง

 

คุณตระหนักหรือเข้าใจหรือไม่ว่าพระองค์ทรงสูงสุดและไม่มีใครเทียบได้? คุณได้ยอมต่อสิทธิอำนาจของพระองค์เหนือชีวิตของคุณหรือไม่? อะไรคือการตัดสินใจของคุณ? ใครคือผู้ที่คุณคิดว่าเป็นผู้ที่ควบคุมและนำพาชีวิตของคุณ?

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 2

เมื่อวันที่ 26/04/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

 

 

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Colossians Lesson 2 (1:15-2:5): Supremacy of Christ Over All - สิทธิอำนาจสูงสุดของพระคริสต์เหนือทุกสิ่ง (2)

I. Christ is SUPREME Over ALL Things (1:15-1:18):
Who is Jesus and why is He so important? (2)

Jesus Christ is the image of God. Jesus has made God known. He is the exact representation of God, not slightly but 100%. His life reflects the Father.

We don't know exactly how Jesus looked like. That may be good for us and God doesn't allow us to know exactly.

Jesus Christ is the Lamb of God. He was the sacrificial Lamb. His character, His words, His thoughts and His deeds all reflected God. Apart from Him we cannot know the Father. We can know the truth about God in Jesus.

Jesus Christ is the firstborn. This means that He is higher or above all things. Jesus was not the first created being. He created all things and He is not created one. It is about position and rank.

Israel is Jacob. He was twins. He was the second born, but the bible said Israel was the first-born. It is not chronological, but about rank.

"Then you shall say to Pharaoh, 'Thus says the LORD: 'Israel is My son, My firstborn.' ' "(Exodus 4:22 NKJV)

The firstborn is the highest and preeminent.

Jesus Christ is the first born of all things. All things, both visible and invisible, were created by Him. He even created the angels. He has authority over all.

Jesus Christ is the Builder and Constructor. He designed and built all things, both in heaven and on earth. And all things were created by Him and for Him, that's why all things were created. We are product of creation, not reason for creation. We were created for Him.

He is also the owner of all things, including you and I. We were created for Him and for His pleasure.

How do we really satisfy without Him? Only in Him we can find satisfaction.

 


 

I. พระคริสต์ทรงสูงสุดเหนือทุกสิ่ง (1:15-2:18):
พระเยซูทรงเป็นผู้ใด และเหตุไรพระองค์จึงทรงสำคัญ? (2)

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้า พระองค์ทรงสำแดงพระเจ้าให้เราได้เข้าใจ พระองค์เป็นตัวแทนของพระเจ้าที่สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เพียงแค่บางส่วน แต่ 100% ชีวิตของพระองค์ได้สะท้อนให้เราได้เห็นถึงพระบิดา

เราไม่รู้แน่นอนว่าพระเยซูทรงมีรูปร่างลักษณะอย่างไร และนั่นอาจจะเป็นสิ่งดีสำหรับเรา และพระเจ้าก็ไม่ทรงอนุญาตให้เรารู้อย่างชัดเจน

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเมษโปดกของพระเจ้า พระองค์เป็นแกะไว้สำหรับเป็นเครื่องบูชา พระลักษณะ พระวจนะ พระดำริ และพระราชกิจของพระองค์ ล้วนสะท้อนพระเจ้า ปราศจากซึ่งพระอค์แล้วเราจะไม่สามารถรู้จักพระบิดาได้ เราสามารถรู้ถึงความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าในพระองค์

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นบุตรหัวปี นี่หมายความว่าพระองค์ทรงอยู่สูงกว่า หรือทรงอยู่เหนือสรรพสิ่ง พระเยซูไม่ใช่สิ่งทรงสร้างแรกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่ง และพระองค์ไม่ใช่สิ่งทรงสร้าง นี่จึงเป็นความหมายแสดงถึงสถานภาพและตำแหน่ง

อิสราเอล คือยาโคบ ซึ่งเป็นบุตรคนที่สอง แต่พระคัมภีร์ตรัสถึงอิสราเอลว่าเป็นบุตรหัวปี นี่ไม่ใช่เป็นตามลำดับการเวลา แต่แสดงถึงสถานภาพ

เจ้า​จง​ทูล​ฟา​โรห์​ว่า 'พระ​ยาห์​เวห์​ตรัส​ดัง​นี้​ว่า คน​อิส​รา​เอล​เป็น​บุตร​ชาย​ของ​เรา บุตร​หัว​ปี​ของ​เรา' (อพยพ 4:22 THSV2011)

บุตรหัวปี เป็นตำแหน่งสูงสุด และไม่มีใครเทียบได้

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นบุตร​หัวปี​เหนือ​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​สร้าง ทุกสิ่ง รวมถึงทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ล้วนถูกสร้างโดยพระองค์ พระองค์ทรงสร้างทูตสวรรค์ พระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจเหลือทุกสิ่ง

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ที่ก่อร่างสร้างขึ้น พระองค์ทรงออกแบบและสร้างทุกสิ่ง ทั้งในสวรรค์และบนโลกนี้ และทุกสิ่งถูกสร้างโดยพระองค์และเพื่อพระองค์ นี่จึงเป็นเหตุที่ทุกสิ่งได้ถูกสร้างขึ้นมา เราเป็นผลิตภัณฑ์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ไม่ใช่เหตุผลที่พระองค์สร้างเราขึ้นมา เราทุกคนถูกสร้างมาเพื่อพระองค์

พระองค์ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง รวมถึงคุณและผม เราถูกสร้างมาเพื่อพระองค์ ตามชอบพระทัยของพระองค์
เราจะอิ่มเอมโดยปราศจากพระองค์ได้อย่างไร? ในพระองค์เท่านั้นที่เราจะสามารถพบกับความอิ่มเอมใจ

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 2

เมื่อวันที่ 26/04/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

 

 

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Colossians Lesson 2 (1:15-2:5): Supremacy of Christ Over All - สิทธิอำนาจสูงสุดของพระคริสต์เหนือทุกสิ่ง (1)

Colossians Lesson 2
(1:15-2:5)

Supremacy of Christ Over All

 

Outlines

I. Christ is SUPREME Over ALL Things (1:15-2:18): Who is Jesus and why is He so important?

II. Christ is RECONCILER of ALL to God. (1:19-1:23): How does Jesus make us complete?

III. Christ is God's Revealed MYSTERY (1:24-2:5): What do we find when we encounter Jesus?

 

There are many world views this day. There are thoughts about the origin of the earth. Thoughts about creation.

From biblical view we know the answer how all things were created. Jesus Christ is supreme eminent Creator of all things.

 

I. Christ is SUPREME Over ALL Things (1:15-1:18):
Who is Jesus and why is He so important? (1)

"15 He is the image of the invisible God, the firstborn over all creation.
16 For by Him all things were created that are in heaven and that are on earth, visible and invisible, whether thrones or dominions or principalities or powers. All things were created through Him and for Him.
17 And He is before all things, and in Him all things consist.
18 And He is the head of the body, the church, who is the beginning, the firstborn from the dead, that in all things He may have the preeminence." (Colossians 1:15-18 NKJV)

No one has seen God, but we have seen Jesus. Even Moses could see only the back of God. We know God's characters by the life of Jesus Christ. We know more about God through Him.

"(Jesus said) 'If you had known Me, you would have known My Father also; and from now on you know Him and have seen Him.' " (John 14:7 NKJV)

"No one has seen God at any time. The only begotten Son, who is in the bosom of the Father, He has declared Him." (John 1:18 NKJV)

 


 

โคโลสี บทเรียนที่ 2

(โคโลสี 1:15-2:5)

สิทธิอำนาจสูงสุดของพระคริสต์เหนือทุกสิ่ง

 

โครงร่าง

I. พระคริสต์ทรงสูงสุดเหนือทุกสิ่ง (1:15-2:18): พระเยซูทรงเป็นผู้ใด และเหตุไรพระองค์จึงทรงสำคัญ?

II. พระคริสต์ทรงเป็นผู้ที่นำทุกคนให้คืนดีกับพระเจ้า (1:19-1:23): พระเยซูทรงทำให้เรากลับสู่สภาพสมบูรณ์?

III. พระคริสต์ทรงเป็นความลำลึกของพระเจ้าที่ถูกสำแดง (1:24-2:5): เราจะได้เจอสิ่งใดเมื่อเราได้พบกับพระเยซู?

 

มีแนวคิดหลากหลายในโลกนี้ มีความคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับกำเนิดของโลก เกี่ยวกับการทรงสร้าง

จากมุมมองของพระคัมภีร์ เรารู้คำตอบว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้นได้อย่างไร พระเยูคริสต์ทรงเป็นพระผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่สูงสุดเหนือสรรพสิ่ง

 

I. พระคริสต์ทรงสูงสุดเหนือทุกสิ่ง (1:15-2:18):
พระเยซูทรงเป็นผู้ใด และเหตุไรพระองค์จึงทรงสำคัญ?

15 พระ​คริสต์​ทรง​เป็น​พระ​ฉายา​ของ​พระ​เจ้า​ผู้​ไม่​ทรง​ปรา​กฏ​แก่​ตา ทรง​เป็น​บุตร​หัวปี​เหนือ​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​สร้าง
16 เพราะ​ว่า​โดย​พระ​องค์​ทุก​สิ่ง​ได้​รับ​การ​ทรง​สร้าง​ขึ้น ทั้ง​สิ่ง​ที่​อยู่​บน​ท้อง​ฟ้า​และ​บน​แผ่น​ดิน​โลก ทั้ง​สิ่ง​ที่​มอง​เห็น​และ​สิ่ง​ที่​มอง​ไม่​เห็น ไม่​ว่า​จะ​เป็น​บัล​ลังก์​แห่ง​พวก​ภูต​ผี หรือ​พวก​ภูต​ผี​ที่​ปก​ครอง หรือ​พวก​ภูต​ผี​ที่​ครอบ​ครอง หรือ​พวก​ภูต​ผี​ที่​มี​อำ​นาจ ทุก​สิ่ง​ถูก​สร้าง​ขึ้น​โดย​พระ​องค์​และ​เพื่อ​พระ​องค์
17 พระ​องค์​ทรง​ดำ​รง​อยู่​ก่อน​ทุก​สิ่ง และ​ทุก​สิ่ง​ถูก​ยึด​เข้า​ด้วย​กัน​โดย​พระ​องค์
18 พระ​องค์​ทรง​เป็น​ศีรษะ​ของ​กาย​คือ​คริสต​จักร พระ​องค์​ทรง​เป็น​ปฐม ทรง​เป็น​ผู้​แรก​ที่​เป็น​ขึ้น​จาก​ตาย เพื่อ​ว่า​พระ​องค์​จะ​ทรง​เป็น​เอก​ใน​ทุก​สิ่ง (โคโลสี 1:15-18 THSV2011)

ไม่มีใครที่เคยเห็นพระเจ้า แต่เราได้เห็นพระเยซู แม้แต่โมเสสก็ได้เห็นเพียงแค่ด้านหลังของพระเจ้า เรารู้ถึงพระลักษณะของพระเจ้าได้ก็ผ่านทางชีวิตของพระเยซูคริสต์ เรารู้เกี่ยวกับพระเจ้าผ่านทางพระองค์

(พระเยซูตรัสว่า) ถ้า​พวก​ท่าน​รู้​จัก​เรา​แล้ว ท่าน​ก็​จะ​รู้​จัก​พระ​บิดา​ของ​เรา​ด้วย ตั้ง​แต่​นี้​ไป​ท่าน​ก็​จะ​รู้​จัก​พระ​องค์​และ​ได้​เห็น​พระ​องค์ (ยอห์น 14:7 THSV2011)

ไม่​มี​ใคร​เคย​เห็น​พระ​เจ้า​เลย แต่​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ผู้​สถิต​ใน​พระ​ทรวง​ของ​พระ​บิดา ทรง​สำ​แดง​พระ​เจ้า​แล้ว (ยอห์น 1:18 THSV2011)

 

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 2

เมื่อวันที่ 26/04/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

 

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Colossians Lesson 1 (1:1-14): Live A Worthy Life - ดำเนินชีวิตอย่างสมควร (5)

 

III. Paul's Goal: Live a Worthy Life (2) 

  • Growing in knowledge. It is also used as an active verb. It is also not an one-time advent. To stop growing is to be stagnant. Bible study is way of life. To learn and to understand spiritually are processes. The more study, the more we want to study. This is called "cycle of thirst of God's words".
  • Being strengthened. Doing good works needs strength to do it. His work may not be an easy thing to do. But it will be rewarding. You need strength to do His will to be successful. We have Satan trying to distract, discourage, and be against you. You have to endure. Continue on by His power and strength.
  • Giving Thanks to the Father. Paul concluded of this part by advising us to give thanks to the Lord. God has qualified us to be partakers of the inheritance, delivered us from power of darkness, conveyed us into the kingdom of the Son of His love, and redeemed us from our sins. He paid the penalty for our sins so that we would be forgiven.

PRINCIPLE III:

  • A Life Worthy of the Lord is Based on Knowledge of Him and Bears Fruit.

Are you living a life that are worthy and pleasing to God? Pursue the word of God. Dedicate your life to Him and be transformed by the Word. And you will bear fruits.


III. เป้าหมายของเปาโล: ดำเนินชีวิตอย่างสมควร (2)

  • เจริญ​ขึ้น​ใน​ความ​รู้​ถึง​เรื่อง​พระ​เจ้า (Gnowing in Knowledge)นี่ก็เป็นคำกริยาต่อเนื่องเช่นกัน จึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเช่นกัน การหยุดที่จะเติบโต ก็เป็นการหยุดนิ่ง การศึกษาพระคัมภีร์เป็นวิถีแห่งชีวิต การเรียนรู้และเข้าใจฝ่ายวิญญาณเป็นกระบวนการ ยิ่งเรียนรู้มากเพียงไร เราก็จะยิ่งอยากศึกษามากขึ้นเท่านั้น
  • มี​กำ​ลัง (Being Strengthened) การทำการดี จำเป็นที่จะต้องมีกำลังในการทำ งานของพระเจ้าอาจไม่ใช่สิ่งง่ายที่จะทำ แต่เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแน่นอน คุณจำเป็นต้องมีกำลังในการทำงานของพระเจ้าให้ประสบความสำเร็จ เรามีซาตานของเบี่ยงเบนความสนใจของคุณ ทำให้คุณท้อใจ และต่อต้านคุณ คุณจะต้องยืนหยัด และดำเนินต่อไปด้วยฤทธานุภาพและกำลังของพระองค์
  • ขอบพระคุณพระบิดา (Giving Thanks to The Father)อาจารย์เปาโลสรุปในส่วนนี้ด้วยการแนะนำให้เราขอบพระคุณต่อพระเจ้า พระองค์ทรงวางใจให้เราเข้ามีส่วนร่วมในมรดก ช่วยกูเราออกจากอำนาจแห่งความมืด และย้ายเราเข้าสู่อาณาจักรของพระบุตรที่พระองค์ทรงรัก และไถ่เราจากความบาปของเรา พระองค์ทรงชำระเพื่อโทษของบาปของพวกเรา เพื่อที่เราจะได้รับการอภัย

ข้อคิดที่ III:

  • ชีวิตที่สมควรต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า มีรากฐานจากการรู้จักพระองค์และการเกิดผล

คุณกำลังดำเนินชีวิตอย่างสมควรและเป็นที่พอพระทัยต่อพระเจ้าหรือไม่? จงทำตามพระคำของพระเจ้า อุทิศชีวิตของคุณให้พระองค์ แล้วรับการเปลี่ยนแปลงจากพระคำ แล้วชีวิตของคุณจะเกิดผล

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 1

เมื่อวันที่ 05/04/2010

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Colossians Lesson 1 (1:1-14): Live A Worthy Life - ดำเนินชีวิตอย่างสมควร (4)

III. Paul's Goal: Live a Worthy Life (1)

"10 that you may walk worthy of the Lord, fully pleasing Him, being fruitful in every good work and increasing in the knowledge of God;
11 strengthened with all might, according to His glorious power, for all patience and longsuffering with joy;
12 giving thanks to the Father who has qualified us to be partakers of the inheritance of the saints in the light.
13 He has delivered us from the power of darkness and conveyed us into the kingdom of the Son of His love,
14 in whom we have redemption through His blood, the forgiveness of sins." (Colossians 1:10-14 NKJV)

There is additional step to go. Paul's Goal for them is to live a worthy life, fully pleasing to the Lord. You need to be fruitful to do that.

There are 4 areas of fruitfulness Paul talked about.

  • Bearing fruit. Please observe that Paul used the active continuing verb. It means to continue action. It is not one time advent. God wants you to do it continually. We should not stop bearing fruit. We are to be connected with the vine and continue to bear fruit. Some people want to involve in every good work, and they may not be able to do anyone effectively. Being over-committed is not a good thing. We have to discern what is best. Choose which one is best.

"For we are His workmanship, created in Christ Jesus for good works, which God prepared beforehand that we should walk in them." (Ephesus 2:10 NKJV)

We are created to do good works. "Good works" by definition are "God's works". It may be difficult for us to know which work God allows us to be in part of. We are allowed to do God's work. We have to do the right work. When we have choices, ask God which one he wants us to involve.


III. เป้าหมายของเปาโล: ดำเนินชีวิตอย่างสมควร (1)

10 เพื่อ​พวก​ท่าน​จะ​ดำ​เนิน​ชีวิต​อย่าง​สม​ควร​ต่อ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า และ​จะ​เป็น​ที่​ชอบ​พระ​ทัย​ของ​พระ​องค์​ทุก​ประ​การ คือ​ให้​ท่าน​เกิด​ผล​ใน​การ​ดี​ทุก​อย่าง และ​เจริญ​ขึ้น​ใน​ความ​รู้​ถึง​เรื่อง​พระ​เจ้า
11 ให้​พวก​ท่าน​มี​กำ​ลัง​ด้วย​ฤทธา​นุภาพ​ทั้ง​สิ้น​ตาม​อานุ​ภาพ​แห่ง​พระ​สิริ​ของ​พระ​องค์ เพื่อ​ให้​ท่าน​มี​ความ​ทร​หด​อด​ทน และ​มี​ความ​อด​ทน​ใน​ทุก​สิ่ง พร้อม​ทั้ง​มี​ความ​ยินดี
12 และ​ให้​ท่าน​ขอบ​พระ​คุณ​พระ​บิดา​ผู้​ทรง​ทำ​ให้​พวก​ท่าน​สา​มารถ​มี​ส่วน​ใน​มร​ดก​ของ​ธรร​มิก​ชน​ใน​ความ​สว่าง
13 พระ​องค์​ทรง​ช่วย​เรา​ให้​พ้น​จาก​อำ​นาจ​ของ​ความ​มืด และ​ทรง​ย้าย​เรา​เข้ามา​ไว้​ใน​อา​ณา​จักร​ของ​พระ​บุตร​ที่​รัก​ของ​พระ​องค์
14 ใน​พระ​บุตร​นั้น​เรา​ได้​รับ​การ​ไถ่ คือ​การ​ยก​โทษ​จาก​บาป​ทั้ง​หลาย (โคโลสี 1:10-14 THSV2011)

มีขั้นตอนเพิ่มเติมที่จะต้องทำต่อไป เป้าหมายของอาจารย์เปาโลสำหรับพวกเขา คือที่จะดำเนินชีวิตอย่างสมควร เป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าทุกประการ คุณจำเป็นที่จะต้องเกิดผลจึงจะสามารถทำเช่นนั้นได้

มี 4 ด้านของการเกิดผลที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวถึง

  • เกิดผล (Being Fruitful หรือ Bearing Fruit) ขอที่จะสังเกตว่าอาจารย์เปาโลใช้กริยาที่ดำเนินต่อเนื่อง (active continuing verb) นี่หมายถึงว่าเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เป็นเหตุการณ์เพียงครั้งเดียว พระเจ้าทรงต้องการให้คุณเกิดผลอย่างต่อเนื่อง เราควรที่จะไม่หยุดที่จะเกิดผล เราจะต้องเชื่อมต่อกับเถาองุ่น และเกิดผลต่อนื่อง
    บางคนต้องการที่จะทำสิ่งที่ดีทุก ๆ อย่าง และเขาก็อาจจะไม่สามารถทำสิ่งใดได้ผลดีเลย การที่รับงานมากเกินไปไม่ใช่สิ่งดี เราจำเป็นจะต้องแยกแยะว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และเลือกสิ่งที่ดีที่สุด

เพราะ​ว่า​เรา​เป็น​ฝี​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​องค์​ที่​ทรง​สร้าง​ขึ้น​ใน​พระ​เยซู​คริสต์​เพื่อ​ให้​ทำ​การ​ดี ซึ่ง​เป็น​สิ่ง​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​จัด​เตรียม​ไว้​ก่อน​แล้ว​เพื่อ​ให้​เรา​ดำ​เนิน​ตาม (เอเฟซัส 2:10 THSV2011)

เราถูกสร้างมาเพื่อทำการดี "การดี" ตามความหมาย ก็คือ "งานของพระเจ้า" อาจจะเป็นสิ่งที่ยากที่จะรู้ว่างานไหนที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เรามีส่วนร่วมรับใช้ เราได้รับอนุญาตให้ทำงานของพระเจ้า เราจะต้องทำงานที่ถูกต้อง เมื่อเรามีทางเหลือกหลายทาง ขอที่เราจะทูลถามพระเจ้าว่างานใดที่พระองค์ทรงต้องการให้เราเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 1

เมื่อวันที่ 05/04/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Colossians Lesson 1 (1:1-14): Live A Worthy Life - ดำเนินชีวิตอย่างสมควร (3)

II. Paul Prays: Know God's Will

"For this reason we also, since the day we heard it, do not cease to pray for you, and to ask that you may be filled with the knowledge of His will in all wisdom and spiritual understanding" (Colossians 1:9 NKJV)

Paul continued to pray for these people. Becoming a believer is just the beginning step. Paul would like them to have more. He did not satisfy that.

Christ wants you to fruit-bearers.

Paul requested God to fill them with the knowledge of God's will, all wisdom, and spiritual understanding.

Knowledge of God is really the fact about who God is. It is the answer of the question "what?". What is God's will for our lives? What does He desire us to do? God is spiritual. The Word or Scripture is also spiritual. Sometimes the Word may not make sense for us. The Holy Spirit is the one that in part of the understanding.

Wisdom is biblical and theological truth. It is the answer to the question "why?". Wisdom and knowledge cannot be separated. It's better to link them together. Solomon usually talked about both elements and in most times he linked all these 2 together to be effective. We need to have them both.

Understanding is application to the truth. "Understand" means "unite". Unite the truth and fact, and then apply them. This is the question "How?". This is the question for us.

All these three are the foundation of your life. Just like root of the tree.

 

PRINCIPLE II:

  • It is possible to know God's Will. To know God's will is to know God.

How deep is your root in your life? The thing you have to do  to deepen your root is studying the Bible. Ask God to fill you with wisdom and understanding. Then you would be able to understand and apply.


II. เปาโลอธิษฐาน: รู้น้ำพระทัยพระเจ้า

เพราะ​เหตุ​นี้ นับ​ตั้ง​แต่​วัน​ที่​เรา​ได้​ยิน​เรื่อง​นี้ เรา​ก็​ไม่​ได้​หยุด​อธิษ​ฐาน​และ​ทูล​ขอ​เพื่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย เพื่อ​ให้​ท่าน​เต็ม​เปี่ยม​ด้วย​ความ​รู้​เรื่อง​พระ​ประ​สงค์​ของ​พระ​องค์​โดย​สรรพ​ปัญ​ญา​และ​ความ​เข้า​ใจ​ฝ่าย​จิต​วิญ​ญาณ (โคโลสี 1:9 THSV2011)

อาจารย์เปาโลอธิษฐานเผื่อผู้คนเหล่านี้ตลอด การที่มาเป็นผู้เชื่อนั้น เป็นเพียงแค่ขั้นเริ่มต้น อาจารย์เปาโลอยากให้พวกเขาเติบโตมากกว่านั้น ท่านไม่พอใจเพียงแค่พวกเขาได้มาเชื่อ

พระคริสต์ต้องการให้คุณเป็นผู้ที่เกิดผล

อาจารย์เปาโลได้ทูลขอพระเจ้าที่พระองค์จะทรงให้พวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยความรู้เรื่องพระประสงค์ของพระเจ้า สรรพปัญญา และความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ

ความรู้ ความรู้เรื่องพระเจ้า เป็นความจริงว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด นี่เป็นคำตอบของคำถามว่า "อะไร" อะไรคือพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรา? อะไรคือสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการให้เราทำ? พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ พระวจนะของพระองค์ก็เป็นฝ่ายวิญญาณ บางครั้งเราอาจไม่เข้าใจพระคำของพระองค์ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้ที่ช่วยให้เราเข้าใจ

สติปัญญา เป็นความจริงทางพระคัมภีร์และทางศาสนศาสตร์ เป็นคำตอบของคำถามว่า "ทำไม" สติปัญญาและความรู้ไม่สามารถแยกจากกันได้ และคงจะเป็นการดีหากจะเชื่อมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน กษัตริย์ซาโลมอนมักจะกล่าวถึงทั้งสององค์ประกอบ และส่วนใหญ่ที่กล่าวถึง ท่านก็จะเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกันที่จะทำให้ได้ผลดี เราต้องการทั้งสองสิ่งนี้

ความเข้าใจ เป็นการนำความจริงมาประยุกต์ใช้ ซึ่งจากรากศัพท์ของคำว่า "ความเข้าใจ" ในที่นี้หมายถึง "การเชื่อมรวมกัน" เป็นการเชื่อมความจริงและข้อเท็จจริงรวมกัน และนำทั้งสองสิ่งไปประยุกต์ใช้ นี่เป็นคำตอบของคำถามว่า "อย่างไร" นี่เป็นคำถามสำหรับพวกเรา

ทั้งสามสิ่งเป็นรากฐานของชีวิตของเรา ดังเช่นรากของต้นไม้

 

ข้อคิดที่ II:

  • เป็นไปได้ที่จะรู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้า การที่จะรู้พระประสงค์ของพระเจ้าก็คือการเรารู้จักพระองค์

รากฐานของชีวิตของคุณนั้นลงลึกเพียงไร? สิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อที่จะทำให้รากฐานของคุณลงลึกยิ่งขึ้น ก็คือการศึกษาพระคัมภีร์ จงทูลขอพระเจ้าที่จะทรงเติมคุณด้วยสติปัญญาและความเข้าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้คุณก็จะสามารถเข้าใจและประยุกต์ใช้ได้

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 1

เมื่อวันที่ 05/04/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Colossians Lesson 1 (1:1-14): Live A Worthy Life - ดำเนินชีวิตอย่างสมควร (2)

I. Paul's Thankful: The Gospel Response (2)

7 as you also learned from Epaphras, our dear fellow servant, who is a faithful minister of Christ on your behalf,
8 who also declared to us your love in the Spirit." (Colossians 1:1-8 NKJV)

And we also learn about who Epaphras was. He was a fellow servant and a faithful minister of Christ. He was learned the Gospel from Paul, went back to his city, and taught it to the people in Colosse. He loved them and brought the news about problems in the church to Paul.

Paul had an impact on Epaphras. And then Epaphras talked the message and preached to Gospel to people in Colesse. This is the impact one can have.

 

PRINCIPLE I:

  • Growth in Christ is great cause for thanksgiving.

As we know that there are only few Christians in Thailand, less than 1 per cent. But we can teach others about the Word. We have great opportunities to preach Christ.

For you, are you personally growing in Christ? If so, thank God for that. Grow in Christ, and you would bear fruits in Spirit. Others will recognize the fruits that are coming out from you.


I. เปาโลสำนึกในพระคุณ: ตอบสนองต่อข่าวประเสริฐ (2)

7 ตาม​ที่​พวก​ท่าน​ได้​เรียน​จาก​เอปา​ฟรัสเพื่อน​ร่วม​งาน​ที่​รัก​ของ​เรา เขา​เป็น​ผู้​ปรน​นิบัติ​ที่​ซื่อ​สัตย์​ของ​พระ​คริสต์​เพราะ​เห็น​แก่​ท่าน
8 และ​เขา​ได้​แจ้ง​ให้​เรา​ทราบ​ถึง​ความ​รัก​ของ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ใน​พระ​วิญ​ญาณ (โคโลสี 1:7-8 THSV2011)

และเราก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเอปาฟรัส เขาเป็นผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ และติดตามพระคริสต์ เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับข่าวประเสริฐจากอาจารย์เปาโล และได้กลับไปยังเมืองของเขา สอนผู้คนในเมืองโคโลสี เขารักชาวเมืองโคโลสี และนำข่าวเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในคริสตจักรมารายงานกับอาจารย์เปาโล ชีวิตอาจารย์เปาโลมีผลกระทบต่อเอปาฟรัส และเอปาฟรัสก็ได้นำข้อความไปบอก และเทศนาข่าวประเสริฐกับผู้คนในเมืองโคโลสี นี่เป็นผลกระทบที่คนคนหนึ่งสามารถมีได้

 

ข้อคิดที่ I:

การเติบโตในพระคริสต์เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดการขอบพระคุณ

ดังที่เราได้รู้ว่ามีคริสเตียนไม่มากนักในประเทศไทย น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ แต่เราสามารถสอนคนอื่นเกี่ยวกับพระคำ เรามีโอกาสที่ดีมากในการประกาศเรื่องราวของพระคริสต์

สำหรับคุณ คุณได้เติบโตกับพระคริสต์เป็นการส่วนตัวหรือไม่? ถ้าหากว่าใช่ จงขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งนั้น

เติบโตในพระคริสต์ แล้วคุณก็จะเกิดผลแห่งพระวิญญาณ คนอื่น ๆ ก็จะเห็นผลเหล่านั้นที่ออกมาจากชีวิตของคุณ

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 1

เมื่อวันที่ 05/04/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Colossians Lesson 1 (1:1-14): Live A Worthy Life - ดำเนินชีวิตอย่างสมควร (1)

Colossians Lesson 1

(1:1-14)

Live A Worthy Life

 

Outlines

I. Paul's Thankful: The Gospel Response (1-8)

II. Paul Prays: Know God's Will (9)

III. Paul's Goal: Live a Worthy Life (10-14)

 

Christian life is just like a tree. If you plant a tree, you would expect it to bear fruits. The same, God wants our lives to bear fruits.

 

I. Paul's Thankful: The Gospel Response (1)

"1 Paul, an apostle of Jesus Christ by the will of God, and Timothy our brother,
2 To the saints and faithful brethren in Christ who are in Colosse: Grace to you and peace from God our Father and the Lord Jesus Christ.
3 We give thanks to the God and Father of our Lord Jesus Christ, praying always for you,
4 since we heard of your faith in Christ Jesus and of your love for all the saints;
5 because of the hope which is laid up for you in heaven, of which you heard before in the word of the truth of the gospel,
6 which has come to you, as it has also in all the world, and is bringing forth fruit, as it is also among you since the day you heard and knew the grace of God in truth;
7 as you also learned from Epaphras, our dear fellow servant, who is a faithful minister of Christ on your behalf,
8 who also declared to us your love in the Spirit." (Colossians 1:1-8 NKJV)

This letter was from Paul and Timothy. It was written to Christians in Colosse. He was thankful for their response to the Gospel. Paul had never been to the city, but he had heard about their faith. And he thanked God for their spiritual growth.

The responses to the Gospel which are the marks of an authentic Christians consists of:

  • Faith ... in Christ. A result of hearing Gospel is faith. And the object of the faith is Christ. Faith should not be put in others. The object is not religions, or what to do or don't do. True faith is in Christ. We have to agree, and believe in the person of Jesus Christ. And we should not misplace our faith to others.
  • Love ... for the Saints. The object of love is the saints or others, not our selves. Love should not be toward others, world, money or other idols. It should be for other saints.

"He who loves his life will lose it, and he who hates his life in this world will keep it for eternal life." (John 12:25 NKJV)

"But whoever has this world's goods, and sees his brother in need, and shuts up his heart from him, how does the love of God abide in him?" (1John 3:17 NKJV)

"A new commandment I give to you, that you love one another; as I have loved you, that you also love one another." (John 13:34 NKJV)

For you, do you have love for saints or other believers? We have bond. Here we have men from different places, different countries, or different backgrounds, but we have a bond of relationship because of Jesus Christ. We should have love for all saints.

  • Hope ... in Heaven. Our ultimate hope is that we will be in Heaven. Heaven is the object of our hope. Heaven is an actual place, where God and Christ has designed for us. Christ is preparing the place for us. He intends and wants us to be with Him in Heaven. That's His home and He wants us to be in His House. We would be where He is. There are only 2 places to go: place of God and Christ, and place of Satan.

"2 In My Father's house are many mansions; if it were not so, I would have told you. I go to prepare a place for you.
3 And if I go and prepare a place for you, I will come again and receive you to Myself; that where I am, there you may be also." (John 14:2-3 NKJV)


โคโลสี บทเรียนที่ 1

(โคโลสี 1:1-14)

ดำเนินชีวิตอย่างสมควร

 

โครงร่าง

I. เปาโลสำนึกในพระคุณ: ตอบสนองต่อข่าวประเสริฐ (1-8)

II. เปาโลอธิษฐาน: รู้น้ำพระทัยพระเจ้า (9)

III. เป้าหมายของเปาโล: ดำเนินชีวิตอย่างสมควร (10-14)

 

ชีวิตคริสเตียนก็เป็นเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ถ้าหากคุณจะปลูกต้นไม้ คุณก็คาดหวังที่จะให้ต้นไม้นั้นออกผล เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงต้องการให้ชีวิตของเราเกิดผล

 

I. เปาโลสำนึกในพระคุณ: ตอบสนองต่อข่าวประเสริฐ (1)

1 เปา​โล อัคร​ทูต​ของ​พระ​เยซู​คริสต์​ตาม​พระ​ทัย​ของ​พระ​เจ้า และ​ทิ​โม​ธี​น้อง​ชาย
2 เรียน บรร​ดา​ธรร​มิกชน​และ​พี่​น้อง​ที่​เชื่อ​ใน​พระ​คริสต์​ใน​เมือง​โค​โล​สี ขอ​ให้​พระ​คุณ​และ​สันติ​สุข​จาก​พระ​เจ้า​พระ​บิดา​ของ​เรา​อยู่​กับ​พวก​ท่าน
3 เรา​ขอบ​พระ​คุณ​พระ​เจ้า​พระ​บิดา​ของ​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา​เสมอ​เมื่อ​อธิษ​ฐาน​เผื่อ​พวก​ท่าน
4 เพราะ​เรา​ได้​ยิน​เรื่อง​ความ​เชื่อ​ของ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ใน​พระ​เยซู​คริสต์ และ​เรื่อง​ความ​รัก​ที่​พวก​ท่าน​มี​ต่อ​ธรร​มิก​ชน​ทุก​คน
5 เพราะ​ความ​หวัง​ที่​เก็บ​ไว้​เพื่อ​พวก​ท่าน​ใน​สวรรค์ ซึ่ง​ท่าน​เคย​ได้​ยิน​มา​แล้ว​ใน​ถ้อย​คำ​แห่ง​ความ​จริง​คือ​ข่าว​ประ​เสริฐ
6 ที่​มา​ถึง​ท่าน​ทั้ง​หลาย ข่าว​ประ​เสริฐ​กำ​ลัง​เกิด​ผล​และ​เจริญ​ขึ้น​ทั่ว​โลก เช่น​เดียว​กับ​ที่​เป็น​อยู่​ใน​พวก​ท่าน​ตั้ง​แต่​วัน​ที่​ท่าน​ได้​ยิน​และ​เข้า​ใจ​พระ​คุณ​ของ​พระ​เจ้า​ใน​ความ​จริง​นั้น
7 ตาม​ที่​พวก​ท่าน​ได้​เรียน​จาก​เอปา​ฟรัสเพื่อน​ร่วม​งาน​ที่​รัก​ของ​เรา เขา​เป็น​ผู้​ปรน​นิบัติ​ที่​ซื่อ​สัตย์​ของ​พระ​คริสต์​เพราะ​เห็น​แก่​ท่าน
8 และ​เขา​ได้​แจ้ง​ให้​เรา​ทราบ​ถึง​ความ​รัก​ของ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ใน​พระ​วิญ​ญาณ (โคโลสี 1:1-8 THSV2011)

จดหมายนี้มาจากอาจารย์เปาโล และทิโมธี เขียนถึงคริสเตียนในเมืองโคโลสี อาจารย์เปาโลขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการตอบสนองของพวกเขาต่อข่าวประเสริฐ อาจารย์เปาโลไม่เคยไปยังโคโลสี แต่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเขา และท่านก็ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณของพวกเขา

การตอบสนองต่อข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นเครื่องหมายของคริสเตียนที่แท้จริง ได้แก่

  • ความเชื่อ ... ในพระคริสต์ ผลจากการได้ยินข่าวประเสริฐ คือ ความเชื่อ และเป้าหมายของความเชื่อคือพระคริสต์ ความเชื่อไม่ควรจะอยู่ที่สิ่งอื่นใด ความเชื่อไม่ได้ตั้งอยู่บนศาสนา หรือสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ความเชื่อที่แท้อยู่ในพระคริสต์ เราจำเป็นต้องเห็นด้วยและเชื่อในบุคคลของพระเยซูคริสต์ เราไม่ควรวางความเชื่อไว้ในที่ที่ผิดในที่อื่นใด
  • ความรัก ... สำหรับธรรมิกชน เป้าหมายของความรัก คือ ธรรมิกชน หรือคนอื่น ๆ ไม่ใช่ตัวเราเอง ความรักไม่ควรจะมอบให้กับสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นโลก เงิน หรือรูปเคารพ ความรักของเราควรจะมีต่อธรรมิกชนทั้งหลาย

คน​ที่​รัก​ชีวิต​ตัว​เอง​ต้อง​เสีย​ชีวิต และ​คน​ที่​เกลียด​ชัง​ชีวิต​ตัว​เอง​ใน​โลก​นี้​จะ​รัก​ษา​ชีวิต​นั้น​ไว้​นิรันดร์ (ยอห์น 12:25 THSV2011)
แต่​ถ้า​ใคร​มี​ทรัพย์​สม​บัติ​ใน​โลก​นี้ และ​เห็น​พี่​น้อง​ของ​ตน​ขัด​สน​แล้ว​ยัง​ไม่​เปิด​ใจ​ช่วย​เขา ความ​รัก​ของ​พระ​เจ้า​จะ​ดำ​รง​อยู่​ใน​คน​นั้น​ได้​อย่าง​ไร? (1 ยอห์น 3:17 THSV2011)
เรา​ให้​บัญ​ญัติ​ใหม่​ไว้​กับ​พวก​ท่าน คือ​ให้​รัก​ซึ่ง​กัน​และ​กัน เรา​รัก​พวก​ท่าน​มา​แล้ว​อย่าง​ไร ท่าน​ก็​จง​รัก​กัน​และ​กัน​ด้วย​อย่าง​นั้น (ยอห์น 13:34 THSV2011)

สำหรับคุณ คุณมีความรักต่อธรรมิกชนหรือผู้เชื่อคนอื่น ๆ หรือไม่? เรามีพันธะต่อกันและกัน เราในที่นี่มาจากหลากหลายที่ หลากหลายประเทศ หรือพื้นฐานที่แตกต่างกัน แต่เรามีพันธะแห่งความสัมพันธ์ เนื่องจากพระเยซูคริสต์ เราควรมีความรักมอบให้ธรรมิกชนทุก ๆ คน

  • ความหวัง ... ในสวรรค์ ความหวังสุดท้ายของเรา คือที่เราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ สวรรค์เป็นเป้าหมายของความหวังของเรา สวรรค์เป็นสถานที่จริง ๆ เป็นที่ที่พระเจ้าและพระคริสต์ได้ออกแบบเพื่อเรา พระคริสต์ทรงกำลังเตรียมที่สำหรับเรา พระองค์ตั้งพระทัยและทรงต้องการให้เราไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ ที่นั่นเป็นบ้านของพระองค์ และพระองค์ทรงต้องการให้เราอยู่ในบ้านของพระองค์ พวกเราจะอยู่ในที่ที่พระองค์ทรงอยู่

มีเพียงแค่ 2 ที่ที่จะไป ได้แก่ สถานที่ของพระเจ้าและพระคริสต์ และสถานที่ของซาตาน

2 ใน​พระ​นิ​เวศ​ของ​พระ​บิดา​เรา​มี​ที่​อยู่​มาก​มาย ถ้า​ไม่​มี​เรา​คง​บอก​ท่าน​แล้ว เพราะ​เรา​ไป​จัด​เตรียม​ที่​ไว้​สำ​หรับ​พวก​ท่าน
3 เมื่อ​เรา​ไป​จัด​เตรียม​ที่​ไว้​สำ​หรับ​ท่าน​แล้ว เรา​จะ​กลับ​มา​อีก​และ​รับ​ท่าน​ไป​อยู่​กับ​เรา เพื่อ​ว่า​เรา​อยู่​ที่​ไหน​พวก​ท่าน​จะ​ได้​อยู่​ที่​นั่น​ด้วย (ยอห์น 14:2-3 THSV2011)

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Colossians Lesson 1

เมื่อวันที่ 05/04/2010

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Introduction to Colossians - บทนำ พระธรรมโคโลสี (5)

III. The Truth of JESUS in Colossians

Paul wanted to correct the church. Paul stressed on the Supremacy of Jesus Christ in this book.

It has 2 portions: basic doctrine of Christ, and practical applications.

It shows detailed picture of Jesus Christ about how He is. Jesus Christ is the object of Christian's faith because He is the Redeemer. He is the Son of God. He is the Head of Church and Supreme. He is the Fullness of Salvation. Jesus Christ is the reconciler of the universe. He pull back to Himself to the redemption through His Blood.

Jesus Christ is also the fullness of God. He is the bodily form of God. He had the Fullness of God within Himself.

He is the one who fulfilled the Old Testament.

PRINCIPLE III:

  • The Bible says CHRIST is the ONE Who Is

    • SUPREME (Superior)

    • The HEAD over all

    • SUFFICIENT to SAVE


III. ความจริงเกี่ยวกับพระเยซูในพระธรรมโคโลสี

อาจารย์เปาโลต้องการที่จะปรับปรุงแก้ไขคริสตจักร โดยเน้นที่ความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูคริสต์ในจดหมายฝากเล่มนี้

พระธรรมโคโลสีมี 2 ส่วน ได้แก่ หลักคำสอนพื้นฐานของพระคริสต์ และการประยุกต์ใช้ในภาคปฏิบัติ

พระธรรมโคโลสี แสดงภาพของพระเยซูคริสต์อย่างละเอียดเกี่ยวกับว่าพระลักษณะของพระองค์เป็นเช่นไร

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางของความเชื่อคริสเตียน เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นศีรษะของคริสตจักร และทรงยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์ทรงเป็นความรอดที่สมบูรณ์ พระเยซูคริสต์เป็นผู้นำการคืนดีของจักรวาล พระองค์ทรงนำสรรพสิ่งกลับมาสู่พระองค์เองด้วยการไถ่ผ่านทางพระโลหิตของพระองค์

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าที่สมบูรณ์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในรูปแบบของร่างกาย พระองค์ทรงมีพระลักษณะของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบในพระองค์เอง พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ทำให้พันธสัญญาเดิมสมบูรณ์

ข้อคิดที่ III:

พระคัมภีร์กล่าวว่า พระคริสต์ทรงเป็นผู้ที่

  • ยิ่งใหญ่สูงสุด (อยู่เหนือสรรพสิ่ง)

  • เป็นศีรษะของสรรพสิ่งทั้งปวง

  • ทรงเพียงพอที่จะช่วยให้รอด

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Introduction to Colossians

เมื่อวันที่ 29/03/2010

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปหรือการแปลของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Introduction to Colossians - บทนำ พระธรรมโคโลสี (4)

II. Colossians: A Letter in the New Testament

The author is Paul. We can learn about Paul's life from Acts chapter 9 to 28.

It was written about 63 AD in Rome. At the same period time, he also wrote other 2 books, which are Ephesians and Philemon.

Colossians is the people of Colosse. Paul did not start the church. It was not an important city then, but we learn a lot from this book.

Paul spent full 2 years in Ephesus at the school of Tyrannus. Epaphras came to visit him from Colosse and became a believer. He learned in this school and go back to start a church.

Epaphras reported a problem occurred in the church at Colosse. The problem was about Heresy going on in the church. And Paul wrote the letter back to the church.

There heresy or false teaching has some characteristics. It takes the Word of Christ and add to it. This became the problem in Colosse. It became false Gospel.

  1. Human philosophy. Basic principles of the world added to the word of Christ. The important one is Gnosticism (related to "gnosis" which means knowledge). People were called "in the KNOW", spiritual aristocrat (superior to others). They taught that salvation is not through faith, but through superior knowledge. They went on to Greek philosophy. They said that all men are evil and spirit is good. They tried to separate flesh, spirit, and the world. They protect God, and taught that the emanating of God created the world. They tried to fit God in their philosophy.
  2. Jewish element. It is about Asceticism, which taught self-denying way of lives, and called the belivers to try to control the flesh.
  3. Pagan element. It was about worship of angels. The people might worship them directly or use them as a way to connect with God. Anyway, they are not true way to worship God.

Heresy wears a mask of Christianity. False belief in Christ is not rooted completely in the Bible. It may add something to it or extract something from it.

There are 3 questions to consider in order to determine that the teachings are heresy or not.

  • Is Christ the HEAD or not?
  • Is Christ SUPREME or something less?
  • Is Christ SUFFICIENT to save or not?

This is why we have to back to the WORD. God's Word is truth and absolute. It is unchangeable.

PRINCIPLE II:

  • You Cannot ADD or SUBTRACT From The Truth of the Jesus and Still Call It Christianity.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

II. พระธรรมโคโลสี: จดหมายฝากฉบับหนึ่งในพันธสัญญาใหม่

ผู้เขียนพระธรรมโคโลสีคืออาจารย์เปาโล เราสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตของอาจารย์เปาโลได้จากพระธรรมกิจการบทที่ 9-28

พระธรรมเล่มนี้เขียนในปี ค.ศ. 63 ในกรุงโรม ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่อาจารย์เปาโลเขียนจดหมายฝากอีก 2 เล่ม ได้แก่ เอเฟซัส และฟีเลโมน

อาจารย์เปาโลไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักรในเมืองโคโลสี และเมืองนี้ก็ไม่ได้เป็นเมืองสำคัญ แต่เราสามารถเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากพระธรรมเล่มนี้

อาจารย์เปาโลใช้เวลา 2 ปีเต็มในเอเฟซัสที่โรงเรียนที่ชื่อทีรันนัส เอปา​ฟรัสได้ไปเยี่ยมเยียนอาจารย์เปาโลจากโคโลสี และได้กลายเป็นผู้เชื่อ เขาได้เรียนรู้ในโรงเรียนนี้ และได้กลับไปก่อตั้งคริสตจักร

เอปา​ฟรัสได้รายงานเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในคริสตจักรแห่งโคโลสี เป็นปัญหาเกี่ยวกับความเชื่อที่ผิดที่กำลังเข้ามายังคริสตจักร และอาจารย์เปาโลก็ได้เขียนจดหมายกลับไปยังคริสตจักร

ความเชื่อที่ผิด หรือคำสอนผิด มีลักษณะบางอย่าง คือมักจะนำคำตรัสสอนของพระคริสต์มาสอน และเพิ่มเติมสิ่งอื่นเข้าไป นี่กลายเป็นปัญหาของคริสตจักรในเมืองโคโลสี และกลายเป็นพระกิตติคุณที่ผิด

  • ปรัชญาของมนุษย์ เป็นหลักการของโลกที่เพิ่มเติมเข้าไปในคำสอนของพระคริสต์ ซึ่งที่สำคัญอันหนึ่ง คือ นอสติก (เกี่ยวข้องกับคำว่า "gnosis" ซึ่งแปลว่าความรู้) ผู้ที่เชื่อในลัทธินี้จะถูกเรียกว่า "ผู้มีความรู้" เป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณสูงส่ง (สูงกว่าคนอื่น ๆ) ลัทธินี้จะสอนว่าความรอดมิได้ได้มาโดยผ่านทางความเชื่อ แต่โดยความรู้ที่สูง พวกเขาจะผสมผสานร่วมกับปรัชญากรีก กล่าวว่ามนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งชั่ว และวิญญาณเป็นสิ่งดี พวกเขาพยายามแยกร่างกาย จิตวิญญาณ และโลก พวกเขาพยายามปกป้องพระเจ้า และสอนว่าส่วนของพระเจ้าที่แยกออกมา เป็นสิ่งที่สร้างโลก พวกเขาพยายามสอนเรื่องพระเจ้าให้เข้ากับหลักปรัชญาของเขา
  • คำสอนของยิว เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามบัญญัติอย่างเคร่งครัด สอนเกี่ยวกับการปฏิเสธตนเอง และสอนให้ผู้เชื่อพยายามที่จะควบคุมเนื้อหนังของตน
  • คำสอนของชาวต่างชาติ เกี่ยวข้องกับการนมัสการทูตสวรรค์ ผู้ที่เชื่อจะนมัสการทูตสวรรค์โดยตรง หรือใช้ทูตสวรรค์เป็นหนทางในการติดต่อกับพระเจ้า ซึ่งไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องในการนมัสการพระเจ้า

ความเชื่อที่ผิด ได้สวมหน้ากากแห่งคริสตศาสนา ความเชื่อที่ผิดในพระคริสต์ ไม่ได้มีรากฐานมาจากพระคัมภีร์อย่างสมบูรณ์ โดยอาจจะเพิ่มเติมบางอย่างเข้าไป หรือนำคำสอนบางอย่างออกไป

มี 3 คำถามที่จะต้องพิจารณาเพื่อไตร่ตรองว่าคำสอนเป็นคำสอนที่ผิดหรือไม่

  • พระคริสต์เป็นศีรษะหรือไม่?
  • พระคริสต์ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด หรือว่าเป็นอะไรที่น้อยกว่านั้น?
  • พระคริสต์ทรงเพียงพอที่จะช่วยเราให้รอดหรือไม่?

นี่จึงเป็นความจำเป็นที่เราจะต้องกลับมายังพระคำของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงและสมบูรณ์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ข้อคิดที่ II:

  • คุณไม่สามารถเพิ่มเติมหรือนำบางสิ่งออกไปจากความจริงแห่งพระเยซูคริสต์ แล้วยังคงเรียกว่าความเชื่อนั้นว่า "คริสตศาสนา"

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Introduction to Colossians

เมื่อวันที่ 29/03/2010

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปหรือการแปลของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Introduction to Colossians - บทนำ พระธรรมโคโลสี (3)

I. The Bible: The Truth, God's Word (3)

Jesus declared that God's words are truth. The Holy Spirit will teach us about the truth and teach us to understand it. God's word is eternal and powerful.

"Then God said, 'Let there be light'; and there was light." (Genesis 1:3 NKJV)

From Genesis chapter 1, we would see how God created the earth. He said "let there be ...", and then it was so. Everything became reality. That is the power of His Word.

"So shall My word be that goes forth from My mouth; It shall not return to Me void, But it shall accomplish what I please, And it shall prosper in the thing for which I sent it." (Isaiah 55:11 NKJV)

Spirit of Truth will teach us to understand the bible which is God's Word and Truth. Pray before reading it. Ask what He wants us to learn.

If we would give Him a chance, open the Word, and see how it would change your life. It takes time to study God's Word.

Bible study is more than study in the class. It is a way of life. You can never learn too much about God. You have to continue to study about The Word.

PRINCIPLE I:

  • God Spoke the Bible. It is TRUE. Its purpose is to reveal God and His Son, the Lord Jesus Christ.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

I. พระคัมภีร์: ความจริง พระวจนะของพระเจ้า (2)

พระเยซูก็ทรงสำแดงว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสอนเราเกี่ยวกับความจริง และสอนเราให้เข้าใจความจริงนั้น พระคำของพระเจ้านั้นนิรันดร์และทรงพลานุภาพ

พระ​เจ้า​ตรัส​ว่า "จง​เกิด​ความ​สว่าง" ความ​สว่าง​ก็​เกิด​ขึ้น (ปฐมกาล 1:3 THSV2011)

จากปฐมกาลบทที่ 1 เราก็จะเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกขึ้นมา พระองค์ตรัสว่า"จงเกิด..." และสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นมา ทุกสิ่งล้วนกลายเป็นจริงขึ้นมา นี่เป็นฤทธิ์เดชของพระวจนะของพระอค์

ทำ​นอง​เดียว​กัน คำ​ของ​เรา​ที่​ออก​จาก​ปาก​ของ​เรา จะ​ไม่​กลับ​มา​สู่​เรา​เปล่าๆ แต่​จะ​ทำ​ให้​สิ่ง​ที่​เรา​พอใจ​นั้น​สำเร็จ และ​ให้​สิ่ง​ที่​เรา​ใช้​ไป​ทำ​นั้น​เสร็จสิ้น (อิสยาห์ 55:11 THSV2011)

พระวิญญาณแห่งความจริงจะสอนให้เราเข้าใจพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้า และเป็นความจริง จงอธิษฐานก่อนที่จะอ่านพระคัมภีร์ ทูลถามพระองค์ว่าทรงต้องการให้เราเรียนรู้สิ่งใด

ขอที่เราจะเปิดโอกาสให้กับพระองค์ เปิดพระคัมภีร์ และดูว่าสิ่งนี้จะเปลี่ยนชีวิตของเราได้อย่างไร

การศึกษาพระวจนะของพระเจ้านั้นใช้เวลา การศึกษาพระคัมภีร์ไม่ใช่เป็นเพียงการเรียนในชั้นเรียน แต่เป็นวิถีชีวิต คุณไม่สามารถเรียนรู้มากเกินไปเกี่ยวกับพระเจ้า คุณจำเป็นที่จะต้องศึกษาเกี่ยวกับพระวจนะต่อไป

ข้อคิดที่ I

  • พระเจ้าตรัสผ่านพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นจริง ไว้ใจได้ และเป้าหมายของพระคัมภีร์คือเพื่อเปิดเผยพระเจ้าและพระบุตร องค์พระเยซูคริสต์เจ้า

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Introduction to Colossians

เมื่อวันที่ 29/03/2010

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปหรือการแปลของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Introduction to Colossians - บทนำ พระธรรมโคโลสี (2)

I. The Bible: The Truth, God's Word (2)

The bible has a purpose. It is story about God redeeming man. From the beginning to the very end, the story has not changed. From Genesis chapter 3 to Revelation is the story about redemption. The seed of Woman would beat the head of Satan. The stories in the Old Testament are also the shadow of what would be fulfilled in the New Testament. One example is about the kinsman-redeemer in the book of Ruth. Boaz, who was Ruth's kinsman-redeemer, was just like Christ. Jesus Christ is our Kinsman-Redeemer.

In the New Testament, Jesus came to fulfill the Old Testament. He came to fulfill the law. Not to condemn or judge, but to redeem.

The bible is about the God and His Son. He wants to redeem us, and we are the objects. It is about His characters and attributes.

God reveals Himself in different ways: from nature, from the creations, from circumstances of life, and, specifically, from the Bible. That is how we know about truth. That is why we learn the bible.

Jesus is the perfect reflection of God. This is how we know God as well. He is the perfect representation of God.

The bible is without error or contradiction. It is written by 40 men, over 1,500 years, but no contradiction.

"God is not a man, that He should lie, Nor a son of man, that He should repent. Has He said, and will He not do? Or has He spoken, and will He not make it good?" (Number 23:19 NKJV)

God is God, and not a man. He has not changed His Mind. He does not retract or erase what he has said. He does exactly what he said He would do.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

I. พระคัมภีร์: ความจริง พระวจนะของพระเจ้า (2)

พระคัมภีร์มีเป้าหมาย เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับที่พระเจ้าทรงไถ่มนุษย์ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เรื่องราวก็ไม่มีเปลี่ยนแปลง จากปฐมกาล 3 จนถึงวิวรณ์ ก็ล้วนเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทรงไถ่ พงศ์พันธุ์ของสตรีจะทำให้หัวของซาตานแหลก เรื่องราวทั้งหลายจากพันธสัญญาเดิมก็เป็นเงาของสิ่งที่จะได้รับการเติมเต็มในพันธสัญญาใหม่

ตัวอย่างหนึ่ง คือ เกี่ยวกับญาติสนิท ที่มีภาระในการไถ่ญาติของตน (kinsman-redeemer) ซึ่งปรากฎในพระธรรมนางรูธ โบอาสผู้ซึ่งเป็นญาติสนิทของนางรูธ ก็เป็นดังเช่นพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นญาติสนิท ที่ได้ทรงไถ่เราทั้งหลาย

ในพันธสัญญาใหม่ พระเยซูทรงเติมเตมพันธสัญญาเดิม พระองค์ทรงทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ พระองค์มิได้ทรงเสด็จมาเพื่อกล่าวโทษหรือพิพากษา แต่ทรงเสด็จมาเพื่อไถ่

พระคัมภีร์เป็นเรื่อราวเกี่ยวกับพระเจ้า และพระบุตรของพระองค์ พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะไถ่เรา และเราก็เป็นผู้ที่ได้รับการไถ่ เรื่องราวทั้งสิ้นก็เกี่ยวกับพระลักษณะและธรรมชาติของพระเจ้า

พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เองผ่านหลายทาง อาทิเช่น ทางธรรมชาติ ทางสิ่งทรงสร้างทั้งหลาย ทางสถานการณ์ของชีวิต และที่เจาะจงก็คือ ผ่านทางพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นวิธีที่เราจะรู้เกี่ยวกับความจริ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราศึกษาพระคัมภีร์

พระเยซูทรงสำแดงพระลักษณะของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ เราจึงสามารถรู้จักพระเจ้าได้โดยศึกษาจากพระลักษณะของพระเยซูด้วยเช่นกัน พระองค์ทรงเป็นตัวแทนที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า

พระคัมภีร์ไม่มีข้อคิดพลาด หรือไม่มีความขัดแย้ง เขียนโดยผู้เขียน 40 คน ตลอดระยะเวลา 1,500 ปี แต่ไม่มีความขัดแย้งกันเอง

พระ​เจ้า​ทรง​ไม่​ใช่​มนุษย์​ที่​จะ​มุสา และ​ไม่​ได้​ทรง​เป็น​บุตร​ของ​มนุษย์​ที่​จะ​ต้อง​กลับ​ใจ พระ​องค์​จะ​ไม่​ทรง​ทำ​ตาม​ที่​ตรัส​ไว้​แล้ว​หรือ? พระ​องค์​จะ​ไม่​ทรง​ทำ​ให้​สำเร็จ​ตาม​ที่​ทรง​ลั่น​วา​จา​ไว้​แล้ว​หรือ? (กันดารวิถี 23:19 THSV2011)

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า และมิได้ทรงเป็นมนุษย์ พระองค์ไม่เปลี่ยนพระทัย พระองค์ไม่ถอนกลับ หรือยกเลิกสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ พระองค์ทรงทำตามสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ว่าจะทรงทำทุกประการ

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Introduction to Colossians

เมื่อวันที่ 29/03/2010

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปหรือการแปลของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Introduction to Colossians - บทนำ พระธรรมโคโลสี (1)

I. The Bible: The Truth, God's Word (1)

Sometimes we do not like the truth, but truth is a reliable thing you can rely on. The Holy Bible is the book of truth because God is truth. If we are reading the Bible, we are reading the Book of Truth.

The problem is that sometimes people believe in different things. How do we know which one is truth?

If you want to know the truth, to know about God, go to the Bible. It begins and ends with truth. It says about God, his work, and His Son - Jesus Christ. The bible is addressed to us.

How do we know that it is truth? How can we rely on it?

To know the bible is a process. It is complex and takes time to learn and study. It will speak for itself. If we read the bible, we will see that it is relevant to our lives.

God is the author of the bible. He wrote it through men. God called them to write specific books, which were collected together and called The Holy Bible.

"All Scripture is given by inspiration of God, and is profitable for doctrine, for reproof, for correction, for instruction in righteousness" (2Timothy 3:16 NKJV)

The bible is God-breathed. He breathed it out. All scriptures are God-breathed, not by man.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 

I. พระคัมภีร์: ความจริง พระวจนะของพระเจ้า (1)

บางครั้งเราก็ไม่ชอบความจริง แต่ความจริงเป็นสิ่งที่เราสามารถเชื่อได้ พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นหนังสือแห่งความจริง เพราะพระเจ้าทรงเป็นความจริง หากว่าเราอ่านพระคัมภีร์ เราก็กำลังอ่านหนังสือแห่งความจริง

ปัญหาก็คือว่า บางครั้งผู้คนก็เชื่อในสิ่งต่าง ๆ กัน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งใดเป็นความจริง?

หากคุณต้องการรู้ความจริง เพื่อที่จะรู้จักกับพระเจ้า ก็ขอที่จะไปยังพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์เริ่มต้นและจบลงด้วยความจริง เป็นหนังสือที่กล่าวเกี่ยวกับพระเจ้า พระราชกิจของพระองค์ และพระบุตรของพระองค์ คือ องค์พระเยซูคริสต์

พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่เขียนถึงเราทั้งหลาย

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือความจริง? เราจะเชื่อใจได้อย่างไร?

การที่จะรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์เป็นกระบวนการ เป็นสิ่งที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการศึกษาเรียนรู้ พระคัมภีร์จะกล่าวกับเราเอง หากว่าเราอ่านพระคัมภีร์ เราก็จะเห็นว่าหนังสือเล่มนี้ล้วนเกี่ยวข้อกับชีวิตของพวกเรา

พระเจ้าทรงเป็นผู้เขียนพระคัมภีร์ขึ้นมา โดยทรงเขียนผ่านทางมนุษย์ พระเจ้าทรงเรียกพวกเขาให้เขียนหนังสือขึ้นมา ซึ่งเมื่อรวมกันทั้งหมดจะเรียกว่า "พระคริสตธรรมคัมภีร์"

พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในเรื่องความชอบธรรม (2 ทิโมธี 3:16 THSV2011)

พระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า พระเจ้าทรงดลใจให้เขียนออกมา ไม่ได้มาจากมนุษย์

 

Gary Walthall

BSF Foreign Resident Ambassador

คำแบ่งปันสำหรับ Bible Study Fellowship pilot class III: Introduction to Colossians

เมื่อวันที่ 29/03/2010

แปลและสรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Possessions - Use Them or Lose Them? (Eng-Thai) 9

Storing Up Treasure in Heaven (6)

One of things that keep me going during the time of disappointment is thinking about the verse 33, thinking about how He will use the worldly materials for His glory to eternity.

Sell your possessions, and give to the needy. Provide yourselves with moneybags that do not grow old, with a treasure in the heavens that does not fail, where no thief approaches and no moth destroys." (Luke 12:33 ESV)

When we get to heaven and looking around, we may meet a person. He may come to you and say that "I came to the church and opened the door. And you gave me a warm welcome, and I got attracted. And I came to know Christ". We can't wait to see what we will have in our investments.

Jesus warns us against greed, against wanting more for ourselves that we need storing up treasure on earth. Instead, do not trust in good, but trust in God, who cares for his creation and his children.

Don't be so preoccupied with the temporary that you lose sight of the eternal. Instead, seek God's kingdom. Invest your time and your resources in that. That's where your heart will be and where your treasure will be on the last day.

17 As for the rich in this present age, charge them not to be haughty, nor to set their hopes on the uncertainty of riches, but on God, who richly provides us with everything to enjoy.
18 They are to do good, to be rich in good works, to be generous and ready to share,
19 thus storing up treasure for themselves as a good foundation for the future, so that they may take hold of that which is truly life.
(1 Timothy 6:17-19 ESV)

 


การสะสมสมบัติในสวรรค์ (6)

สิ่งหนึ่งที่ช่วยรักษาให้ข้าพเจ้ารับใช้ต่อไปได้ในยามท้อใจ ก็คือการที่ใคร่ครวญข้อ 33 คิดถึงว่าพระเจ้าจะทรงใช้ทรัพย์สมบัติในโลกนี้เพื่อพระสิริของพระองค์สำหรับนิรันดร์กาอย่างไร

จง​ขาย​ของ​ที่​ท่าน​มี​อยู่​และ​ทำ​ทาน จง​ทำ​ถุง​ใส่​เงิน​สำ​หรับ​ตน​ซึ่ง​ไม่​รู้จัก​เก่า คือ​มี​ทรัพย์​สม​บัติ​ไว้​ใน​สวรรค์​ซึ่ง​ไม่​รู้จัก​หมด​สิ้น ที่​ขโมย​ไม่​ได้​เข้า​มา​ใกล้ และ​ที่​ตัว​แมลง​ไม่​ได้​ทำ​ลาย (ลูกา 12:33 THSV2011)

เมื่อเราไปยังสวรรค์ และมองไปรอบ ๆ เราอาจจะพบบุคคลหนึ่ง เขาอาจจะมาหาคุณและกล่าวว่า "ผมได้มาที่คริสตจักร เปิดประตู และคุณก็ได้ต้อนรับผมอย่างอบอุ่น ผมรู้สึกประทับใจ และในที่สุดก็ได้มารู้จักพระคริสต์" เราคงจะไม่สามารถรอคอยที่จะเห็นถึงสิ่งที่เราจะได้รับจากการลงทุนทั้งหลายของเรา

พระเยซูทรงเตือนเราเรื่องความโลภ เรื่องการต้องการมากขึ้นเพื่อตัวเราเองจนเราต้องการที่จะสะสมสมบัติบนโลกนี้ แทนที่จะทำเช่นนั้น จงอย่าวางใจในทรัพย์สมบัติ แต่ให้วางใจในพระเจ้า ผู้ซึ่งห่วงใยสิ่งทรงสร้างและบุตรทั้งหลายของพระองค์

จงอย่าสาละวนกับสิ่งชั่วคราวจนกระทั่งคุณสูญเสียสายตาสำหรับสิ่งนิรันดร์ แต่จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า ลงทุนเวลาและสิ่งที่คุณมีสำหรับสิ่งนั้น นั่นแหละจะเป็นที่ที่ใจของคุณจะอยู่ด้วย และที่ที่ทรัพย์สมบัติของคุณจะอยู่ในวันสุดท้าย

17 ส่วน​พวก​ที่​มั่ง​คั่ง​ใน​ชี​วิต​นี้ จง​กำชับ​พวก​เขา​ไม่​ให้​เย่อ​หยิ่ง หรือ​มุ่ง​หวัง​ใน​ทรัพย์​ที่​ไม่​ยั่ง​ยืน แต่​ให้​มุ่ง​หวัง​ใน​พระ​เจ้า​ผู้​ประทาน​ทุก​สิ่ง​แก่​เรา​อย่าง​บริ​บูรณ์ เพื่อ​ให้​เรา​ได้​ชื่น​ชม
18 จง​กำ​ชับ​พวก​เขา​ให้​ทำ​การ​ดี ให้​ทำ​การ​ดี​มากๆ ให้​เอื้อ​เฟื้อ​เผื่อ​แผ่​และ​แบ่ง​ปัน
19 การ​ทำ​เช่น​นี้​เป็น​การ​สะ​สม​ทรัพย์​ที่​เป็น​ราก​ฐาน​อัน​ดี​สำ​หรับ​ตน​ใน​ภาย​หน้า เพื่อ​พวก​เขา​จะ​ยึด​มั่น​ใน​ชีวิต คือ​ชีวิต​ที่​แท้​จริง​นั้น (1 ทิโมธี 6:17-19 THSV2011)

 

Dr. Euan Dodds

Sermon on Luke 12: 13-34

Title "Possessions - Use Them or Lose Them?"

Sunday Morning Service at St George's Tron Church, 09/10/2011

 

NOTE:  If you find a mistake in my note, please contact me directly at ton@followhissteps.com. (For it may be from my own mistake due to my poor English listening skill.)

หมายเหตุ:  ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ





วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Possessions - Use Them or Lose Them? (Eng-Thai) 8

Storing Up Treasure in Heaven (5)

AW Tozer says this, "As best a thing as money often is, it yet can be transmuted into everlasting treasure. It can be converted into food for the hungry, and clothing for the poor; it can keep a missionary actively winning lost men to the light of the gospel and thus transmute itself into heavenly values. Any temporal possession can be turned into everlasting wealth. Whatever is given to Christ is immediately touched with immortality."

This is such a contrast, isn't it?

The rich man who possessed many things in this earth had nothing when he was gone. But believers, when they die, they will inherit the treasure stored up for them in the heaven.

3 Blessed be the God and Father of our Lord Jesus Christ! According to his great mercy, he has caused us to be born again to a living hope through the resurrection of Jesus Christ from the dead,
4 to an inheritance that is imperishable, undefiled, and unfading, kept in heaven for you,
5 who by God's power are being guarded through faith for a salvation ready to be revealed in the last time. (1 Peter 1:3-5 ESV)

The rich man made the best investment in his life, didn't he? But Jesus said, don't be the same. Send your money ahead. Use it now for the work of the kingdom because where your treasure is, there your heart be also.

The thing that we invest in, are the thing which occupy us. The money is so much magnetic. Our intention, our interest, and our prayer go to work that thing.

For example, if I plan to buy a gigantic tropical fish tank in the market, I go and buy it, and put the fish in the tank. It's likely that I spend a lot of time thinking about it. I will think about feeding it. I will be concerned with it. Nothing is more than just a tropical fish.

But if I invest money with the works of kingdom, there will be what I'm thinking about, praying about, and interested in. Where your treasure is, there your heart be also.

 


การสะสมสมบัติในสวรรค์ (5)

AW Tozer กล่าวไว้ว่า "สิ่งที่ดีที่สุดที่เงินมักจะทำได้ ก็คือ มันสามารถถูกแปรรูปไปเป็นทรัพย์สมบัติที่ไม่มีวันเสื่อมสลายได้ มันสามารถถูกแปลงให้เป็นอาหารสำหรับผู้ที่หิวโหย และเสื้อผ้าให้กับผู้ที่ยากจน; มันสามารถที่จะดูแลมิชชันนารีผู้หนึ่งให้ที่สามารถนำผู้ที่หลงหายไปยังแสงสว่างแห่งพระกิตติคุณอย่างร้อนรอน และดังนี้ จึงได้ดัดแปลงตัวมันเองให้เป็นคุณค่าในสวรรค์ได้ ทรัพย์สินชั่วคราวสามารถถูกเปลี่ยนให้เป็นความมั่งคั่งถาวร ส่งใดก็ตามที่ได้ถูกนำมาถวายให้พระคริสต์ ก็ได้รับการสัมผัสด้วยความอมตะในทันที"

นี่ช่างเป็นสิ่งที่ดูเหมือนขัดแย้งกันมิใช่หรือ คนรวยผู้ซึ่งครอบครองสิ่งของมากมายในโลกนี้ กลับไม่มีอะไรเลยเมื่อเขาจากไป แต่ผู้เชื่อทั้งหลาย เมื่อเขาตายไป เขาจะได้รับทรัพย์สมบัติที่ถูกเก็บเอาไว้เพื่อพวกเขาในสวรรค์

3 สาธุ​การ​แด่​พระ​เจ้า​พระ​บิดา​แห่ง​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา โดย​พระ​เมต​ตา​ล้น​เหลือ​ของ​พระ​องค์ ทรง​โปรด​ให้​เรา​บัง​เกิด​ใหม่ เข้า​ใน​ความ​หวัง​ที่​ยั่ง​
ยืน โดย​การ​คืน​พระ​ชนม์​ของ​พระ​เยซู​คริสต์
4 และ​เข้า​ใน​มร​ดก ซึ่ง​ไม่​เสื่อม​สลาย​และ​ไร้​มล​ทิน และ​ไม่​ร่วง​โรย ซึ่ง​ได้​เก็บ​รัก​ษา​ไว้​ใน​สวรรค์​แล้ว​เพื่อ​พวก​ท่าน
5 ผู้​ได้​รับ​การ​คุ้ม​ครอง​โดย​ฤทธิ์​เดช​ของ​พระ​เจ้า​ทาง​ความ​เชื่อ​ให้​เข้า​ใน​ความ​รอด ซึ่ง​พร้อม​จะ​ปรา​กฏ​ใน​วาระ​สุด​ท้าย (1 เปโตร 1:3-5 THSV2011)

ชายผู้มั่งมีผู้นั้นได้ลงทุนอย่างดีสำหรับชีวิตของเขามิใช่หรือ แต่พระเยซูตรัสว่า อย่าทำเช่นนั้น จงส่งเงินเหล่านั้นออกไป จงใช้มันในเวลานี้เพื่อกิจการของแผ่นดินของพระเจ้า เพราะว่าทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ทีไหน ใจของคุณก็อยู่ที่นั่นด้วย

สิ่งที่เราลงทุน คือสิ่งที่เราจะสาละวนอยู่ด้วย เงินเป็นเหมือนแม่เหล็ก ความตั้งใจ ความสนใจ และคำอธิษฐานของเราก็จะมุ่งไปสู่สิ่งนั้น

ตัวอย่างเช่น หากข้าพเจ้าวางแผนจะซื้อตู้ปลาสำหรับปลายักษ์จากประเทศเขตร้อนในตลาด ข้าพเจ้าไปตลาดและซื้อมันมา และใส่ปลาในตู้ และก็มีแนวโนมว่าข้าพเจ้าจะใช้เวลามากทีเดียวในการคิดเกี่ยวกับมัน ข้าพเจ้าจะคิดเกี่ยวกับว่าจะให้อาหารมันอย่างไร ข้าพเจ้าจะเป็นห่วงมัน ไม่มีอะไรมากไปกว่าแค่ปลาจากประเทศเขตร้อนตัวหนึ่ง

แต่หากข้าพเจ้าลงทุนเงินของข้าพเจ้าไปกับกิจการของแผ่นดินสวรรค์ กิจการเหล่านั้นก็จะเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าจะคิดถึง อธิษฐานเผื่อ และให้ความสนใจ ทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ที่ไหน ใจของคุณก็อยู่ที่นั่นด้วย

 

Dr. Euan Dodds

Sermon on Luke 12: 13-34

Title "Possessions - Use Them or Lose Them?"

Sunday Morning Service at St George's Tron Church, 09/10/2011

 

NOTE:  If you find a mistake in my note, please contact me directly at ton@followhissteps.com. (For it may be from my own mistake due to my poor English listening skill.)

หมายเหตุ:  ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Possessions - Use Them or Lose Them? (Eng-Thai) 7

Storing Up Treasure in Heaven (4)

32 "Fear not, little flock, for it is your Father's good pleasure to give you the kingdom.
33 Sell your possessions, and give to the needy. Provide yourselves with moneybags that do not grow old, with a treasure in the heavens that does not fail, where no thief approaches and no moth destroys.
34 For where your treasure is, there will your heart be also." (Luke 12:32-34 ESV)

Don't seek after these things. Seek after God's kingdom, and the rest will be added to you.

What does this mean? This means we can give fearlessly in faith.

I like to read about the people who give fearlessly in faith. There are many men that are so rich in this earth, but they choose to invest the treasure into the kingdom. They hugely successful in this world, and yet are far more interested in the next.

God is the Giver. He will give His kingdom to His children. He will give eternal life. Salvation is the gift. So His people are to be givers.

The rich fool kept all his properties in his barns. He never moved them or never mobilized them for any purpose. But Jesus said, don't do the same. Sell them. Use them. Give to the needy. Give to the poor, both the physical needy whom God cares, or and the poor spiritually who have not heard about the gospel of Christ and who have been preoccupied with this world because they know nothing about the next.

One reason is that it is an investment. Provide them to the money bag that will not grow old. By giving away the earthy money, you are investing the heavenly riches, money bag that will not grow old, treasure that will not fail, something that cannot be stolen or corroded.

 


การสะสมสมบัติในสวรรค์ (4)

32 ฝูง​แกะ​เล็ก​น้อย​เอ๋ย อย่า​กลัว​เลย เพราะ​ว่า​พระ​บิดา​ของ​พวก​ท่าน​ชอบ​พระ​ทัย​จะ​ประ​ทาน​แผ่น​ดิน​นั้น​ให้​แก่​ท่าน
33 จง​ขาย​ของ​ที่​ท่าน​มี​อยู่​และ​ทำ​ทาน จง​ทำ​ถุง​ใส่​เงิน​สำ​หรับ​ตน​ซึ่ง​ไม่​รู้จัก​เก่า คือ​มี​ทรัพย์​สม​บัติ​ไว้​ใน​สวรรค์​ซึ่ง​ไม่​รู้จัก​หมด​สิ้น ที่​ขโมย​ไม่​ได้​เข้า​มา​ใกล้ และ​ที่​ตัว​
แมลง​ไม่​ได้​ทำ​ลาย
34 เพราะ​ว่า​ทรัพย์​สม​บัติ​ของ​พวก​ท่าน​อยู่​ที่​ไหน ใจ​ของ​ท่าน​ก็​อยู่​ที่​นั่น​ด้วย (ลูกา 12:32-34 THSV2011)

อย่าแสวงหาสิ่งเหล่านี้ แต่จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ให้

นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่า เราสามารถให้ได้อย่างไม่กลัว ในความเชื่อ

ข้าพเจ้าชอบอ่านเกี่ยวกับผู้คนที่ให้ได้อย่างไม่กลัวในความเชื่อ มีคนมากมายที่มั่งมีในโลกนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะลงทุนเพื่อทรัพย์สมบัติในแผ่นดินสวรรค์ พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลในโลกนี้ และก็ยังมีความสนใจมากยิ่งกว่าสำหรับโลกหน้าของพวกเขา

พระเจ้าทรงเป็นผู้ให้ พระองค์ทรงประทานแผ่นดินของพระองค์ให้กับบุตรทั้งหลายของพระองค์ พระองค์จะประทานชีวิตนิรันดร์ ความรอดเป็นของประทาน ดังนั้น ประชากรของพระองค์จะต้องเป็นผู้ให้

คนมั่งมีที่โง่เขลานั้น ก็ได้เก็บทรัพย์สมบัติของเขาในยุ้งฉางของเขา เขาไม่เคยที่จะเคลื่อนย้ายมัน หรือใช้มันเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ แต่พระเยซูตรัสว่า อย่าทำเช่นนั้น จงขายทรัพย์สมบัติ จงใช้มัน เพื่อให้กับผู้ที่ขัดสน ให้กับผู้ยากจน ทั้งผู้ที่ยากจนฝ่ายร่างกายซึ่งพระเจ้าทรงห่วงใย และผู้ที่ยากจนฝ่ายจิตวิญญาณผู้ซึ่งไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพระกิตติคุณของพระคริสต์ และถูกครอบงำด้วยโลกนี้ เพราะพวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกหน้า

เหตุผลหนึ่ง ก็คือ นี่เป็นการลงทุน จงจัดเตรียมทรัพย์สินเหล่านั้นไว้ในกระเป๋าเงินที่ไม่มีวันเก่า

ด้วยการให้ทรัพย์สินเงินทองในโลกนี้ออกไป คุณก็ได้ลงทุนความมั่งมีในสวรรค์ กระเป๋าเงินที่ไม่มีวันทรุดโทรม ทรัพย์สมบัติที่ไม่มีวันล้มเหลว สิ่งที่จะไม่สามารถถูกโขมย หรือถูกกัดกร่อนได้เลย

Dr. Euan Dodds

Sermon on Luke 12: 13-34

Title "Possessions - Use Them or Lose Them?"

Sunday Morning Service at St George's Tron Church, 09/10/2011

 

NOTE:  If you find a mistake in my note, please contact me directly at ton@followhissteps.com. (For it may be from my own mistake due to my poor English listening skill.)

หมายเหตุ:  ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Possessions - Use Them or Lose Them? (Eng-Thai) 6

Storing Up Treasure in Heaven (3)

25 And which of you by being anxious can add a single hour to his span of life?
26 If then you are not able to do as small a thing as that, why are you anxious about the rest? (Luke 12:25-26 ESV)

Do not worry! God cares for His creation, and He cares for His children. Your father knows that you need them. Will a father see his children hungry and will not feed them? Will a father see his children unclothed and will not cloth them? If God has already given us eternal lives, can we not trust in Him that He will provide us what we need in our lives?

So we don't need to seek after these things. Instead, we are to seek His Kingdom.

Instead, seek his kingdom, and these things will be added to you. (Luke 12:31 ESV)

This is the key message. His kingdom continues to grow, endures from generation to generation, and never be destroyed.

At the end of the days I, Nebuchadnezzar, lifted my eyes to heaven, and my reason returned to me, and I blessed the Most High, and praised and honored him who lives forever, for his dominion is an everlasting dominion, and his kingdom endures from generation to generation. (Daniel 4:34 ESV)

If you look around the tall buildings, and see the famous people, one day they will be all gone. But the kingdom of God will continue to grow and endure forever.

Seek first the kingdom, which is eternal, lasting, and infinite!

Don't be so preoccupied with life that you cannot dwell in eternity.

Don't be so tired or worried about your home that you have no time to think about the eternal dwelling and the mansion Christ has prepared for you.

Don't be so caught up with earthly pleasure that you have no time to anticipate the eternal pleasure at God's right hand, which is the promise to us.

 


การสะสมสมบัติในสวรรค์ (3)

25 มี​ใคร​ใน​พวก​ท่าน​โดย​ความ​กระ​วน​กระ​วาย​สา​มารถ​ต่อ​อายุ​ของ​ตน​ให้​ยืน​นาน​อีก​นิด​หนึ่ง​ได้?
26 เพราะ​ฉะ​นั้น​ถ้า​สิ่ง​เล็ก​น้อย​ยัง​ทำไม่​ได้ ท่าน​ยัง​จะ​กระ​วน​กระ​วาย​ถึง​สิ่ง​อื่น​ทำ​ไม​อีก​เล่า? (ลูกา 12:25-26 THSV2011)

อย่ากระวนกระวาย! พระเจ้าทรงห่วงใยสิ่งทรงสร้างของพระองค์ และทรงห่วงใยบุตรทั้งหลายของพระองค์ พระบิดาของคุณทรงทราบว่าคุณต้องการสิ่งเหล่านั้น

เมื่อบิดาคนหนึ่งเห็นบุตรทั้งหลายของเขาหิว แล้วจะไม่ให้อาหารกับพวกเขาหรือ? เมื่อบิดาคนหนึ่งเห็นบุตรทั้งหลายของเขาเปลือยกายจะไม่สวมเสื้อผ้าให้กับพวกเขาหรอกหรือ? หากพระเจ้าผู้ซึ่งได้ทรงประทานชีวิตนิรันดร์กับเราแล้ว เราจะไม่สามารถวางใจในพระองค์ว่าจะทรงจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นกับเราในชีวิตได้หรือ?

ดังนั้น เราไม่จำเป็นที่จะต้องแสวงหาสิ่งเหล่านี้ แทนที่จะแสวงหาสิ่งเหล่านั้น เราจำเป็นที่จะต้องแสวงหาอาณาจักรของพระองค์

แต่​จง​แสวง​หา​แผ่น​ดิน​ของ​พระ​เจ้า แล้ว​พระ​องค์​จะ​ทรง​เพิ่ม​เติม​สิ่ง​เหล่า​นี้​ให้ (ลูกา 12:31 THSV2011)

นี่คือข้อความหลัก อาณาจักรของพระเจ้าจะเติบโตต่อไป และดำรงอยู่​ทุก​ชั่ว​อายุ และจะไม่มีวันถูกทำลายได้เลย

เมื่อ​สิ้น​สุด​วาระ​นั้น​แล้ว ตัว​เรา​เนบู​คัด​เนส​ซาร์​ก็​แหงน​หน้า​ดู​ฟ้า​สวรรค์ และ​จิต​ใจ​ของ​เรา​ก็​กลับ​คืน​เป็น​ปกติ และ​เรา​ก็​ร้อง​สาธุ​การ​แด่​พระ​ผู้​สูง​สุด​นั้น และ​สรร​เสริญ​ถวาย​พระ​เกียรติ​แด่​พระ​องค์​ผู้​ดำ​รง​อยู่​เป็น​นิตย์ เพราะ​การ​ปก​ครอง​ของ​พระ​องค์​เป็น​การ​ปก​ครอง​นิรันดร์ และ​ราช​อา​ณา​จักร​ของ​พระ​องค์​ดำ​รง​อยู่​ทุก​ชั่ว​อายุ (ดาเนียล 4:34 THSV2011)

หากคุณดูตึกสูง ๆ หรือผู้ที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ วันหนึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะสูญสิ้นไป แต่อาณาจักรของพระเจ้าจะเติบโตต่อไป และดำรงอยู่เป็นนิตย์

จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า ซึ่งเป็นแผ่นดินที่เป็นนิรันดร์ ดำรงอยู่ตลอดกาล ไม่มีที่สิ้นสุด

อย่ามีใจหมกมุ่นกับชีวิตนี้ ที่คุณไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ในนิรันดร์กาล

อย่าเหน็ดเหนื่อยหรือวิตกกังวลเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยมาก จนกระทั่งคุณไม่มีเวลาที่จะคิดเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยนิรันดร์ และคฤหาสน์ที่พระคริสต์ได้เตรียมเพื่อคุณ

อย่ายึดติดกับความพึงพอใจฝ่ายโลกมาก จนกระทั่งคุณไม่มีเวลาที่จะคาดหวังความพึงพอใจนิรันดร์เมื่อคุณได้อยู่ที่พระหัตถ์ขวาของพระเจ้า ซึ่งเป็นสัญญาสำหรับเรา

Dr. Euan Dodds

Sermon on Luke 12: 13-34

Title "Possessions - Use Them or Lose Them?"

Sunday Morning Service at St George's Tron Church, 09/10/2011

 

NOTE:  If you find a mistake in my note, please contact me directly at ton@followhissteps.com. (For it may be from my own mistake due to my poor English listening skill.)

หมายเหตุ:  ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ