และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน (ฟิลิปปี 2:8)
พระองค์ทรงสละจากเบอร์ 1 ในสวรรค์ เป็นเบอร์สุดท้ายในโลกแห่งนี้ ให้คนแกล้งทรมาน
สมัยนั้น กางเขนไม่ได้เป็นเครื่องหมายถึงความสวยงาม แต่เมื่อพูดถึงกางเขน คนจะนึกถึงหลักประหาร ซึ่งไม่ประนีประนอม ไม่ละเว้น ทรมานนักโทษกลางแดด กลางลม กลางฝน เป้าหมายอย่างเดียวคือ "ตาย" และปฏิบัติตามเป้าหมายอย่างเด็ดขาด สิ่งที่ผู้ที่ถูกประหารทำได้ก็คือตื่นและหลับ ค่อย ๆ ทรมานจนตายลงอย่างช้า ๆ ถ้าไม่มีผู้ใดนำร่างออกจากกางเขนนั้น ซากศพก็จะถูกกินโดยแร้งจนหมดสิ้น
"ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความเจ็บไข้ และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน (อิสยาห์ 53:3)
ผู้นำศาสนาก็มองพระคริสต์เป็นมนุษย์ผู้โอ้อวดที่กำลังจะประสบความพ่ายแพ้
พวกสาวกก็มองว่าพระองค์ทรงเป็นผู้นำซึ่งกำลังจะตาย ทุกอย่างกำลังจะจบ
พระองค์ทรงทราบว่าในที่สุด พระองค์จะต้องอยู่ในสภาพต่ำต้อยเช่นนี้ ไม่มีใครเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
เมื่อพระองค์ทรงอธิษฐานกับพระเจ้า จะทรงใช้คำว่า "พระบิดา" แต่มีเพียงครั้งเดียว ที่พระองค์ทรงใช้คำว่า "พระเจ้า" นั่นคือที่กางเขนนั้น เพราะพระองค์ทรงถูกตัดขาดจากพระภาคอื่นของพระเจ้า จนพระองค์เรียกพระบิดาว่าพระบิดาไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงรับบาป ทรงเต็มไปด้วยบาปของมนุษย์
ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า "เอลี เอลี ลามาสะบักธานี" แปลว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" (มัทธิว 27:46)
น้ำพระทัยแบบพระองค์ ในที่สุด ต้องตายแบบโดดเดี่ยว พระเจ้าไม่ทรงรับ สาวกก็ทอดทิ้ง โจรบนกางเขนก็ยังต่อว่า พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าน้ำพระทัยของพระองค์จะต้องพบสภาพนี้? พระองค์ทรงทราบดี
พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นความแช่งสาปแห่งธรรมบัญญัติ โดยการที่พระองค์ทรงยอมถูกแช่งสาปเพื่อเรา (เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ทุกคนที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกสาปแช่ง) (กาลาเทีย 3:13)
คนยิวถือว่าพระเยซูคริสต์ทรงถูกสาบแช่ง ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับพระเจ้าโดนตัดขาดอย่างสิ้นเชิง ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากคำแช่ง นี่คือน้ำใจแบบพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงสละสิ้นอย่างแท้จริง ที่พระองค์ทรงยอมสละเช่นนี้ เพราะทรงรักพระบิดา รักอย่างมาก
เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 3:16)
พระบุตรทรงทราบว่าพระเจ้าทรงรักโลก ไม่อยากให้มนุษย์ในโลกพบกับความพินาศ จึงทรงอยากให้พระบิดาสมหวัง ด้วยความรักที่มีต่อพระบิดา จึงได้ทรงยอมสละ ยอมที่จะพบความยากลำบาก และพระองค์ก็ทรงรักเราที่ไม่คู่ควรด้วยเช่นกัน
เราอาจไม่ต้องสละมากเช่นพระองค์ บางครั้งเพียงเล็กน้อย เพียงแค่สีหน้าของคนบางคนก็กระตุ้นทำให้เราอยากที่จะชิงดี อยากที่จะทำให้เขาเจ็บแสบ เพราะว่าแม้ยอมที่จะไปขอโทษเขาเพื่อจะนำการคืนดีแม้เราจะไม่ผิด แต่เขากลับไม่เห็นค่า
ที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงเห็นอาการเช่นกัน แต่พระองค์ทรงมองข้ามไป สายพระเนตรของพระองค์มิได้มองความไม่น่ารัก มิได้ทรงมองความละโมบของยูดาสหรือความเห็นแก่ตัวของสาวก มิได้ทรงมองที่การเยาะเย้ยโอหังอวดดีของผู้นำทางศาสนา แต่ทรงมองที่พวกเขา มองเข้าไปในพวกเขา และทรงรักพวกเขา
น้ำใจแบบพระคริสต์ มองข้ามความไม่น่ารัก มองที่ตัวบุคคล และรักคนเหล่านั้น
พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา ทรงเห็นทุกอย่างว่าเราคิดเช่นไร ทรงทราบท่าทีที่เห็นแก่ตัวของเรา เห็นถึงการที่เราทำให้ผู้อื่นเสียใจ แต่ก็ทรงทนอยู่ในชีวิตของเรา เพราะทรงรักเรา
แม้ว่าทรงกำลังพยายามสร้างเราสู่ความไพบูลย์ แต่วันหนึ่ง บางคนอาจจะทำลายสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมาหมดสิ้น แม้กระนั้นพระองค์ก็ยังทรงอยู่ในเรา ทรงมีความอดทนจนถึงที่สุด
วันที่เราทิ้งพระองค์ไป พระองค์มิได้ทรงพรากไปจากเรา ทรงทนอยู่ในเรา นี่เป็นพระคุณ
สิ่งที่คนอื่นทำกับเรา ยังน้อยกว่าสิ่งที่เราทำกับพระวิญญาณเสียอีก
แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา (โรม 5:8)
พระเยซูคริสต์จึงทรงสอนเราว่า
38 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ตาแทนตา และฟันแทนฟัน
39 ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย
40 ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาล เพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาเสียด้วย
41 ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร
42 ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่าน ก็จงให้อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน (มัทธิว 5:38-42)
17 อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ใครๆ ก็เห็นว่าดี
18 ถ้าเป็นได้ คือเท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน (โรม 12:17-18)
อ. ชัยราช กิจเกื้อกูล (พี่ด้องYFC)
คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน" ตอนที่ 2
ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา
เมื่อคืนวันที่ 24/07/2010
หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ