"For God so loved the world, that he gave his only Son. . ." Muslims and others stumble over the idea of God having a Son. So let me say a few things that are crystal clear in John's Gospel, even though mysterious. God did not have sexual relations with Mary in order to have a Son. Turn back to chapter 1 where John gave us our basic understanding of the Son of God.
Then look at verse 14: "And the Word became flesh and dwelt among us, and we have seen his glory, glory as of the only Son from the Father." This verse clarifies three things for us.
First, the Word of God referred in verse 1 is the Son of God. "The Word became flesh and . . . we have seen his glory, glory as of the only Son . . . ."
Second, God, with whom the Word was, and from whom he is distinct, is God the Father. He is "the only Son from the Father." "In the beginning was the Word, and the
Word was with God." He was with God the Father.
Third, therefore, Jesus is the Son of God not because the Father had sex with Mary, but because the Son has always existed, without beginning, as "the radiance of the glory of God and the exact imprint of his nature" (Hebrews 1:3
By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org
4. พระบุตร
พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์... (ยอห์น 3:16 THSV2011)
มุสลิมและผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ ได้สะดุดกับความคิดที่ว่า พระเจ้าทรงมีพระบุตร ดังนั้นจึงขอให้ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงบางสิ่งที่ชัดเจนอย่างยิ่งในพระกิตติคุณยอห์น แม้ว่าจะล้ำลึกก็ตาม พระเจ้าไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับมารีย์เพื่อที่จะมีพระบุตร ขอที่เราจะย้อนกลับไปที่บทที่ 1 ที่ซึ่งยอห์นได้ให้ความเข้าใจพื้นฐานแก่เราเกี่ยวกับพระบุตรของพระเจ้า
ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า (ยอห์น 1:1 THSV2011)
ดังนั้นในที่นี้ ยอห์นได้แนะนำเราให้รู้จักกับพระวาทะ และได้บอกเราถึง 3 สิ่งเกี่ยวกับพระองค์
สิ่งแรก คือ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
...และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า (ยอห์น 1:1 THSV2011)
สิ่งที่สอง คือ พระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้า และดังนั้นจึงทรงแยกกันชัดเจนจากพระเจ้า
...พระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า... (ยอห์น 1:1 THSV2011)
และสิ่งที่สาม คือ พระองค์ทรงดำรงอยู่เสมอ และไม่เคยที่จะเกิดขึ้นมา
ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่... (ยอห์น 1:1 THSV2011)
เมื่อเราดูที่ข้อ 14
พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง (ยอห์น 1:14 THSV2011)
ข้อนี้ได้ให้ความกระจ่างแก่เรา 3 สิ่ง
สิ่งแรก คือ พระวาทะของพระเจ้าที่กล่าวถึงในข้อ 1 คือพระบุตรของพระเจ้า
พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และ...เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียว... (ยอห์น 1:14 THSV2011)
สิ่งที่สอง คือ พระเจ้า ผู้ซึ่งพระวาทะทรงเป็น และผู้ซึ่งพระวาทะทรงแยกอย่างชัดเจน คือพระเจ้าพระบิดา พระวาทะทรงเป็น "พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา"
ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า... (ยอห์น 1:1 THSV2011)
พระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้าพระบิดา
สิ่งที่สาม ด้วยเหตุนี้ พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะว่าพระบิดาได้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับมารีย์ แต่เป็นเพราะว่าพระบุตรทรงดำรงอยู่เสมอ ไม่มีจุดเริ่มต้น
พระบุตรทรงเป็นแสงสว่างแห่งพระสิริของพระเจ้า ทรงมีแก่นแท้เดียวกับพระเจ้า ทรงค้ำจุนสิ่งทั้งปวงไว้ด้วยพระวจนะอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชำระบาปทั้งหลายแล้ว ก็ประทับเบื้องขวาของพระเจ้าสูงสุด (ฮีบรู 1:3 THSV2011)
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ และพระบิดาก็ทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ และร่วมกับพระเจ้าพระวิญญาณ ทั้งสามองค์ทรงเป็นพระเจ้าเดียว ธรรมชาติของพระเจ้าเดียวกัน มีแก่นแท้เดียว และ 3 พระบุคคล ในความสัมพันธ์อันนิรันดร์ สมบูรณ์แบบ และเปี่ยมด้วยความสุข
ศจ. ดร. จอห์น ไพเพอร์
คำเทศนาในชุด "พระกิตติคุณจอห์น"
หัวข้อ "พระเจ้าทรงรักโลก ตอนที่ 1"
เมื่อวันที่ 03/05/2009
By John Piper. © DesiringGod. Website: desiringGod.org
For original passage, including audio or video files, please visit http://www.desiringgod.org/resource-library/sermons/god-so-loved-the-world-part-1
หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น