And as Moses lifted up the serpent in the wilderness, so must the Son of Man be lifted up, 15 that whoever believes in him may have eternal life. 16 For God so loved the world, that he gave his only Son, that whoever believes in him should not perish but have eternal life. 17 For God did not send his Son into the world to condemn the world, but in order that the world might be saved through him. 18 Whoever believes in him is not condemned, but whoever does not believe is condemned already, because he has not believed in the name of the only Son of God.
Many people are new to Bethlehem. Some simply stop by to see what's going on. Some have little or no experience with what we mean by preaching. I think it will help you listen to this message (and others) if I say a word about preaching.
What we mean by preaching is expository exultation.
Preaching As Expository Exultation
Expository means that preaching aims to exposit, or explain and apply, the meaning of the Bible. Every sermon explains and applies the Bible. The reason for this is that the Bible is God's word, inspired, infallible, profitable—all sixty-six books of it. The preacher's job is to minimize his own opinions and deliver the truth of God. Therefore, it is mainly Bible exposition—explanation and application.
And the preacher's job is to do that in a way that enables us to see that the points he is making actually come from the Bible. If they come from the Bible and you can't see that they come from the Bible, your faith will rest on man and not God.
The aim of this exposition is to help you eat and digest some biblical truth that will make your spiritual bones more like steel, and double the capacity of your spiritual lungs, and make the eyes of your heart dazzled with God's greatness, and awaken the capability of your soul for kinds of spiritual enjoyment you didn't even know existed.
Preaching is also exultation—expository exultation. This means that the preacher does not just explain what's in the Bible, and the people do not simply understand what he explains, but the preacher and the people exult over what is in the Bible as it is being explained and applied.
Preaching As Worship
Preaching does not come after worship in the order of the service. Preaching is worship. My job is not done if I only see truth and show it to you. The devil could do that—for his own devious reasons. My job is to see the glory of the truth and to savor it and exult over it as I explain it to you and apply it for you. That's one of the differences between a lecture and a sermon.
Preaching is not the totality of the church. And if all you have is preaching, you don't have the church. A church is a body of people who minister to each other. Part of what preaching does is equip us for that. God has created the church, so that she flourishes through preaching. That's why Paul gave young pastor Timothy one of the most serious, exalted charges in all the Bible in 2 Timothy 4:1–2
If you are used to a twenty-minute, immediately practical, relaxed talk, the understanding of preaching that I just described doesn't lead there. I won't preach twenty minutes but twice that long; I do not aim to be immediately practical but eternally helpful; and the condition of my soul is not relaxed but standing vigilantly on the precipice of eternity speaking to people any of whom this week could go over the edge.
By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org
14 โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น
15 เพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์"
16 พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น
18 คนที่วางใจในพระบุตรจะไม่ถูกพิพากษา ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า (ยอห์น 3:14-18 THSV2011)
หลายคนอาจจะใหม่ต่อคริสตจักรเบธเลเฮม บางคนอาจจะแวะมาดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง บางคนอาจจะมีประสบการณ์เล็กน้อยหรือไม่มีเลยกับสิ่งที่เราตั้งแต่จะเทศนา ข้าพเจ้าคิดว่านี่อาจจะช่วยให้คุณเข้าใจข้อความนี้ (และอื่น ๆ) หากข้าพเจ้าจะกล่าวเล็กน้อยเกี่ยวกับการเทศนา
สิ่งที่เราตั้งใจที่จะสื่อผ่านทางการเทศนา คือ ความปีติยินดีผ่านทางการอธิบาย (expository exultation)
การเทศนาในรูปแบบความปีติยินดีผ่านทางการอธิบาย
ผ่านทางการอธิบาย (expository) หมายถึงว่า การเทศนานั้นมุ่งเน้นที่จะอธิบายความหมายของพระคัมภีร์อย่างละเอียด หรือก็คืออธิบายและประยุกต์ ทุกคำเทศนาจะอธิบายและประยุกต์ประคัมภีร์ เหตุผลสำหรับสิ่งนี้ก็คือพระคัมภีร์ทั้ง 66 เล่มเป็นพระวจนะของพระเจ้า ได้รับการดลใจ ไม่มีผิดพลาด เป็นประโยชน์ งานของผู้เทศนาก็คือการลดความคิดเห็นของเขาเอง และถ่ายทอดความจริงของพระเจ้า ดังนั้น นี่จึงเป็นการอธิบายอย่างละเอียด -- อธิบายและประยุกต์
และงานของผู้เทศนาที่จะต้องทำ คือทำในวิถีทางที่จะช่วยทำให้เราได้เห็นว่าประเด็นต่าง ๆ ที่เขากำลังยกขึ้นมานั้นมาจากพระคัมภีร์อย่างแท้จริง ถ้าหากว่าประเด็นเหล่านั้นมาจากพระคัมภีร์ และคุณไม่สามารถเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นมาจากพระคัมภีร์ ความเชื่อของคุณจะวางอยู่บนมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า
จุดมุ่งหมายของการอธิบายอย่างละเอียดนี้ คือ เพื่อช่วยให้คุณรับประทานและย่อยความจริงบางประการตามพระคัมภีร์ ที่จะทำให้กระดูกฝ่ายวิญญาณของคุณเหมือนเหล็กกล้ามากขึ้น และช่วยเพิ่มความจุของปอดฝ่ายวิญญาณของคุณเป็นสองเท่า และทำให้ตาของใจของคุณประกายด้วยความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และปลุกความสามารถของจิตใจของคุณสำหรับความเพลิดเพลินฝ่ายวิญญาณ ซึ่งคุณไม่รู้แม้แต่ว่าสิ่งนี้มีอยู่
การเทศนาเป็นความปีติยินดี (exultation) เช่นกัน -- ความปีติยินดีผ่านทางการอธิบาย นี่หมายถึงว่าผู้เทศนาไม่ได้เพียงแค่อธิบายสิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์ และผู้คนก็จะไม่เพียงแค่เข้าใจถึงสิ่งที่เขาอธิบาย แต่ผู้เทศนาและผู้คนจะร่วมกันปีติยินดีเหนือสิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์ ในขณะที่พระคัมภีร์ได้รับการอธิบายและประยุกต์
การเทศนาในรูปแบบการนมัสการ
การเทศนาไม่ได้มาตามหลังการนมัสการในลำดับของการร่วมนมัสการ การเทศนาเป็นการนมัสการ งานของข้าพเจ้าไม่ได้รับการทำหากข้าพเจ้าเพียงแค่เห็นความจริงและแสดงสิ่งนั้นแก่คุณ มารสามารถทำสิ่งนี้ได้ เพื่อเหตุผลซึ่งหลอกลวงของเขาเอง งานของข้าพเจ้าคือการเห็นสง่าราศีของความจริง และสัมผัสรสชาติของมัน และปีติยินดีกับมัน ในขณะที่ข้าพเจ้าอธิบายให้กับคุณ และประยุกต์สำหรับคุณ นั่นเป็นหนึ่งในความแตกต่างทั้งหลายระหว่างการบรรยาย และการเทศนา
การเทศนา ไม่ใช่เป็นทั้งหมดของคริสตจักร และหากสิ่งที่คุณมีทั้งหมดคือการเทศนา คุณไม่มีคริสตจักร คริสตจักรคือกายของผู้คนซึ่งรับใช้ซึ่งกันและกัน ส่วนของสิ่งที่การเทศนาทำก็คือการจัดเตรียมเราสำหรับสิ่งนั้น
พระเจ้าทรงสร้างคริสตจักร เพื่อที่คริสตจักรจะเจริญรุ่งเรื่องผ่านทางการเทศนา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่อาจารย์เปาโลมอบหนึ่งในหน้าที่ที่เคร่งครัดและสูงส่งที่สุดให้แก่ศิษยาภิบาลหนุ่มที่ชื่อทิโมธีใน 2 ทิโมธี 4:1-2
1 ข้าพเจ้าขอเตือนท่านอย่างจริงจังเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและพระเยซูคริสต์ผู้จะทรงพิพากษาคนเป็นและคนตาย และขอเตือนโดยอ้างถึงการมาปรากฏของพระองค์และราชอาณาจักรของพระองค์ว่า
2 จงประกาศพระวจนะ... (2 ทิโมธี 4:1-2 THSV2011)
หากคุณเคยชินกับการพูดคุยที่ผ่อนคลาย ที่นำไปใช้ได้โดยทันที เพียงแค่สัก 20 นาที ความเข้าใจของการเทศนาที่ข้าพเจ้าเพิ่งได้บรรยายก็จะไม่นำไปสู่สิ่งนั้น ข้าพเจ้าจะไม่เทศนาเพียงแค่ 20 นาที แต่จะยาวเป็น 2 เท่า; ข้าพเจ้าจะไม่มุ่งหมายที่จะให้นำไปใช้ได้ทันที แต่จะเป็นประโยชน์อย่างนิรันดร์; และสถานะของจิตใจของข้าพเจ้าจะไม่ผ่อนคลาย แต่จะยืนเฝ้าดูอย่างจดจ่อบนหน้าผาแห่งนิรันดร์กาล กล่าวต่อผู้คนที่อาจมีบางคนในนั้นสามารถตกลงจากขอบหน้าผาได้ในอาทิตย์นี้
ศจ. ดร. จอห์น ไพเพอร์
คำเทศนาในชุด "พระกิตติคุณจอห์น"
หัวข้อ "พระเจ้าทรงรักโลก ตอนที่ 2"
เมื่อวันที่ 10/05/2009
By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org
For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/sermons/god-so-loved-the-world-part-2
หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น