วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความหมายที่แท้จริงของวันคริสตมาส (5/5)

2. วันคริสตมาส เป็นวันที่พระเจ้าทรงประทานความรอดให้แก่มนุษย์ (4)

ขณะที่พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์ตรัส 7 ประโย ประโยคที่ทรงรู้สึกถึงความโหดร้ายที่สุด คือ

ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า "เอลี เอลี ลามาสะบักธานี" แปลว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" (มัทธิว 27:46)

พระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ เป็นพระเจ้าแห่งความรัก และเป็นพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์ ความรักไม่ใช่เรื่องคำพูด แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ พระองค์จะมีความสัมพันธ์กับคนที่บริสุทธิ์เท่านั้น และพระหัตถ์ของพระบิดาไม่เคยห่างจากพระบุตร เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์

แต่วันนั้น ที่พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน ความบาปของมนุษย์ทั่วโลกตกอยู่ที่พระองค์ เป็นเหตุให้พระบิดาไม่สามารถโอบกอดพระเยซูคริสต์ได้ เป็นเหตุให้เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ สารภาพความผิดบาปแด่พระองค์ พระเจ้าก็ทรงโอบกอดเราได้

เสื้อผ้าที่สกปรก ทำอย่างไรจึงจะสะอาด? สิ่งที่จะทำให้เสื้อผ้าสะอาดได้ ย่อมต้องมาจากสิ่งที่อยู่นอกตัวมัน คือ น้ำที่สะอาด และเมื่อซักเสร็จ เสื้อผ้าก็สะอาด แต่น้ำก็กลับสกปรกและถูกทิ้ง

"เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์" (2โครินธ์ 5:21)

พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จมาในวันคริสตมาสเพื่อรับโทษความผิดบาปของมวลมนุษย์ และพระองค์ทรงฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่สาม

ทุกคนที่ถ่อมใจยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเยซูคริสต์ ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย และทรงยกโทษความผิดบาปให้แก่เรา

พระเจ้าทรงรักเราทุกคน และได้ทรงประทานพระเยซูคริสต์มาให้แก่เรา เพื่อประทานความรอดให้แก่เราทุกคน เราทุกคนถูกสร้างขึ้นมาให้ต้องการพระเจ้า ท่านสามารถสัมผัสพระเจ้าได้เพียงแค่ท่านเปิดใจของท่าน

มีคนบาปสองประเภท ได้แก่

  1. คนบาปที่ยอมรับว่าตัวเองบาป
  2. คนบาปที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี

10 "มีสองคนขึ้นไปอธิษฐานในบริเวณพระวิหาร คนหนึ่งเป็นพวกฟาริสีและคนหนึ่งเป็นพวกเก็บภาษี
11 คนฟาริสีนั้นยืนนึกในใจของตน อธิษฐานว่า 'ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์โมทนาขอบพระคุณของพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งเป็นคนโลภ คนอธรรม และคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้
12 ในสัปดาห์หนึ่งข้าพระองค์ถืออดอาหารสองหน และของสารพัดซึ่งข้าพระองค์หาได้ข้าพระองค์ได้เอาสิบชักหนึ่งมาถวาย'
13 ฝ่ายคนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่แหงนดูฟ้า แต่ตีอกของตนว่า 'ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดพระเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด'
14 เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปยังบ้านของตนก็นับว่าชอบธรรม มิใช่อีกคนหนึ่งนั้น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ได้ถ่อมตัวลงจะต้องถูกยกขึ้น"

เพียงแค่ท่านเปิดใจ ความรอดของพระเจ้าก็มาถึงท่านได้เป็น อิสระเป็นของท่านในการเลือก ว่าจะตอบสนองต่อความรอดที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เราในวันคริสตมาสหรือไม่


อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

การเทศนาในเทศกาลคริสตมาส ที่จังหวัดภูเก็ต

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความหมายที่แท้จริงของวันคริสตมาส (4/5)

2. วันคริสตมาส เป็นวันที่พระเจ้าทรงประทานความรอดให้แก่มนุษย์ (3)

การให้อภัยของพระเจ้า พระองค์ทรงประทานให้ฟรี ๆ ไม่ได้ เพราะความบาปจะต้องได้รับการลงโทษ และค่าจ้างของความบาปคือความตาย

มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเดียวในโลก ที่เมื่อทำความผิดบาปแล้วจะต้องรับผิดชอบ

สุนัขตัวผู้ทำสุนัขตัวเมียท้อง ก็คงจะไม่ต้องรับผิดชอบ หรือคงจะไม่มีใครเรียกร้องความรับผิดชอบชากมัน แต่ถ้าผู้ชายทำผู้หญิงท้อง ย่อมจะต้องรับผิดชอบ

ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงประทานวันคริสตมาส บั้นปลายของมนุษย์ทุกคนจะต้องตกในไฟนรก แต่พระเจ้าไม่ประสงค์ให้ใครพินาศเลย พระองค์จึงได้ทรงประทานพระเยซูคริสต์ลงมายังโลกนี

มนุษย์ทำบาปด้วยร่างกาย การชดใช้จะต้องใช้มนุษย์คนหนึ่ง ที่มีร่างกายของมนุษย์ แต่ไม่มีบาป นั่นคือการที่พระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์ ให้เสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์

พระคัมภีร์เดิมได้กล่าวไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมชายคนหนึ่ง ที่มีลักษณะชีวิตตรงตามลักษณะต่าง ๆ และชายผู้นี้จะเป็นผู้ที่ไถ่บาปให้แก่มนุษย์ และเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเสด็จมาในโลกนี้ ทุกคำทำนายสำเร็จทั้งสิ้นในชีวิตของพระองค์

พระเยซูคริสต์เป็นใคร? ถ้าเราอยากรู้ เราจะต้องฟังจากพระองค์เอง

25 พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราได้บอกท่านทั้งหลายแล้วและท่านไม่เชื่อ สิ่งซึ่งเราได้กระทำในพระนามพระบิดาของเรา ก็เป็นพยานให้แก่เรา
26 แต่ท่านทั้งหลายไม่เชื่อเพราะท่านมิได้เป็นแกะของเรา
27 แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา และเรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นตามเรา
28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย และจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้
29 พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เราเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง และไม่มีผู้ใดอาจชิงแกะนั้นไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาของเราได้
30 เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"
31 พวกยิวจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาอีกจะขว้างพระองค์ให้ตาย
32 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "เราได้สำแดงให้ท่านเห็นการดีหลายประการของพระบิดาของเรา ท่านทั้งหลายหยิบก้อนหินจะขว้างเราให้ตาย เพราะการกระทำข้อใดเล่า"
33 พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า "เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า" (ยอห์น 10:25-33)

พระเยซูคริสต์ตรัสว่า พระองค์กับพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และโลก เป็นหนึ่งเดียวกัน และคนที่กล้ากล่าวเช่นนี้ มีข้อสรุปเพียงแค่ 2 อย่าง คือ เขาเป็นคนบ้า หรือ เขาเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

แล้วคุณคิดว่าพระองค์เป็นคนบ้าหรือไม่? ปีนี้ ค.ศ. 2010 เป็นปีสากลที่ใช้กันทั่วโลก มีที่มาจากพระองค์ การฉลองคริสตมาสก็มีกันทั่วโลก เฉลิมฉลองการประสูติของพระองค์ ไม้กางเขนเป็นเครื่องหมายที่ใช้ตามโรงพยาบาล ก็เป็นเครื่องหมายของพระองค์

ไม้กางเขนเป็นหนึ่งในเครื่องมือประหารชีวิตที่โหดร้ายที่สุดในโลก แต่ไม่มีเครื่องมือประหารชีวิตใดเลยที่ได้รับการยกย่อง มีเพียงแค่ไม้กางเขนเท่านั้นที่ได้รับการยกย่อง เพราะว่าพระเยซูคริสต์ไม่ใช่คนบ้า แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริง ๆ

ถ้าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า พระองค์ก็เป็นคนบ้า คนเชื่อคนบ้าก็ย่อมบ้าด้วยเช่นกัน แต่พระองค์ไม่ใช่คนบ้า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า ทรงเป็นความรอดที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์ในวันคริสตมาส พระองค์ไม่มีความผิดเลย แต่ได้ทรงรับโทษ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อรับโทษความผิดบาปให้แก่เราทุกคน


อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

การเทศนาในเทศกาลคริสตมาส ที่จังหวัดภูเก็ต

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความหมายที่แท้จริงของวันคริสตมาส (3/5)

2. วันคริสตมาส เป็นวันที่พระเจ้าทรงประทานความรอดให้แก่มนุษย์ (2)

ทำไมมนุษย์อันตราย? ก็เพราะมนุษย์มีอิสระในการตัดสินใจ

ไม่ว่าเราจะซื้ออาหารสุนัขยี่ห้อไหน มันก็กินได้ แต่การเลี้ยงดูมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก

มนุษย์ทุกคน มีอิสระ และใช้อิสระในทางที่ผิด ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ทำลายกฎเกณฑ์ที่ดีงามของพระเจ้า ส่งผลให้สูญเสียความสัมพันธ์กับพระเจ้า และสังคมมนุษย์ก็ตกอยู่ในความมืดและความบาป

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามแบบอย่างของพระองค์ เมื่อพระเจ้าเป็นความรัก มนุษย์ก็ควรที่จะรักกันและกัน แต่เมื่อมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า มนุษย์ก็ตกอยู่ในความมืดและความบาป

ความจริงนี้ เห็นได้ชัดเจนในประเทศจีน เพราะเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดในโลก

คำว่า "หว่อ" ซึ่งแปลว่าฉัน มาจากคำ 2 คำ คือ "มือ" และ "หอก" นั่นคือ แปลว่า "มือถือหอก"

พระเจ้าไม่ได้สร้างให้มนุษย์ถือหอก แต่สร้างให้ถือจอกและเสียม เพื่อทำไร่ทำนา ดูแลสวน แต่มนุษย์กลับถือหอกไว้เพื่อฆ่าฟันกัน เพราะมนุษย์เกลียดชังกัน ฆ่ากัน ชิงดีชิงเด่นกัน

และจะเห็นได้ชัดเจนจากหนังจีน เพราะหนังจีนทุกเรื่องล้วนมีการแก้แค้น

พระเจ้าทรงจำเป็นที่จะต้องประทานความรอดให้แก่มนุษย์ เพราะเราทุกคนล้วนทำบาปทั้งสิ้น

ถ้าเราอยากรู้ว่ามนุษย์ตกในความบาปจริงหรือไม่ ดูได้จากปรากฎการณ์ 2 อย่าง

  1. อยากทำดี แต่ทำไม่ได้
  2. ไม่อยากทำชั่ว แต่ทำอยู่ทุกวัน

พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าว่ามนุษย์จะทำบาป แล้วเหตุใดพระองค์ยังจะสร้างมนุษย์ขึ้นมาอีก? คำถามนี้ เมื่อลองไปถามคุณแม่ทุกคนก็จะได้รับคำตอบ

ถ้าจะถามว่าหญิงตั้งครรภ์ว่ารู้ไหมว่าลูกที่เกิดออกมา อาจจะไม่เชื่อฟัง อาจจะเถียงแม่ของตัวเอง อาจทำให้แม่ร้องไห้ อาจทำให้แม่โกรธ อาจสร้างความเจ็บปวดอย่างมากให้กับคุณแม่ แน่นอน แม่ทุกคนย่อมรู้ดี แต่เหตุใดจึงยังคงให้ลูกน้อยเกิดมา? มีคำตอบหนึ่ง กล่าวได้อย่างน่าประทับใจมาก คือ "ลูกอาจทำผิดต่อดิฉัน แต่ดิฉันพร้อมจะให้อภัย ขอเพียงแต่ลูกขอโทษเท่านั้น"


อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

การเทศนาในเทศกาลคริสตมาส ที่จังหวัดภูเก็ต

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความหมายที่แท้จริงของวันคริสตมาส (2/5)

2. วันคริสตมาส เป็นวันที่พระเจ้าทรงประทานความรอดให้แก่มนุษย์ (1)

เราทุกคนคงจะเคยร้องเพลง Joy To The World ซึ่งผู้แต่งเพลงนี้ได้บอกความหมายให้เราได้เข้าใจผ่านตัวโน๊ตที่ใช้

Joy to the world, the Lord is come!
ประโยคแรกนี้ เริ่มจาก โด (สูง) ไล่ลงมายัง โด (ต่ำ) หมายความว่า วันคริสตมาส เป็นวันที่พระเจ้าทรงประทานความรอดลงมาท่ามกลางมนุษย์

Let earth receive her King;
ตัวโน๊ตค่อย ๆ ย้อนกลับขึ้นยัง โด (สูง) หมายความว่า ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงสามารถกลับไปหาพระเจ้าได้

Let every heart prepare Him room,
ตัวโน๊ตค่อย ๆ ลงต่ำลงมาอีก หมายความว่า วันคริสตมาส เป็นวันที่พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ลงมา

And Heaven and nature sing, And Heaven and nature sing,
ตัวโน๊ตขึ้น ๆ ลง ๆ หมายความว่า สันติสุขจึงเกิดท่ามกลางโลก

And Heaven, and Heaven, and nature sing.
ตัวโน๊ตกระโดดจาก โด (ต่ำ) ข้ามไป โด (สูง) ทันที และค่อย ๆ ลงต่ำมา เพื่อบอกว่า การที่มนุษย์จะสามารถขึ้นสวรรค์ได้ เพราะพระเจ้าลงมา

วันคริสตมาสเป็นวันที่พระเจ้าทรงประทานความรอดให้แก่มนุษย์

ทำไมพระเจ้าต้องประทานความรอดให้แก่มนุษย์? เพราะวันที่พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมา ทุกอย่างล้วนปลอดภัยสำหรับพระเจ้า มีเพียงสิ่งเดียวที่อันตราย คือ มนุษย์

แม่ทุกคนที่ตั้งครรภ์ ย่อมรักลูกในครรภ์ แต่แท้ที่จริงแล้ว สิ่งมีชีวิตในครรภ์นั้นเป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะเมื่อเขาเกิดมา เขาจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังก็ได้ เขาจะทำให้พ่อแม่ดีใจหรือร้องไห้ก็ได้ ทำให้พ่อแม่ยืดอกภูมิใจ เที่ยวบอกคนอื่นว่า "ลูกฉัน ๆ " หรือทำให้ขายหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนก็ได้ สิ่งนี้แหละ มีชื่อว่า "มนุษย์"


อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

การเทศนาในเทศกาลคริสตมาส ที่จังหวัดภูเก็ต

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความหมายที่แท้จริงของวันคริสตมาส (1/5)

มี 2 เทศกาลที่มีการเฉลิมฉลองพร้อมกันทุกประเทศทั่วโลก ได้แก่ เทศกาลปีใหม่ และเทศกาลคริสตมาส

การฉลองปีใหม่ ทุกคนรู้ความหมาย แต่หลายคนกลับฉลองคริสตมาสแม้จะไม่รู้จักความหมายของวันคริสตมาสเลย

วันนี้เราฉลองเทศกาลคริสตมาส เราก็ควรที่จะได้รู้จักความหมายที่แท้จริงของวันคริสตมาส

ถ้าไปตามห้างสรรพสินค้า เราจะเห็นต้นคริสตมาสประดับอยู่ หรืออาจเห็นสัญลักษณ์เป็นซานตาครอส แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ไม่ใช่หัวใจ เปรียบเหมือนเป็นแค่กระดาษของขวัญ

เมื่อมีใครให้ของขวัญแก่ท่าน ถ้าท่านมัวแต่ชื่นชมห่อของขวัญภายนอก โดยไม่เปิดออกมาและชื่นชมสิ่งที่อยู่ภายใน ก็คงจะไม่ฉลาดเท่าไรนัก เช่นเดียวกัน หัวใจสำคัญของวันคริสตมาส คือ องค์พระเยซูคริสต์ เพราะวันคริสตมาส เป็นวันที่พระองค์ทรงเสด็จมาบังเกิดในโลกนี

วันคริสตมาสสำคัญมาก เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทุกคน

 

1. วันคริสตมาส เป็นวันที่พระเจ้าทรงให้มนุษย์รู้จักกับคำตอบของชีวิต

80-90 ปีที่แล้ว ที่ประเทศจีน มีซินแสท่านหนึ่ง ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น "ตะเกียบทองคำ" เพราะท่านเชี่ยวชาญในการกินตูดเป็ด เมื่อท่านได้ดม และชิม ท่านสามารถทายได้เลยว่าเป็ดที่ท่านกินนั้น ถูกเลี้ยงที่จังหวัดใดของประเทศจีน

เจ้าของภัตราคารแห่งหนึ่ง ได้ทราบข่าวก็ไม่เชื่อ เลยเชิญท่านมาที่ภัตราคารของเขาที่ปักกิ่ง และเชิญนักข่าวมามากมาย เจ้าของร้านรื้อโต๊ะจีนออกทั้งหมด เหลือเพียงโต๊ะเดียวที่กลางร้าน มีจานทั้งหมด 20 จาน และทุกจานเต็มไปด้วยตูดเป็ด และใต้จานก็จะมีเขียนว่าตูดเป็ดนี้มาจากไหน เมื่อซินแสท่านนี้ได้ลองดมและชิมดู ท่านก็สามารถทายถูกต้องทั้งหมด 20 จาน และทุกคนปรบมือชื่นชมในความสามารถของท่าน

เมื่อเสร็จ ท่านก็ไปห้องน้ำ ล้างมือ บ้วนปาก และท่านก็รู้สึกว่ามีใครมานวดที่ด้านหลังท่าน เมื่อท่านหันมา ก็เห็นเป็นบ๋อยมานวดเอาใจท่าน

ซินแสท่านนี้ก็เลยบอกแก่บ๋อยคนนี้ว่า "ไม่ต้องมาเอาใจข้าหรอก เพราะข้าไม่รับใครเป็นศิษย์หรอกนะ"

บ๋อยคนนั้นก็คุกเข่าลง ร่ำไห้ อ้อนวอนซินแสท่านนี้ พร้อมกล่าวว่า "ซินแสครับ ผมเกิดมาอาภัพ ฐานะยากจน แม้แต่ว่าเกิดที่ไหน ไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่เลย เมื่อตะกี้ ผมเห็นอาจารย์ทายได้ทันทีว่าเป็ดมาจากไหน ขออาจารย์เมตตา ช่วยดมก้นผม แล้วบอกหน่อยว่าผมมาจากที่ไหนของประเทศจีนครับ"

นี่เป็นสิ่งสำคัญ ที่เราจะรู้ว่าเรานั้นมาจากไหน

นักปรัชญากรีกที่ยิ่งใหญ่ ได้แก่ โสเครติส พลาโต อริสโตเติ้ล ได้กล่าวตรงกันว่า ปัจจุบันนี้ หมายังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นหมา แมวก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นแมว

และท่านโสเครติส ก็ได้บอกว่า "หมาไม่รู้ว่าเป็นหมาไม่ใช่เรื่องใหญ่ แมวไม่รู้ว่าตัวเองเป็นแมวก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าคนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคน นี่เป็นเรื่องใหญ่ และเมื่อคนยอมรับตัวเองว่าเป็นคน ก็ต้องถามคำถามว่า 'มาจากไหน? อยู่เพื่ออะไร? และกำลังจะไปไหน?' ถ้าไม่ถามตัวเองเช่นนี้ ก็จะแย่กว่าหมาและแมว"

นักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง กล่าวไว้ว่า "วันคริสตมาสเกี่ยวกับมนุษย์ เพราะพระเจ้าทรงประทานคำตอบให้แก่เราว่า พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา และมนุษย์ถูกสร้างให้มีความสามารถในสมองที่จะรับรู้ว่าพระเจ้ามีจริง"

มีอวัยวะอย่างน้อย 2 สิ่ง ที่เมื่อพิจารณาแล้ว จะทำให้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีพระเจ้า

  1. เส้นขน ทุกวันนี้เรารับประทานอาหารต่าง ๆ และร่างกายก็สร้างขนตามที่ต่าง ๆ แต่ปรากฎว่าขนบางที่ยาวได้เรื่อย ๆ ในขณะที่บางที่ขนกลับหยุดยาว
  2. นมจากเต้านมของมารดา หญิงส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ค่อยให้ลูกดูดนม และนักวิทยาศาสตร์ก็พยายามหาน้ำนมมาทดแทน แต่แม้จะมีเทคโนโลยีเพียงใด ก็ไม่มีสิ่งใดที่สู้นมของมารดาได้เลย ใครเป็นผู้สร้างน้ำนมมารดาที่สุดยอดเช่นนี้? แม้จะไม่ต้องใช้เครื่องจักรใหญ่ในการผลิต ไม่ต้องมีคลังเก็บใหญ่โต แต่เมื่อถึงเวลาก็หลั่งออกมาได้อย่างอัตโนมัติ มีอุณหภูมิที่ 37 องศาพอดี ไม่มีหมด ลูกกินได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีเวลาปิดโรงงาน

วันคริสตมาส เป็นวันที่พระเจ้าทรงสำแดงให้มนุษย์เข้าใจว่า มีพระเจ้าเป็นผู้สร้างเรามา


อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

การเทศนาในเทศกาลคริสตมาส ที่จังหวัดภูเก็ต

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

งานฟื้นฟู "เราจะไป": ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (7/7)

2. เราต้องการความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการต่อสู้กับปัญหา (3)

คน 4 คนนี้ไม่ย่อท้อในการนำคนมาหาพระเยซูคริสต์ พวกเขาฝ่าฟันปัญหาไปด้วยกัน เข้าทางประตูไม่ได้ เข้าทางปกติไม่ได้ ก็เข้าทางพิเศษ พวกเขาก็ตัดสินใจขึ้นทางหลังคา

เขาเหล่านั้นมีความกล้าหาญในการนำคนมาหาพระเยซูคริสต์ พวกเขายอมจ่ายค่าซ่อมหลังคา ลงทุนในการทำคนมาหาพระคริสต์ และพวกเขาก็ต้องเสี่ยง ไม่รู้ว่าออกหัวหรือก้อย แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ และเมื่อคนเหล่านี้รื้อหลังคา นำคนง่อยไปหาพระคริสต์ เมื่อพระองค์เห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย พระองค์ก็ทรงกระทำการของพระองค์ รักษาคนง่อยนี

ก่อนรักษาความง่อยฝ่ายร่างกาย พระองค์ทรงรักษาจิตใจของเขาก่อน รักษาสิ่งสำคัญสุดในชีวิตของเขาก่อน โดยที่ทรงอภัยบาป พระองค์ให้มากกว่าที่คนง่อยนั้คาดหวัง

ถ้าเราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการนำคนมาหาพระเยซูคริสต์ พระองค์จะทรงประทานให้เรามากกว่าที่เราขอหรือที่เราต้องการหรือที่เราจินตนาการ

ถ้าเรากล้าให้กับพระเจ้า เราจะเห็นการอวยพรของพระเจ้าที่จะทรงประทานแก่เราด้วยเช่นกัน

ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย เพื่อจะพิสูจน์ให้กับมหาปุโรหิต และธรรมาจารย์ ว่าพระเจ้าทรงสามารถทำการอัศจรรย์ให้เห็นได้เช่นกัน

เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรเรา คนจะบอกว่า "เราไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อนเลย" นี่เป็นสิ่งที่จะเกิดเมื่อเราพร้อมใจนำคนมาหาพระองค์

พระเจ้าจะทรงอวยพรคริสตจักรของพระองค์ พระองค์จะทรงเคลื่อนพระหัตถ์ของพระองค์ ทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกเรา และจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้น จนคนทั้งหลายจะประหลาดใจ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อเราร่วมใจกันรับใช้พระเจ้า แล้วเราจะเห็นคนมาพบกับความรอดมากมาย เห็นพระเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิตมากมาย เห็นคนหนุ่มสาวถวายชีวิตมากมาย เห็นการคืนดีท่ามกลางพี่น้อง เห็นการให้อภัยเกิดขึ้น เห็นบรรยากาศที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ถ้าพระเจ้าทรงเคลื่อนไหว เราจะเห็นอย่างที่เราไม่เคยเห็น แล้วเราจะเห็นในคริสตจักรของเรา

ขอที่เราร่วมกันปรนนิบัติรับใช้พระองค์ แล้วพระเจ้าจะทรงอวยพรคริสตจักรของพระองค์ ทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกเรา นี่คือยุคใหม่ที่คริสตจักรของเราจะได้เห็น เมื่อเรารวมตัวกันเพื่อนำคนบาปมาหาพระคริสต์ ต่อสู้ปัญหาอุปสรรคร่วมกัน และเมื่อพระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของเรา เห็นการเอาจริงเอาจัง เห็นการทำงานหนัก เห็นความทุ่มเท พระเจ้าจะทรงเคลื่อนพระหัตถ์ของพระองค์ การอัศจรรย์จะเกิดขึ้น พระองค์จะทำการอัศจรรย์ในครอบครัว ในชีวิต ในท่ามกลางเพื่อนบ้าน ในท่ามกลางสมาชิก จนกระทั่งเราจะพบสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย


ศจ. ยุทธศักดิ์ ศิริกุล

สรุปคำเทศนางานฟื้นฟู "เราจะไป" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 11/09/2010

เรื่อง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ



วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

งานฟื้นฟู "เราจะไป": ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (6/7)

2. เราต้องการความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการต่อสู้กับปัญหา (2)

ในยุคนี้เราเห็นการงานของมารโดยการใช้ดนตรีในการแฝงให้คนไม่รู้นมัสการมารซาตานโดยไม่รู้ตัว

ข้าพเจ้ามีโอกาสไปสิงคโปร์ที่จะศึกษาเสียงที่นมัสการแต่ไม่ได้ยิน เขาได้กล่าวถึงบทเพลงหลายเพลงที่ดัง ๆ ที่เมื่อกลับคำแล้ว จะเป็นเพลงที่น่ากลัวมาก เพราะเป็นเพลงนมัสการซาตาน ยกย่องซาตาน ให้ชีวิตกับซาตาน และหลังจากนั้นมีวงดนตรีดัง ๆ ออกมา และเป็นเพลงยกย่องซาตาน มารพยายามทำงานอยู่ในท่ามกลางมนุษย์ และเสียงที่เราฟังแต่เราไม่ได้ยินนั้น บางครั้งมีอิทธิพลควบคุมชีวิตของเรา ในสัมมนาครั้งนั้นสอนให้ข้าพเจ้าฟังคลื่นเสียงที่มีเสียงแต่เราไม่ได้ฟัง และควบคุมชีวิตได้

ห้างสรรพสินค้าหนึ่ง มีสถิติการขโมยของสูงมาก เขาจึงเอาทฤษฎีนี้ทำวิจัย โดยการส่งคลื่นเสียงไปในห้างนี้ โดยส่งคลื่นเสียงที่หูเรารับได้แต่ไม่ได้ยิน ส่งบอกว่า "ฉันไม่ขโมย" เมื่อส่งคลื่นนี้ออกไป คนต่าง ๆ ที่เข้ามาก็ไม่รู้ว่ากำลังฟังเสียงนี้อยู่ และพบว่าสถิติของที่หายลดลงเรื่อย ๆ นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่วิทยาศาสตร์ใช้ คือ คลื่นเสียง แต่มารได้แฝงอยู่ในบทเพลงมากมาย ดังนั้นวัยรุ่นมากมายฟังสิ่งเหล่านี้โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังนมัสการซาตานอยู่ มารไม่เคยให้อะไรกับคนเปล่า ๆ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าคนดัง ๆ หลายคนฆ่าตัวตาย หรือตายไม่ค่อยดีเท่าไร หรือมีชีวิตไม่ค่อยถูกต้องตามศีลธรรมเท่าไรนัก ทำให้เราแปลกใจในบางครั้ง ว่าทำไมบางคนมีเงินมากมาย แต่ใช้ชีวิตไม่เป็น และต้องจบชีวิตด้วยราคะตัณหา หรือการฆ่าตัวตาย

คนที่บูชาเงิน เนื้อหนัง หรือโลก ไม่เคยได้ดี เพราะมารไม่เคยให้อะไรกับมนุษย์เปล่า ๆ แต่จะให้พร้อมกับปัญหาต่าง ๆ มากมาย

เราคงจะแปลกใจที่แหล่งคนรวยมากสุดในโลกอยู่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านของมหาเศรษฐี พวกดาราหนังฮอลลี่วูดจะอยู่ในชุมชนนี้ แต่ชุมชนแห่งนี้ มีนักบำบัดจิตมากสุดในโลก ทุก 170 หลังคาเรือนจะมีนักบำบัดจิตคนหนึ่งทำงานกับคนพวกนี้

มารพยายามหาทุกวิถีทางไม่ให้คนเข้าหาพระเจ้า เพราะมันเป็นพ่อของการหลอกลวงและการมุสา มันมาเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย มันจะต่อต้านการประกาศพระกิตติคุณ


ศจ. ยุทธศักดิ์ ศิริกุล

สรุปคำเทศนางานฟื้นฟู "เราจะไป" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 11/09/2010

เรื่อง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ



วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

งานฟื้นฟู "เราจะไป": ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (5/7)

2. เราต้องการความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการต่อสู้กับปัญหา (1)

ทั้งสี่คนที่ต้องการพาคนง่อยไปหาพระเยซูคริสต์ ต้องเจอปัญหา คือ มีคนจำนวนมากห้อมล้อมพระเยซูคริสต์ พวกเขาพาคนง่อยเข้าไปหาพระองค์ไม่ได้

แต่ว่าทั้งสี่คนนี้ พวกเขาได้ปรึกษากัน พวกเขาไม่ได้คิดว่า ไว้วันหลังพระเยซูคริสต์มาแล้วค่อยพามาใหม่ แต่พวกเขาตั้งมั่นว่าจะพาคนง่อยไปหาพระองค์ให้ได้

การนำคนบาปมาพบกับพระเยซูคริสต์โดยการประกาศพระกิตติคุณ บางครั้งมีอุปสรรค เพราะเป็นสงครามฝ่ายวิญญาณ ศัตรูของเราไม่เปิดโอกาสให้เราทำงานอย่างง่ายดาย เพราะมันจะทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้คนรู้จักความจริง พยายามทำให้คนไม่ได้ฟังพระกิตติคุณของพระเจ้า พยายามต่อต้านอยู่เสมอ

18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า "ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว
19 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์
20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"
(มัทธิว 28:18-20)

จากบริบทจากพระคำบทนี้

มัทธิว 28:1-10 กล่าวถึงการฟื้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ กล่าวถึงการเคลื่อนก้อนหินโดยทูตสวรรค์ พระเยซูคริสต์ได้ทรงปรากฎกายให้หญิงได้พบ และให้หญิงเหล่านั้นไปบอกข่าวดีแก่สาวก

มัทธิว 28:11-15 พวกทหารได้วิ่งไปบอกพวกมหาปุโรหิต เล่าความจริงให้ฟัง ว่าอุโมงค์ว่างเปล่า พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นพระชนม์ เขาได้เห็นทูตสวรรค์และกลัวจนตัวสั่น เขาได้เล่าความจริงทั้งหมดให้ปุโรหิตฟัง แต่พวกมหาปุโรหิตและธรรมาจารย์เมื่อได้ฟังความจริง เขาก็ปรึกษากัน รวมสมองกัน และหาหนทางและเหตุผล ที่จะปฏิเสธความจริง ที่จะปฏิเสธการฟื้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ที่จะปฏิเสธว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ นี่เป็นปรัชญาของโลก

ศัตรูที่ขัดขวางมิให้คนฟังพระกิตติคุณของพระเจ้า ได้แก่

  • ศัตรูตัวแรก คือ "ระบบของโลกนี้" ระบบของโลก ปรัชญาของโลก คือ ปฏิเสธพระเจ้า พยายามสร้างวิถีชีวิตให้สวนทางกับความเชื่อของคริสเตียน พยายามทำให้คนคิดว่าเรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องน่าเบื่อ เป็นเรื่องไม่มีเหตุผล ให้คิดว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้ฟื้นจากความตาย ให้คิดว่าพระเจ้าไม่มีจริง นี่เป็นการที่โลกพยายามสอนคนในโลกให้ปฏิเสธพระเจ้า
  • ศัตรูตัวที่สอง คือ "เนื้อหนัง" พวกปุโรหิตและธรรมาจารย์ หลังจากคิดหนทางปฏิเสธพระองค์ เขาก็ได้ให้เงินกับพวกทหารเป็นอันมาก ทั้ง ๆ ที่ทหารเหล่านี้รู้ความจริง แต่เพราะว่าได้เงิน จึงปฏิเสธความจริง และออกไปโกหก เนื้อหนังบางครั้งทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งต่อต้านความจริงของพระเจ้า เนื้อหนัง คือ ความอยาก กิเลสตัณหาต่าง ๆ เนื้อหนังทำให้เรามองว่าคนเป็นพระเจ้า ทำให้มนุษย์ไม่ยำเกรงพระเจ้า ทำให้เราถูกครอบงำ ทำให้เราไม่สนใจความจริง
  • ศัตรูตัวที่สาม คือ "มาร" ผู้อยู่เบื้องหลังของมัทธิว 28:11-15 ที่แท้จริง คือ มาร มารทำให้คนเหล่านี้ปฏิเสธพระเจ้า ทำให้โกหก เพราะมารเป็นพ่อของการมุสา มารอยู่เบื้องหลังของทั้งระบบของโลก และเนื้อหนัง มันต่อต้านไม่ให้คนเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ทำให้คนมองเรื่องพระเจ้าว่าไร้เหตุผล มองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ

เวลานี้โลกถูกครอบงำโดยศัตรูทั้งสาม และนี่เป็นเสียงที่มนุษย์ได้ยินโดยไม่รู้ตัว และกำลังแย่งคนไปจากพระเจ้า

เดิมทีแล้ว มารมีหน้าที่ดูแลการนมัสการพระเจ้า แต่มารอยากเป็นเหมือนพระเจ้า จึงทรยศพระเจ้า พระเจ้าจึงขับไล่มันลงจากสวรรค์ และมันก็นำเหล่าทูตสวรรค์ส่วนหนึ่งติดตามมมาด้วย เป็นภูติผีปีศาจ เป็นเทพต่าง ๆ บนโลกนี้ และมารยังทำงานอยู่ในเวลานี้ พยายามหลอกลวงมนุษย์เสมอ

นี่ไม่ใช่นิยาย เป็นเรื่องจริง และมันแฝงในทุกสังคมของมนุษย์ ทำงานหลายรูปแบบ ทำงานในสังคมต่าง ๆ แตกต่างกันไป

การนมัสการไม่ใช่เพียงแค่การร้องเพลง แต่เป็นการที่เราให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลางในการยกย่อง แต่มารอยากได้การสรรเสริญนมัสการไปที่มันเอง


ศจ. ยุทธศักดิ์ ศิริกุล

สรุปคำเทศนางานฟื้นฟู "เราจะไป" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 11/09/2010

เรื่อง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ



วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

งานฟื้นฟู "เราจะไป": ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (4/7)

1. เราต้องการความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการนำคนบาปมาหาพระเยซูคริสต์ (2)

เราเห็นค่าของพระธรรมมาระโกตอนนี้ (มาระโก 2:1-12) เช่นไร?

เราเห็นสี่คนมาหาพระเยซูคริสต์ ภาพนี้เป็นภาพที่บ่งบอกว่าเราต้องการซึ่งกันและกัน

ในประเทศไทยมีคนง่อยเยอะมาก คนง่อยฝ่ายวิญญาณ คนที่ต้องการการรักษาจากพระเจ้า ต้องการสัมผัสการอัศจรรย์ในชีวิตของเขา ต้องการรับการปลดปล่อย

คนไทยเชื่อพระเจ้าไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเราจึงมีงานที่ต้องทำมากมาย และเราทำคนเดียวไม่ได้ เราต้องการซึ่งกันและกัน ในทุ่งนาที่จะต้องเก็บเกี่ยว เราไม่สามารถทำงานลำพังได้ เราต้องทำร่วมกัน

คริสตจักรสะพานเหลือง เราต้องร่วมกับโครงการต่าง ๆ ของคริสตจักร ต้องร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของคริสตจักร เราต้องการที่จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการปรนนิบัติพระเจ้า

ไม่มีใครรู้ว่า 4 คนนี้เป็นใคร และพระเจ้าไม่ได้ตรัสบอกอะไรมากนักเกี่ยวกับ 4 คนนี้ แต่ทั้งสี่คนนี้มีนิมิตและมีทิศทางร่วมกัน คือนำคนบาปมาหาพระเยซูคริสต์

เรารู้ว่า อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นคนที่ห่วงใยเพื่อนของเขา พวกเขาจึงพยายามนำเขามาหาพระเยซูคริสต์ และเขาทั้งสี่คนมีความเชื่อ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงสามารถรักษาคนง่อยนี้ได้อย่างอัศจรรย์ พวกเขาเชื่อในฤทธิ์เดชของพระองค์ พวกเขาจึงร่วมกันในความเชื่อนั้น แบกคนง่อยมาหาพระเยซูคริสต์

พวกเขาไม่เพียงห่วงในใจ แต่แสดงออกเป็นการกระทำด้วย เราไม่รู้ว่าพวกเขาแบกมาไกลเพียงไร แต่พวกเขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความรักความห่วงใย ความเชื่อต่าง ๆ ที่พวกเขามี ล้วนแสดงออกเป็นการกระทำ

37 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า "ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่
38 เหตุนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์" (มัทธิว 9:37-38)

เรารู้ว่าถ้าผู้ใดไม่มาหาพระคริสต์ เขาจะต้องตายในความผิดบาป เราต้องการซึ่งกันและกัน ไม่มีใครเล็กน้อยเกินไปที่พระเจ้าจะทรงใช้การไม่ได้ ไม่มีใครบาปเกินไปที่พระเจ้าจะทรงยกโทษให้ไม่ได้ และเราต้องการซึ่งกันและกัน

นายพรานกลุ่มหนึ่ง มีอยู่ 7 คน ขณะล่าสัตว์ในป่า ฟ้าก็กลับมืด พวกเขาจึงพยายามวิ่งเข้าไปในกระท่อมหลังหนึ่ง สักครู่ก็มีฟ้าแลบ และฟ้าก็ผ่าลงมาที่หน้ากระท่อม พวกนายพรานก็กลัวมาก พวกนายพรานก็เลยคิดว่า ฟ้าต้องการพวกเราสักคนแน่นอน จึงถามว่า "ใครทำผิดบาปอะไรหรือไม่?" แต่ไม่มีใครกล้าตอบ เพราะถ้าตอบก็คงจะถูกจับโยนออกไป แต่ฟ้าก็ผ่าตลอด พวกเขากลัวมาก จึงใช้วิธีจับไม้สั้นไม้ยาว และมีคนหนึ่งได้ไม้สั้น พวกที่เหลือจึงจับเขา แม้ว่าเขาจะร้องขอชีวิต เพราะเขากลัวถูกฟ้าผ่า แต่ไม่เป็นผล คนเหล่านั้นจึงจับคนที่ได้ไม้สั้นนี้โยนออกไป พอโยนออกไป ฟ้าก็ผ่าลงมาทันที แต่ผ่าถูกกระท่อม และไหม้กระท่อม ดังนั้นจึงรอดอยู่คนเดียว

เรื่องนี้บ่งบอกว่า ถ้าเราอยู่ด้วยกันไม่ตาย เราต้องการซึ่งกันและกัน

ในคริสตจักรของพระเจ้าเราต้องการกันและกัน เราเป็นกายของพระคริสต์ และเมื่อเราเป็นกายเดียวกัน เราก็ต้องการซึ่งกันและกัน

เมื่อเราอยู่ในคริสตจักร เราก็เป็นกายเดียวกัน เรามีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของกาย เราป็นพระวรกายของพระเจ้า เราจะต้องเรียนรู้ที่จะรักซึ่งกันและกัน รับใช้ร่วมกัน

หลายคนอาจจะไม่ชอบบางอย่างของคริสตจักร จึงออกไปจากคริสตจักร นี่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะเป็นเหมือนกับว่าเราชอบพระเยซูคริสต์ แต่ไม่ชอบพระวรกายของพระองค์


ศจ. ยุทธศักดิ์ ศิริกุล

สรุปคำเทศนางานฟื้นฟู "เราจะไป" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 11/09/2010

เรื่อง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ



วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

งานฟื้นฟู "เราจะไป": ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (3/7)


1 ครั้นล่วงไปหลายวัน พระองค์ได้เสด็จไปในเมืองคาเปอรนาอุมอีก และคนทั้งหลายได้ยินว่าพระองค์ประทับที่บ้าน
2 และคนเป็นอันมากมาชุมนุมกันจนไม่มีที่จะรับ จะเข้าใกล้ประตูก็ไม่ได้ พระองค์จึงเทศนาข่าวนั้นให้เขาฟัง
3 แล้วมีคนนำคนง่อยคนหนึ่งมาหาพระองค์ มีสี่คนหาม
4 เมื่อเขาเข้าไปให้ถึงพระองค์ไม่ได้เพราะคนมาก เขาจึงรื้อดาดฟ้าหลังคาตรงที่พระองค์ประทับนั้น และเมื่อรื้อเป็นช่องแล้ว เขาก็
หย่อนแคร่ที่คนง่อยนอนอยู่
5 เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย พระองค์จึงตรัสกับคนง่อยว่า "ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว" 6แต่มีพวกธร
รมาจารย์บางคนนั่งอยู่ที่นั่น และเขาคิดในใจว่า
7 "ทำไมคนนี้พูดเช่นนี้ หมิ่นประมาทพระเจ้านี่ ใครจะยกความผิดบาปได้เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น" 8 และในทันใดนั้น เมื่อพระเยซูทรง
ทราบในพระทัยว่าเขาคิดในใจอย่างนั้น จึงตรัสแก่เขาว่า "เหตุไฉนท่านทั้งหลายจึงคิดในใจอย่างนี้เล่า
9 ที่จะว่ากับคนง่อยว่า 'บาปทั้งปวงของเจ้าได้รับอภัยแล้ว' และจะว่า 'จงยกแคร่เดินไปเถิด' นั้น ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน
10 แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้" พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า
11 "เราสั่งเจ้าว่า จงลุกขึ้นยกแคร่ไปบ้านของเจ้าเถิด"
12 คนง่อยได้ลุกขึ้น แล้วก็ยกแคร่ของตนเดินออกไปต่อหน้าคนทั้งปวง คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก จึงสรรเสริญพระเจ้าว่า "เราไม่
เคยเห็นเช่นนี้เลย" (มาระโก 2:1-12)


1. เราต้องการความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการนำคนบาปมาหาพระเยซูคริสต์ (1)

พระคำของพระเจ้าได้กล่าวถึงชาย 4 คนหามคนง่อยมาหาพระเยซูคริสต์ คนง่อยรู้ตัวว่าเป็นคนบาป และเราก็พบว่าพระเยซูคริสต์ทรงรักคนบาป และการที่มีชาย 4 คนนำคนง่อยมาหาพระเยซูคริสต์ เป็นการสอนเราถึงเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องพึ่งพากัน ก็เพื่อนำคนบาปมาหาพระเยซูคริสต์ เราต้องการซึ่งกันและกัน

เวลานี้ คริสเตียนไทยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ข้าพเจ้าตื่นเต้นที่ได้เห็นคริสตจักรไทยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ และนี่เป็นการเคลื่อนไหวของพระเจ้า

เวลานี้องค์กรต่าง ๆ กำลังทำพันธกิจร่วมกัน ทุกจังหวัดมีคณะดำเนินงานที่ทำให้พระมหาบัญชาของพระเจ้าสำเร็จ และวันจันทร์ที่จะถึงนี้จะมีการประเมินผล แต่จากข้อมูลที่ได้รับมาแล้ว เวลานี้คริสตจักรไทยเกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 4 คริสตจักรต่ออาทิตย์ แต่นี่ยังไม่มากพอ เพราะเราอยากเห็น 4 คริสตจักรต่อวันด้วยซ้ำไป ซึ่งเป็นไปได้ เพราะคริสตจักรไทยกำลังทำงานร่วมกัน การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการทำพันธกิจของพระเจ้าเป็นหมายสำคัญ

1 ดูเถิด ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็เป็นการดี และน่าชื่นใจมากสักเท่าใด
2 เหมือนน้ำมันประเสริฐอยู่บนศีรษะไหลอาบลงมาบนหนวดเครา บนหนวดเคราของอาโรน ไหลอาบลงมาบนคอเสื้อของท่าน
3 เหมือนน้ำค้างของภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งตกลงบนเทือกเขาศิโยน เพราะว่าพระเจ้าทรงบังคับบัญชา พระพรที่นั่น คือชีวิตจำเริญเป็นนิตย์ (สดุดี 133:1-3)

ถ้าประชากรของพระเจ้าเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็หมายความว่าพระเจ้ากำลังทรงเจิมคนของพระองค์

เมื่ออาโรนจะเป็นผู้รับใช้พระเจ้า โมเสสต้องเจิมอาโรนก่อน อาโรนจึงเป็นผู้ที่พระเจ้าจะใช้ได้ ดังนั้นถ้าเราเห็นคริสตจักรต่าง ๆ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็แปลว่าพระเจ้ากำลังทรงเจิมคนของพระเจ้า นั่นหมายถึง พระเจ้าจะใช้พวกเรา

เวลานี้พระเจ้ากำลังจะใช้คริสตจักรไทย กำลังเจิมคริสตจักรไทย และใช้คริสตจักรไทยให้เป็นพรต่อประเทศไทย และการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันยังเป็นเครื่องหมายของน้ำค้างที่ภูเขาเฮอร์โมน ไปยังศิโยน ซึ่งเป็นเมืองของพระเจ้า

เฮอร์โมน เป็นภูเขาสูงสุดของเลบานอน น้ำค้างที่ตะวันออกกลางจะตกมาเหมือนฝนตก

ศิโยนเป็นเมืองของพระเจ้าที่อยู่ที่หุบเขา เมื่อน้ำค้างตกจากเบื้องบน ก็หมายความศิโยนจะเพาะปลูกอะไรก็จะงอกงามเกิดผล และพระเจ้าจะทรงบังคับบัญชาพรที่นี่

เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรคริสตจักรของพระองค์ พระพรไหลมาหาคนของพระองค์ ดังนั้นคนในคริสตจักรของพระเจ้าทำอะไรก็จะเจริญเติบโต เพราะพระเจ้าต้องการใช้คนของพระองค์ที่จะเป็นพรต่อไป คริสตจักรจะมีกำลัง คนจะเข้มแข็ง ทรัพยากรคริสตจักรก็จะมีมากขึ้น ที่จะนำพรไปสู่ปลายแผ่นดินโลก

ดังนั้นการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัยมาก เป็นหมายสำคัญของการเจิมของพระเจ้า ว่าพระเจ้าจะทรงใช้พวกเรา และเป็นหมายสำคัญว่าพระเจ้าจะทรงโปรดอวยพรพวกเรา

คนของพระเจ้าที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ว่าจะที่อยู่ที่ไหนก็จะเห็นพระพรของพระเจ้าไม่รู้จบ


ศจ. ยุทธศักดิ์ ศิริกุล

สรุปคำเทศนางานฟื้นฟู "เราจะไป" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 11/09/2010

เรื่อง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ



วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

งานฟื้นฟู "เราจะไป": ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (2/7)

บางครั้งเราไม่เห็นค่าของการไปสวรรค์เท่าไร และคิดว่าการไปสวรรค์เป็นเรื่องที่พูดเล่น ๆ กัน

บางครั้งการตกนรกก็รู้สึกไม่น่ากลัว จึงเพลิดเพลินในโลกนี้

บางครั้งคิดว่าการไปสวรรค์เป็นเรื่องการทำคุณงามความดี ต้องมีสมบัติเพียงพอจึงไปสวรรค์ได้

วันหนึ่ง คนที่ไปสวรรค์ ไปพบอาจารย์เปโตรที่อยู่บนสวรรค์ อาจารย์เปโตรก็จะบอกว่า ถ้าตอบคำถามท่านได้ จะเข้าสวรรค์ได้

คนที่หนึ่ง เป็นภารโรง เมื่อเข้าประตูสวรรค์ อาจารย์เปโตรก็ถามว่า "มนุษย์คู่แรกชื่ออะไร" ภารโรงก็ยิ้ม และตอบว่า "อาดัม และเอวา" ภารโรงคนนี้ก็เข้าประตูสวรรค์ได้

คนที่สองเดินมา เป็นมัคนายกโบสถ์ อาจารย์เปโตรก็เลยถามคำถามยากขึ้น ว่า "สาวกวงในของพระเยซูคริสต์มีกี่คน" เขาก็ตอบว่า "3 คนครับ คือ เปโตร ยอห์น ยากอบ"

ศิษยาภิบาลเดินมา อาจารย์เปโตรก็เลยถามคำถามยากขึ้น ถามว่า "พระเยซูคริสต์เลี้ยงอาหารกับคนกี่คน" ศิษยาภิบาลผู้นี้ก็ตอบว่า "5000 คนครับ" อาจารย์เปโตรก็เลยบอกว่า "เก่งมาก" สักพักท่านก็ถามต่อว่า "บอกชื่อมา"

แต่การเข้าสวรรค์ในพระวจนะ ไม่ได้เข้าได้ด้วยการทำความดี แต่เราเข้าสวรรค์ได้โดยพระคุณความรักของพระเจ้า

8 ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้
9 ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้ (เอเฟซัส 2:8-9)

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับคนไทย เพราะคนไทยพยายามดิ้นรนขึ้นสวรรค์ด้วยการทำความดี ทำตามศีลธรรม รักษาศีลต่าง ๆ อย่างดี พยายามรักษาศีลให้มากข้อขึ้น และทำความดีต่าง ๆ ตามวัดก็จะพบมีชื่อตามก้อนหิน ตามเสาต่าง ๆ เพราะหวังว่าถ้าได้ทำความดี ทำบุญมาก ๆ ก็จะได้ขึ้นสวรรค์

เราไม่ได้ตำหนิที่พี่น้องเหล่านั้นพยายามขึ้นสวรรค์ เพราะนี่เป็นสิ่งที่อยู่ในใจของคนที่อยากไปสวรรค์ คนไทยกลัวสิ่งต่าง ๆ กลัวผี ทุกบ้านจึงต้องมีศาลพระภูมิ แม้จะเชื่อเรื่องผีหรือไม่ก็ตาม ก็เลี้ยงผีไว้ก่อน ยิ่งตึกใหญ่ ก็จะยิ่งมีศาลพระภูมิที่ใหญ่ขึ้น

คนไทยพยายามคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะได้รับการช่วยเหลือ ที่ไหว้ผีก็เพราะกลัวผีมาทำร้ายหรือรบกวน ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม ธุรกิจล่มจม อยากให้หญิงมาจีบ พยายามทุกวิถีทาง แต่สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกให้เรารู้ว่าแท้จริงคนไทยแสวงหาการช่วยเหลือ และอยู่ในความกลัว

พวกเราซึ่งได้พบความจริงเรื่ององค์พระเยซูคริสต์ ได้พบคำตอบของชีวิตแล้ว เราจึงไม่สามารถอยู่เฉยได้ เป็นหน้าที่ของคริสตจักรที่จะออกไปประกาศ ที่จะออกไปเล่าข่าวดี ที่จะเชิญชวนคนทั้งหลายให้เข้ามา นี่เป็นวัตถุประสงค์ของการมีคริสตจักร พระเจ้าตั้งคริสตจักรให้เป็นเกลือและแสงสว่าง ดังนั้นคริสเตียนทุกคนจึงมีหน้าที่ที่จะประกาศข่าวประเสริฐ การที่จะนำคนบาปมาหาพระเยซูคริสต์จึงเป็นพันธกิจที่สำคัญมาก


ศจ. ยุทธศักดิ์ ศิริกุล

สรุปคำเทศนางานฟื้นฟู "เราจะไป" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 11/09/2010

เรื่อง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

งานฟื้นฟู "เราจะไป": ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (1/7)

เราทุกคนยังคงอยู่ในวัยหนุ่มสาว เพราะถ้าเทียบกับชีวิตนิรันดร์แล้ว เรากำลังเพิ่งอยู่จุดเริ่มต้น

อาจารย์ท่านหนึ่ง ได้พบลุงคนหนึ่งกำลังขุดดินเป็นหลุมใหญ่

อาจารย์: "ลุงขุดทำไม"
ลุง: "จะได้มีเงิน"
อาจารย์: "เอาเงินไปทำไม"
ลุง: "ก็เอาไปซื้ออาหาร"
อาจารย์: "กินอาหารไปทำไม"
ลุง: "จะได้มีแรง"
อาจารย์: "มีแรงทำไม"
ลุง: "ก็จะได้ขุดดิน"

บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าอยู่ไปทำไม บางคนก็ดำเนินชีวิตไปเรื่อย ๆ แต่สำหรับคริสเตียน เรามีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต เรามีภาระกิจอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามอบหมายให้เราทำ

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้รู้จักพระเจ้า ข้าพเจ้าก็นึกไม่ออกว่าจะได้มายืนเทศนาเช่นนี้ ไม่เคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักเทศน์ได้ และไม่เคยคิดว่าจะต้องเป็นคริสเตียนประกาศเรื่องของพระเจ้า

ข้าพเจ้ารับใช้พระเจ้ามา 30 ปี เรียนจบกฎหมาย แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ฝึกทำงานด้านทนายความเลย เพราะตอนแรกคิดว่ารับใช้เสร็จก็จะฝึกเป็นทนาย แต่ปัจจุบัน คงจะไม่มีใครจ้างข้าพเจ้าแล้ว เพื่อนข้าพเจ้าหลายคนเป็นทนายความที่มีชื่อเสียง บางคนได้ออกรายการทีวี ออกหนังสือพิมพ์ เขาเหล่านั้นอยู่กลุ่มเดียวกันกับข้าพเจ้า และบางคนก็เป็นที่ปรึกษาอดีตนายกรัฐมนตรี แต่ข้าพเจ้ากลับมาเป็นนักเทศน์

ทำไมข้าพเจ้าจึงมาเป็นนักเทศน์? บางคนอาจคิดว่า ข้าพเจ้าไม่บ้าก็โง่

นายพลท่านหนึ่ง ขึ้นตรวจราชการที่บนภูเขา มีทหารชนเผ่าที่ดูแลประเทศแถบชายแดน พี่น้องชนเผ่าเหล่านี้พูดไทยไม่ค่อยได้ เขาจึงพยายามตอบคำถามภาษาไทย

ส่วนมากนายพลจะถามเพียงแค่ 3 คำถาม

  1. "เป็นทหารมากี่ปี" ให้ตอบว่า "2 ปีครับผม"
  2. "อายุเท่าไร" ให้ตอบว่า "20 ปีครับผม"
  3. "ชอบกินข้าวเหนียวหรือข้าวจ้าว" ก็ให้ตอบ "ทั้งสองครับผม"

ทหารนักรบชาวเขาก็ท่องจำคำตอบอย่างดี
เมื่อนายพลมาถึง ก็ตรวจแถวทหาร พูดกับทหาร และพี่น้องชนเผ่าก็ตื่นเต้นมาก และท่านได้มองหน้าทหารหนุ่มคนหนึ่ง และถามว่า

"เป็นทหารมากี่ปี" "20 ปีครับผม"

"อายุเท่าไร" "2 ปีครับผม"

นายพลก็โกรธ และถามว่า "แล้วแกคิดว่าข้าบ้าหรือโง่" "ทั้งสองครับผม"

การเป็นคริสเตียน บางคนอาจมองว่าทั้งบ้าและโง่ เพราะว่าเขาเหล่านั้นไม่เข้าใจความหมายของพระกิตติคุณ แต่พระคัมภีร์ได้บอกเราชัดเจนว่าพระกิตติคุณมีค่ามากเท่าไร เพราะสิ่งนี้เป็นฐานความเชื่อ ทำให้เรายืนมั่นคง เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเกี่ยวกับความรอดของมนุษย์ ไม่มีเรื่องอะไรที่จะมีค่ามากกว่าพระกิตติคุณ เพราะพระกิตติคุณสามารถช่วยปัญหาที่แท้จริงของมนุษย์ได้ นั่นคือปัญหาความบาปของมนุษย์

ดังนั้น เราสามารถช่วยคนให้ไปสวรรค์ได้


ศจ. ยุทธศักดิ์ ศิริกุล

สรุปคำเทศนางานฟื้นฟู "เราจะไป" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 11/09/2010

เรื่อง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กายเดียวกันในพระคริสต์ (5/5)

4. การเป็นกายเดียวกันในพระคริสต์ มิใช่สังคมมนุษย์ แต่เป็นสังคมฝ่ายวิญญาณ

พระองค์ทอดพระเนตรคนที่นั่งล้อมรอบนั้นแล้วตรัสว่า "นี่เป็นมารดาและพี่น้องของเรา" (มาระโก 3:34)

สังคมฝ่ายวิญญาณต้องมีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลาง

พวกสาวกและประชาชนนั่งล้อมรอบพระเยซู โดยมีพระเยซูคริสต์อยู่ตรงกลาง เราทั้งหลายอยู่ที่นี่ เราก็มีพระองค์เป็นศูนย์กลาง ขอที่เราจะให้พระองค์เป็นศูนย์กลางในชีวิต และให้พระคำของพระองค์เป็นหลักในการดำเนินชีวิต

15 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์
16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว (เอเฟซัส 4:15-16)

ขอที่เราจะยึดความจริงคือพระวจนะด้วยใจรัก และยึดพระคริสต์เป็นศูนย์กลางในชีวิต

พระคริสต์ทรงให้เกียรติคนที่ให้เกียรติพระเจ้า ทรงใกล้ชิดกับผู้ที่กระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

วิสุทธิชนในแผ่นดินเป็นผู้ประเสริฐ เป็นพวกที่ข้าพเจ้าปีติยินดีด้วย (สดุดี 16:3)

ขอที่เราจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่ตามใจเพื่อนหรือตัวเอง

เหตุฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงเข้าใจน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นอย่างไร (เอเฟซัส 5:17)

พระคริสต์ทรงห่วงใยเราทั้งหลาย ทรงรักเรา พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย และทรงหวงแหนพระกายของพระองค์ ทุกอวัยวะสำคัญ ขอที่เราจะดำเนินชีวิตในการเชื่อฟังพระเจ้า

การเป็นกายเดียวกัน เป็นเหมือนการเป็นครอบครัวฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่เป็นฝ่ายกายภาพ ไม่ใช่ไม่ห่วงใยผูกพัน ไม่ใช่ไม่รับผิดชอบกัน และไม่ใช่เป็นสังคมมนุษย์

ขอที่เรามีพระคริสต์เป็นศูนย์กลางในชีวิต และเรียนรู้ที่จะกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

พระเยซูคริสต์ทรงอธิษฐานเพื่อสาวก ที่จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

20 "ข้าพระองค์มิได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อคนทั้งปวงที่วางใจในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของเขา
21 เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่พระองค์ คือพระบิดาทรงสถิตในข้าพระองค์ และข้าพระองค์ในพระองค์ เพื่อให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ และกับข้าพระองค์ด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา
22 เกียรติซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้มอบให้แก่เขา เพื่อเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น
23 ข้าพระองค์อยู่ในเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักเขาเหมือนดังที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์" (ยอห์น 17:20-23)

พรแห่งการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมีมากมาย ขอที่เราจะตระหนักถึงเรื่องนี้ ถึงเวลาที่เราจะทำลายกำแพง เพื่อเราจะมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แล้วการอัศจรรย์ก็จะเกิดขึ้น


ศจ. ทิวาพร ราชรักษ์

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน"

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

การนมัสการเช้าวันที่ 24/10/2010

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กายเดียวกันในพระคริสต์ (4/5)

3. การเป็นกายเดียวกันในพระคริสต์ ไม่ใช่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อกัน

และประชาชนก็นั่งอยู่รอบพระองค์ เขาจึงทูลพระองค์ว่า “นี่แน่ะท่าน มารดาและพวกน้องชายของท่านมาหาท่านคอยอยู่ข้างนอก” (มาระโก 3:32)

หลายครั้งเราประมาท เพราะใกล้ชิด สนิทกัน แต่สนิทกันจริงหรือไม่? เราให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนใกล้ชิดหรือไม่? เขาเสียใจหรือโกรธกับคำพูดของเราหรือไม่? หลายครั้งเราไม่แคร์กัน โดยเฉพาะเรื่องคำพูด

ชุมชนฝ่ายวิญญาณที่ดีจะต้องใช้เวลา พูดคุยกันและกัน

3.1. รับผิดชอบในความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน

พวกสาวกมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์ เป็นเหมือนคนในครอบครัว ใช้เวลาร่วมกัน อยู่เคียงข้างกันกับพระองค์ นี่แหละคือความรับผิดชอบในความสัมพันธ์

มีเพื่อนที่แสร้งทำเป็นเพื่อน แต่มีมิตรบางคนที่ใกล้ชิดยิ่งกว่าพี่น้อง (สุภาษิต 18:24)

เราจะต้องมีความรับผิดชอบในความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

ทุกวันนี้เรามีความรับผิดชอบในความสัมพันธ์เช่นไร? เราต้องรับผิดชอบในความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ใช้เวลาสามัคคีธรรมร่วมกันในคริตจักร และหาโอกาสใช้เวลาร่วมกันนอกคริสตจั้กร

3.2. รับผิดชอบในความรักห่วงใย และปกป้องกัน

32 และประชาชนก็นั่งอยู่รอบพระองค์ เขาจึงทูลพระองค์ว่า “นี่แน่ะท่าน มารดาและพวกน้องชายของท่านมาหาท่านคอยอยู่ข้างนอก”
33 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ใครเป็นมารดาของเรา และใครเป็นพี่น้องของเรา” (มาระโก 3:32-33)

สาวกห่วงพระเยซูคริสต์ เพื่อที่พระองค์จะได้พบกับมารดาและน้องชาย และพระเยซูคริสต์ก็ทรงห่วงความรู้สึกของสาวกรอบข้างพระองค์มาก ต่างฝ่ายต่างห่วงใย สนใจความรู้สึกต่อกันและกัน

บางครั้งเราไม่มีสายใยที่ดีต่อกัน ห่วงใยต่อกันน้อย

เราควรคิดถึงห่วงใยความรู้สึกของอีกฝ่าย และปกป้องเมื่อมีคนให้ร้าย ปกป้องในทางที่ดี

เมื่อเรามีปัญหา เราเคยปรึกษาพี่น้องในคริสตจักรหรือไม่? หรือเราปรึกษาคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน? บ้านเราเป็นบ้านแห่งความรัก อบอุ่น มีความเข้าใจ เปิดเผยได้ วางใจกันได้


ศจ. ทิวาพร ราชรักษ์

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน"

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

การนมัสการเช้าวันที่ 24/10/2010

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กายเดียวกันในพระคริสต์ (3/5)

2. การเป็นกายเดียวกันในพระคริสต์ ไม่ใช่ขาดความผูกพัน

เวลานั้นมารดาและพวกน้องชายของพระองค์มายืนอยู่ข้างนอก แล้วใช้คนเข้าไปทูลเรียกพระองค์ (มาระโก 3:31)

มารีย์และน้อง ๆ มาหาพระองค์ เพราะเขาได้ยินว่าพวกฟาริสีและเฮโรดตั้งใจจะฆ่าพระองค์ จึงต้องการมาเตือนพระองค์ แต่เมื่อถึงก็พบสาวกมากมาย พวกเขาจึงยืนอยู่ข้างนอก ยืนอยู่ห่าง ๆ

2.1 ยืนดูห่าง ๆ

ครอบครัว จริง ๆ แล้วจะต้องเป็นคนวงใน เป็นคนใกล้ชิดกัน แต่มารดาของพระองค์และน้องชายของพระองค์กลับอยู่รอบนอก กลับมีแต่กลุ่มสาวกที่เดินไปกับพระองค์ทุกหนแห่ง ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพระองค์

อย่าทอดทิ้งมิตรของเจ้า และมิตรของบิดาเจ้า และอย่าไปที่เรือนพี่น้องของเจ้าในวันลำบากยากเย็นของเจ้า เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ ดีกว่าพี่น้องที่อยู่ห่างไกล (สุภาษิต 27:10)

ความผูกพันต้องใช้เวลา ดังนั้นในการเป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าขาดความผูกพัน

อับราฮัมกับโลท หลังจากแยกทางกัน เมื่อโลทเกิดปัญหา อับราฮัมก็ไม่ทอดทิ้ง และอธิษฐานวิงวอนเผื่อเขา

เมื่อเราเห็นพี่น้องประสบปัญหา เราอธิษฐานเพื่อเขาหรือไม่? อย่าให้คริสตจักรของเราขาดความผูกพัน ใช้เวลาสร้างความผูกพัน หาโอกาสพูดคุยกันและกัน ฉวยโอกาสสร้างความสัมพันธ์

2.2 เข้าไม่ถึง

แม้ว่าเขาจะเป็นคนในครอบครัว แต่ก็เข้าไม่ถึง เพราะคนเยอะมาก จึงต้องให้คนอื่นไปเรียก

แต่ถ้าเป็นครอบครัวเดียวกัน ย่อมสามารถเข้าไปถึงได้แน่นอน

แม้จะอยู่ใกล้ แต่ก็เหมือนไกล ไม่กล้าพูด ไม่กล้าคุย เพราะไม่ผูกพัน

เราเคยเป็นแบบนี้หรือไม่ เห็นกันอยู่ แต่ไม่เคยมีความผูกพัน

คำว่าเข้าถึงหรือเข้าไม่ถึง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องใช้เวลาด้วยกันจนสนิทกัน แต่เป็นการมีจิตสำนึกว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน

"แต่พระคริสต์นั้นทรงซื่อสัตย์ในฐานะพระบุตร ที่ทรงอำนาจเหนือชุมนุมชนอันเป็นครอบครัวของพระเจ้า และเราทั้งหลายเป็นครอบครัวนั้นแหละ หากเราจะยึดความกล้าหาญและความภูมิใจในความหวังนั้นไว้" (ฮีบรู 3:6)

พระคริสต์ทรงมีความรับผิดชอบต่อชีวิตของเรา ทรงเห็นว่าเราเป็นชุมชน เป็นครอบครัวของพระเจ้า

เรารักน้อง ๆ ในคริสตจักรหรือไม่? ถ้าเราผูกพันกัน เราจะไม่เป็นคนวงนอก จะผูกพันใกล้ชิด มองตาก็รู้ใจ

ความสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญ เราต้องตระหนักเสมอว่าเราเป็นพี่น้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน

การเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน หมายถึงเรามีจิตใจเดียวกัน แม้ว่าการศึกษา ครอบครัว การใช้ชีวิตอาจแตกต่างกัน แต่ความรักและความเป็นหนึ่งเดียวกันสามารถเกิดได้ในครอบครัว

ครอบครัวฝ่ายวิญญาณ จะต้องรักกัน ผูกพันกัน สนิทกัน


ศจ. ทิวาพร ราชรักษ์

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน"

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

การนมัสการเช้าวันที่ 24/10/2010

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กายเดียวกันในพระคริสต์ (2/5)


31 เวลานั้นมารดาและพวกน้องชายของพระองค์มายืนอยู่ข้างนอก แล้วใช้คนเข้าไปทูลเรียกพระองค์
32 และประชาชนก็นั่งอยู่รอบพระองค์ เขาจึงทูลพระองค์ว่า "นี่แน่ะท่าน มารดาและพวกน้องชายของท่านมาหาท่านคอยอยู่ข้างนอก"
33 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "ใครเป็นมารดาของเรา และใครเป็นพี่น้องของเรา"
34 พระองค์ทอดพระเนตรคนที่นั่งล้อมรอบนั้นแล้วตรัสว่า "นี่เป็นมารดาและพี่น้องของเรา
35 ผู้ใดจะกระทำตามพระทัยพระเจ้า ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา" (มาระโก 3:31-35)


 

1. การเป็นกายเดียวกันในพระคริสต์ ไม่ใช่เป็นทางกายภาพ

"คนนี้เป็นช่างไม้ (หรือ ช่างก่อสร้าง) บุตรนางมารีย์มิใช่หรือ ยากอบ โยเสส ยูดาส และซีโมนเป็นน้องชายมิใช่หรือ และน้องสาวก็อยู่ที่นี่กับเรามิใช่หรือ" เขาทั้งหลายจึงหมางใจในพระองค์ (มาระโก 6:3)

พระเยซูคริสต์มีน้องชายและน้องสาวที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน เมื่อครอบครัวฝ่ายกายมาเยี่ยม พระองค์จึงทรงถือโอกาสนี้ที่จะสอนครอบครัวของพระองค์และสาวกของพระองค์ ถึงครอบครัวฝ่ายวิญญาณ

พระเยซูคริสต์ตรัสสอนเรื่องครอบครัวฝ่ายวิญญาณว่า ทุกคนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ถือเป็นครอบครัวฝ่ายวิญญาณ

คริสตจักร เป็นครอบครัวฝ่ายวิญญาณ เราเชื่อพระเจ้าองค์เดียวกัน เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ และเราทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งของพระกาย

ครอบครัวฝ่ายกายภาพเป็นอย่างไร ครอบครัวฝ่ายวิญญาณก็จะเป็นอย่างนั้น

ถ้าหากในครอบครัวรักกัน รับผิดชอบต่อกันและกัน แม้จะมีความคิดขัดแย้งกันบ้าง แต่เราก็ยังคงเป็นครอบครัวเดียวกั

พระองค์ปรารถนาให้ทุกคนในครอบครัวเป็นหนึ่งเดียวกัน

ดูเถิด ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็เป็นการดี และน่าชื่นใจมากสักเท่าใด (สดุดี 133:1)

คำว่า "พี่น้อง" ตรงนี้ หมายถึง "คนของพระเจ้า"

เช้าวันนี้เราได้ทำให้พระเจ้าชื่นใจ เราทั้งหลายเป็นคนของพระองค์ ได้มานมัสการพระองค์ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราทุกคนเป็นพี่น้องกัน อยู่ในครอบครัวเดียวกัน


ศจ. ทิวาพร ราชรักษ์

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน"

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

การนมัสการเช้าวันที่ 24/10/2010

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กายเดียวกันในพระคริสต์ (1/5)


4 เพราะว่า ในร่างกายอันเดียวนั้น เรามีอวัยวะหลายอย่าง และอวัยวะนั้นๆมิได้มีหน้าที่เหมือนกันฉันใด
5 พวกเราผู้เป็นหลายคนยังเป็นกายอันเดียวในพระคริสต์และเป็นอวัยวะแก่กันและกันฉันนั้น (โรม 12:4-5)


พระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ได้กล่าวถึงเรื่องกายเดียวกัน และให้ความสำคัญของการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ในพระคริสต์ ไม่เพียงแต่เราจะเป็นกายเดียวกันกับพระองค์เท่านั้น แต่เราเป็นกายเดียวกันกับผู้เชื่อด้วย พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะ เราทั้งหลายเป็นอวัยวะต่าง ๆ กัน และทุกอวัยวะถูกสร้างมาเพื่อหน้าที่แตกต่างกัน ขาดกันไม่ได้

เราไม่สามารถบอกได้ว่าใครเก่งกว่า ดีกว่า หรือมีความสามารถมากกว่าใคร เพราะอวัยวะทุกส่วนล้วนมีความสำคัญ พระเจ้าไม่เคยสอนให้เราคิดแบ่งพรรคพวกหรือต่างคนต่างอยู่

อย่าให้เราเป็นหนี้อะไรกันนอกจากหนี้แห่งความรัก

อย่าเป็นหนี้อะไรใคร นอกจากความรักซึ่งมีต่อกัน เพราะว่าผู้ที่รักเพื่อนบ้าน ก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว (โรม 13:8)

ถ้าหากอวัยวะหนึ่งไม่ทำงาน หรือถูกละเลยตัดขาด ย่อมส่งผลถึงอวัยวะต่าง ๆ เพราะอวัยวะต่าง ๆ ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน เราจึงเป็นหนี้ต่อกันและกัน เป็นหนี้ความรักที่เราจะต้องชดใช้ให้แก่กันและกัน

ถึงกายนั้นเป็นกายเดียว ก็ยังมีอวัยวะหลายส่วน และอวัยวะเหล่านั้นแม้จะมีหลายส่วนก็ยังเป็นกายเดียวกันฉันใด พระคริสต์ก็ทรงเป็นฉันนั้น (1โครินธ์ 12:12)

ฝ่ายท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น (1โครินธ์ 12:27)

พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร พระองค์ทรงเป็นปฐม เป็นผู้แรกที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง (โคโลสี 1:18)

พวกเราผู้เป็นหลายคนยังเป็นกายอันเดียวในพระคริสต์และเป็นอวัยวะแก่กันและกันฉันนั้น (โรม 12:5)

และจงให้สันติสุขของพระคริสต์ครองจิตใจของท่าน พระเจ้าทรงเรียกท่านไว้ให้เป็นกายเดียวด้วย เพื่อสันติสุขนั้น และท่านจงมีใจกตัญญู (โคโลสี 3:15)

1 ดูเถิด ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็เป็นการดี และน่าชื่นใจมากสักเท่าใด
2 เหมือนน้ำมันประเสริฐอยู่บนศีรษะไหลอาบลงมาบนหนวดเคราบนหนวดเคราของอาโรน ไหลอาบลงมาบนคอเสื้อของท่าน
3 เหมือนน้ำค้างของภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งตกลงบนเทือกเขาศิโยน เพราะว่าพระเจ้าทรงบังคับบัญชา พระพรที่นั่น คือชีวิตจำเริญเป็นนิตย์ (สดุดี 133:1-3)

พระคริสต์ทรงเน้นย้ำอย่างมาก เนื่องจากปัญหานี้เกิดขึ้นมานานแสนนาน แม้แต่อาจารย์เปาโล ก็ได้เขียนเน้นย้ำเรื่องนี้ โดยเฉพาะในเมืองโครินธ์ที่มีการแตกแยก มีการทะเลาะเบาะแว้งกันมากมาย

พระเยซูคริสต์ทรงห่วงใยเราทั้งหลาย และทรงหวงแหนพระกายของพระองค์ พระองค์ทรงต้องการร่างกายที่สมบูรณ์

คนจะเล่นกายกรรมได้ ส่วนใหญ่จะต้องอยู่ในครอบครัวเดียวกัน ญาติกัน หรือเป็นเพื่อนที่สนิทกัน เนื่องจากต้องไว้วางใจกันได้ เชื่อใจกันได้ เช่นเดียวกัน เราต้องไว้วางใจซึ่งกันและกัน มั่นใจเพื่อนของเรา

กายเดียวกันในพระคริสต์ คือคริสตจักร เป็นครอบครัวใหญ่

 

ศจ. ทิวาพร ราชรักษ์

คำเทศนาค่ายสามคณะ คริสตจักรสะพานเหลือง "กายเดียวกัน"

ระหว่างวันที่ 23-25/10/2010 ณ อาราญาน่า ภูพิมาน รีสอร์ทแอนด์สปา

การนมัสการเช้าวันที่ 24/10/2010

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จริยธรรมของคริสเตียน (9/9)

บทสรุปชีวิตคริสเตียน (มัทธิว 7:12)

"จงปฏิบัติต่อผู้อื่น อย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน นั่นคือธรรมบัญญัติ และคำสั่งสอนของบรรดาผู้เผยพระวจนะ" (มัทธิว 7:12)

นี่เป็นบทสรุปชีวิตคริสเตียนที่สวยสดงดงามมาก ความหมายคือ เมื่อเราล้มลงในความบาป ไม่สัตย์ซื่อ หรืออ่อนแอในเรื่องบางสิ่งบางอย่าง แล้วเราอยากให้คนอื่นเข้าใจเราอย่างไร เมื่อคนอื่นเป็นเช่นเดียวกัน เราก็ควรจะเข้าใจเขาเช่นนั้นด้วยเช่นกัน

ภาษาจีนจะมีประโยคหนึ่งเพิ่มขึ้นมา โดยมีใจความ ได้แก่

"ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ท่านอยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อท่านเช่นไร ท่านจงปฏิบัติเช่นนั้น ท่านจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนของพระเจ้า"

ข่าวสารในเช้าวันนี้ คือ คนของพระเจ้า จะต้องสำแดงชีวิตของพระเยซูคริสต์ออกมา

"ยิ่งเลียนแบบพระเยซูคริสต์ ยิ่งเหมือน ยิ่งเป็นพร
ยิ่งเลียนแบบชาวโลก ยิ่งเหมือน ยิ่งกลายเป็นตัวตลก"

มัทธิวบทที่ 7 เป็นการสำแดงชีวิตที่เหมือนพระเยซูคริสต์

"24 เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา 25ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา
26 แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตามเล่า เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย
27 ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่ง" (มัทธิว 7:24-27)

 

อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 14/11/2010

เรื่อง จริยธรรมของคริสเตียน

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จริยธรรมของคริสเตียน (8/9)

จงขอแล้วจะได้ (มัทธิว 7:7-11)

"7 จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน
8 เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา
9 ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตร เมื่อเขาขอขนมปัง
10 หรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา
11 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาป ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์" (มัทธิว 7:7-11)

ถ้าจะตีความตามบริบทแล้ว มัทธิว 7:7 กำลังกล่าวถึงว่า

"จงขอความเข้าใจเช่นนี้ จงหาชีวิตเช่นนี้ จงเคาะที่จะมีกำลังที่จะมีชีวิตเช่นนี้"

ขอความเข้าใจ หาชีวิต และเคาะขอกำลังจากพระเจ้า เพราะโดยกำลังของมนุษย์ เราทำตามไม่ได้ จำเป็นที่เราจะต้องขอพระเจ้าให้ช่วยเหลือเรา ที่เราจะเป็นอย่างที่พระองค์ต้องการให้เป็น

"1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย
2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม" (โรม 12:1-2)

"จงรับ" หมายถึงว่า "เราไม่สามารถทำด้วยตนเองได้" เราจะต้องขอกำลังจากพระเจ้า เพื่อจะมีจริยธรรมคริสเตียนเช่นนี้

 

อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 14/11/2010

เรื่อง จริยธรรมของคริสเตียน

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จริยธรรมของคริสเตียน (7/9)

คำสอนของพระองค์ มีไว้สำหรับผู้เชื่อ (มัทธิว 7:6)

"อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดตัวท่านด้วย" (มัทธิว 7:6)

พระคำตอนนี้ สอนเราว่า คำสอนที่พระองค์ทรงกำลังสอนอยู่นั้น ไม่ใช่ให้กับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ใช่ให้กับคนที่แข็งกระด้าง เพราะเขาเหล่านั้นจะไม่รู้ว่าคำสอนของพระองค์มีคุณค่าเพียงไร และเมื่อเขาได้ยินคำสอนเหล่านี้ นอกจากจะไม่รับแล้ว ยังจะกัดด้วย

คำถามที่น่าคิด คือ

  1. คนที่ตรึงพระเยซูคริสต์เป็นคนรู้กฎหมาย หรือไม่รู้กฎหมาย? ปีลาตรู้จักกฎหมายเป็นอย่างดี
  2. คนที่ตรึงพระเยซูคริสต์เป็นคนชั่ว หรือผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนา? พระองค์น่าจะถูกคนชั่วประหาร แต่ผู้ที่ตรึงพระองค์กลับเป็นผู้เชี่ยวชาญทางศาสนา เป็นพวกที่ได้รับการยอมรับจากสังคมว่าชอบธรรม

เมื่อเราเจอสุนัขตัวหนึ่ง เมื่อเจอ มันอาจจะขู่คำราม แต่เมื่อเราให้อาหารแก่มัน มันก็จะขู่น้อยลง จนเป็นเช่นนี้ 4-5 วันเมื่อเรามา มันก็จะกระดิกหางวิ่งเข้าหาเรา

แต่ในทางกลับกัน เมื่อเราเจอมันครั้งแรก เจอมันขู่คำราม แล้วเราก็ให้เงินมัน เพื่อให้มันไปซื้อไก่ย่างกินเอง มันก็คงจะไม่ฟัง และจะกัดเรา

คำสอนนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้ไม่เชื่อ แต่สำหรับคริสเตียน คนของพระเจ้าจะต้องสำแดงชีวิต

 

อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 14/11/2010

เรื่อง จริยธรรมของคริสเตียน

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จริยธรรมของคริสเตียน (6/9)

ลักษณะคนชอบธรรมของพระเจ้า (มัทธิว 7:3-5)

"3 เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก
4 เหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า 'ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ' แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง
5 ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้" (มัทธิว 7:3-5)

"ผิดคนอื่นมองเห็นเช่นภูเขา ผิดของเรามองเห็นเช่นเศษผง"

มัทธิว 7:3-5 เป็นสุดยอดคำสอน เพราะพระองค์ทรงกำลังกล่าวถึงผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

"พระเจ้าทรงชอบธรรม แต่การที่เราเป็นคนชอบธรรมนั้นคนละเรื่อง
พระองค์ไม่มีบาปเลย แต่พวกเราถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมเพราะเราได้รับการอภัยแล้ว"

ลักษณะของคนชอบธรรมของพระเจ้า มี 3 ประการ ได้แก่

1. คนชอบธรรมของพระเจ้า ไม่ใช่ไม่ทำบาปอีกต่อไป แต่จะมีความรู้สึกต่อบาปไม่เหมือนเดิม

ถ้าวันนี้มีไม้ทั้งท่อนทิ่มที่ตา จะรู้สึกหรือไม่? แน่นอน ต้องรู้สึกเจ็บ แต่บางครั้ง ไม้ทั้งท่อนทิ่มทั้งตายังไม่รู้สึก แต่เที่ยวเขี่ยผงออกจากตาผู้อื่น

ลักษณะคนชอบธรรมของพระเจ้า คือ แม้ว่าจะทำบาปเพียงเล็กน้อย แต่จะสำนึกว่าเป็นบาปใหญ่ ต้องรีบเอาออก

"คนชอบธรรมของพระเจ้า ทำบาปเล็ก สำนึกใหญ่
คนไม่ค่อยชอบธรรม ทำบาปใหญ่ สำนึกเล็ก
คนทำบาป แล้วไม่สำนึก ไม่ใช่คน"

ถ้าไม้ทั่งท่อนทิ่มอยู่ที่ตาแล้วไม่รู้สึก ก็ไม่ใช่คน

เมื่อพระเยซูคริสต์ตรัสถึง "คนหน้าซื่อใจคด" พระองค์ทรงคิดถึงฟาริสี ธรรมาจารย์ พวกเขาพิพากษาจนตรึงพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน แต่ไม่รู้สึกบาปเลย จนพระองค์ต้องอธิษฐานว่า "โปรดยกโทษให้เขา เพราะเขาไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่"

"ฝ่ายพระเยซูจึงทรงอธิษฐานว่า 'โอพระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขาเพราะว่า เขาไม่รู้ว่า เขาทำอะไร' ..." (ลูกา 23:34)

พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังทำบาปอยู่ เป็นเหมือนสัตย์เดียรัจฉาน

คนชอบธรรม ไม่ใช่ไม่ทำบาป แต่เมื่อทำบาปจะสำนึก และรีบนำออก

2. คนชอบธรรมของพระเจ้า ต้องเข้มงวดกับตัวเอง แต่ใจกว้างกับผู้อื่น

แต่ส่วนมากจะกลับกัน กับตัวเองใจกว้างมาก แต่กับคนอื่นล่ะ น่าดู นี่ไม่ใช่ลักษณะคนชอบธรรมของพระเจ้า เพราะคนชอบธรรมต้องเคร่งครัดกับตัวเอง

3. คนชอบธรรมของพระเจ้า รับความเมตตาจากพระเจ้าเช่นไร ก็จะเมตตากับผู้อื่นเช่นนั้น

"23 เหตุฉะนั้นแผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเจ้าองค์หนึ่งทรงประสงค์จะคิดบัญชีกับทาส
24 เมื่อตั้งต้นทำการนั้นแล้ว เขาพาคนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้หนึ่งหมื่นตะลันต์(หนึ่งตะลันต์ มีค่าประมาณสองหมื่นบาท) มาเฝ้า
25 ท่านจึงสั่งให้ขายตัวกับทั้งเมีย และลูกและบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่นั้นเอามาใช้หนี้ เพราะเขาไม่มีเงินจะใช้หนี้
26 ทาสลูกหนี้ผู้นั้นจึงกราบลงวิงวอนว่า 'ข้าแต่ท่าน ขอโปรดผัดไว้ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น'
27 เจ้าองค์นั้นมีพระทัยเมตตา โปรดยกหนี้ปล่อยตัวเขาไป
28 แต่ทาสผู้นั้นออกไปพบคนหนึ่งเป็นเพื่อนทาสด้วยกัน ซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเดนาริอัน(หนึ่งเดนาริอัน เป็นเงินเท่าค่าแรงงานกรรมกรคนหนึ่งในวันหนึ่ง ดูหน้า 60) จึงจับคนนั้นบีบคอว่า 'จงใช้หนี้ให้ข้า'
29 เพื่อนทาสคนนั้นได้กราบลงอ้อนวอนว่า 'ขอโปรดผัดไว้ก่อนแล้วข้าพเจ้าจะใช้ให้'
30 แต่เขาไม่ยอม จึงนำทาสลูกหนี้นั้นไปจำจองไว้จนกว่าจะใช้เงินนั้น
31 ฝ่ายพวกเพื่อนทาสเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็พากันสลดใจยิ่งนัก จึงนำเหตุการณ์ทั้งปวงไปกราบทูลเจ้าองค์นั้น
32 ท่านจึงทรงเรียกทาสนั้นมาสั่งว่า 'อ้ายข้าชาติชั่ว เราได้โปรดยกหนี้ให้เอ็งหมด เพราะเอ็งได้อ้อนวอนเรา
33 เอ็งควรจะเมตตาเพื่อนทาสด้วยกัน เหมือนเราได้เมตตาเอ็งมิใช่หรือ'
34 แล้วเจ้าองค์นั้นกริ้ว จึงมอบผู้นั้นไว้แก่เจ้าหน้าที่ให้ทรมาน จนกว่าจะใช้หนี้หมด
35 พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงกระทำแก่ท่านทุกคนอย่างนั้น ถ้าหากว่าท่านแต่ละคนไม่ยกโทษให้แก่พี่น้องของท่านด้วยใจกว้างขวาง" (มัทธิว 18:23-35)

พระเจ้าเมตตาเราอย่างไร เราต้องเมตตาให้แก่ผู้อื่นเช่นนั้น พระองค์ทรงให้เราเอาไม้ทั้งท่อนออกจากตา ก่อนที่จะเขี่ยผงจากนัยน์ตาของพี่น้อง

เขี่ยผง หมายถึง เข้าไปช่วยเหลือ ไม่ใช่พิพากษา แต่ช่วยให้เขากลับตัว

 

อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 14/11/2010

เรื่อง จริยธรรมของคริสเตียน

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จริยธรรมของคริสเตียน (5/9)

อย่ากล่าวโทษ (มัทธิว 7:1-2)

"1 อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน
2 เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น" (มัทธิว 7:1-2)

พระเยซูคริสต์ทรงสรุปคำเทศนาบนภูเขาด้วยมัทธิวบทที่ 7 และตรัสด้วยถ้อยคำเด็ดขาดว่า สำหรับเราผู้ซึ่งเป็นคนของพระเจ้า อย่ากล่าวโทษซึ่งกันและกัน

ภาษาจีน คำว่า "กล่าวโทษ" แปลว่า "พิพากษาตักสิน"

พระเยซูคริสต์ตรัสว่า "อย่าพิพากษาตัดสินกัน"

ทำไมพระเจ้าจึงห้ามไม่ให้คริสเตียนพิพากษากัน?

1. เพราะการพิพากษานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเรา แต่เป็นหน้าที่ของพระเจ้าเท่านั้น

อย่าทำหน้าที่แทนพระเจ้า

ถ้าเป็นเช่นนี้ แล้วถ้ามีคดีในคริสตจักรจะทำเช่นไร? เมื่อเราเห็นพี่น้องล้มลงในการทดลอง ในการผิดบาป อย่าพิพากษา เพราะแม้แต่พระเยซูคริสต์เองก็มิได้ทรงเสด็จมาเพื่อพิพากษา

"เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น" ยอห์น 3:17

ดังนั้น เมื่อเห็นพี่น้องคริสเตียนล้มลงในความผิดบาป ท่าทีของเราจึงไม่ใช่การพิพากษา แต่เป็นการเข้าไปช่วย เช่นเดียวกับพระเยซูคริสต์ และเมื่อช่วยก็ต้องมีสติปัญญาด้วย

ในการเดินทางจากจุดสองจุด เส้นตรงก็ย่อมเป็นเส้นที่จะถึงได้เร็วที่สุด ดังนั้น เมื่อได้รู้ว่าพี่น้องผู้ใดล้มลงในความบาป ขอที่เราจะพูดกับเขาสองต่อสองเลย ด้วยความรัก แต่ในชีวิตจริง บางครั้งเมื่อ A รู้ว่า B ล้มลงในความบาป ก็ไม่บอก B โดยตรง แต่กลับฝากให้ CDEFGHIJK ไปบอก B

ขอที่เราจะเข้าไปคุยกับเขาโดยตรง พูดคุยด้วยความรัก แต่ถ้าเขาไม่ฟัง ก็เชิญ 2-3 คนให้เป็นพยาน ถ้าไม่ฟังอีก ก็ให้ประกาศให้คริสตจักรทราบ ทั้งนี้ เพื่อช่วยเขา ไม่ใช่เพื่อการกล่าวโทษ

2. เพราะเราทุกคนไม่ต่างกัน ต่างก็เป็นคนบาป

ต้นปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้เข้าไปในเรือนจำแห่งหนึ่ง ประกาศกับเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในเรือนจำ 200 กว่าคน ขณะที่กำลังจะประกาศ ข้าพเจ้าก็ได้พบว่าทางด้านขวามือของข้าพเจ้า มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง หัวเกรียน นั่งพื้น กอดออก ไขว่ห้าง ซึ่งดูเหมือนเป็นพวกไม่รับคำสอน ด้วยอากัปกิริยาท่าทาง เหมือนเขากำลังบอกอยู่ว่า "ลื้อดีกว่าอั้วหรือ?"
เมื่อข้าพเจ้าเห็นสายตาเขา ข้าพเจ้าก็ส่งสายตากลับคืน "เดี๋ยวลื้อได้เห็น"

ข้าพเจ้าได้เรียกทีมงานให้นำแก้วมา 2 ใบ เทน้ำสะอาดใส่แก้ว แล้วข้าพเจ้าก็สาธิต

แก้วแรกเป็นแก้วของข้าพเจ้า และแก้วที่สองเป็นแก้วของพวกเขา และให้ซีอิ้วดำเล็งถึงพิษงูเห่า ข้าพเจ้าก็หยดลงในแก้วแรกหนึ่งหยดเดียว และคนให้ทั่ว ซีอิ้วดำก็ละลายน้ำ มองไม่เห็น ส่วนอีกแก้ว ข้าพเจ้าหยดปริมาณนับไม่ถ้วน แก้วก็เปลี่ยนเป็นสีดำ

แล้วข้าพเจ้าก็ถามที่ประชุม "แก้วหนึ่งและแก้วสอง แก้วไหนพิษมากกว่า? พิษอันไหนเห็นชัดกว่า?"

น้อง ๆ ก็ตอบทันทีว่า "แก้วสอง"

ข้าพเจ้าก็กล่าวว่า "แก้วแรกคือข้าพเจ้า คนดี แล้วที่สองคือพวกคุณ คือ คนชั่ว" แต่คำถามต่อมา คือ "แก้วไหนกินแล้วตาย?" พวกเขาก็ตอบว่า "ทั้งสองแก้ว"

"เพราะฉะนั้น คุณและผม ชั่วพอกัน! แล้วแก้วไหนน่ากลัวกว่า?" และข้าพเจ้าก็เฉลยว่า "แน่นอน แก้วแรกน่ากลัวกว่า เพราะมองไม่เห็นพิษ ดังนั้น คนที่ยืนอยู่นี่ ร้ายกว่าพวกคุณเยอะ เพราะเป็นพวกหน้าซื่อใจคด"

ทำไมพระเยซูคริสต์จึงไม่ให้กล่าวโทษ? ก็เพราะเราทุกคนเหมือนกัน

3. เพราะถ้าเราพิพากษาเขา เราก็จะถูกพิพากษา

ถ้าเราพิพากษาอย่างเข้มงวด ในวันสุดท้ายเราก็จะถูกพิพากษาอย่างเข้มงวดเช่นกัน

ครั้งหนึ่ง กษัตริย์ดาวิดอยากได้บัทเชบา ซึ่งเป็นภรรยาของทหารผู้หนึ่งซึ่งกำลังรบอยู่ที่ชายแดน เมื่อคบชู้ เธอก็ตั้งครรภ์ และดาวิดก็ได้วางแผนฆ่าสามีของเธอเสีย เพื่อกลบเกลื่อน สุดท้ายสามีของเธอก็ถูกฆ่าตาย และรับนางเข้ามาเป็นนางสนม

ดาวิดคงจะดีใจ เพราะสมัยก่อนไม่มีหมอพรทิพย์ ตรวจ DNA ไม่ได้ และคิดว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว

แต่แล้ววันหนึ่งนาธันมาพบท่าน และพูดให้ดาวิดฟังเลย

"1 พระเจ้าทรงใช้ให้นาธันไปหาดาวิด นาธันก็ไปเข้าเฝ้าและกราบทูลพระองค์ว่า 'ในเมืองหนึ่งมีชายสองคน คนหนึ่งมั่งมี อีกคนหนึ่งยากจน
2 คนมั่งมีนั้นมีแพะแกะและโคเป็นอันมาก
3 แต่คนจนนั้นไม่มีอะไรเลย เว้นแต่แกะตัวเมียตัวเดียวที่ซื้อเขามา ซึ่งเขาเลี้ยงไว้ และอยู่กับเขา มันได้เติบโตขึ้นพร้อมกับบุตรของเขา กินอาหารร่วมและดื่มน้ำถ้วยเดียวกับเขา นอนในอกของเขา และเป็นเหมือนบุตรสาวของเขา
4 ฝ่ายคนมั่งมีคนนั้นมีแขกคนหนึ่งมาเยี่ยม เขาเสียดายที่จะเอาแพะแกะหรือโคของตน มาทำอาหารเลี้ยงคนที่มาเยี่ยมนั้น จึงเอาแกะตัวเมียของชายคนจนนั้นเตรียมเป็น อาหารให้แก่ชายที่มาเยี่ยมตน"
5 ดาวิดกริ้วชายคนนั้นมาก และรับสั่งแก่นาธันว่า 'พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ผู้ชายที่กระทำเช่นนั้นจะต้องตาย
6 และจะต้องคืนแกะให้สี่เท่าเพราะเขาได้กระทำอย่างนี้ และเพราะว่าเขาไม่มีเมตตาจิต'
7 นาธันจึงทูลดาวิดว่า 'ฝ่าพระบาทนั่นแหละคือชายคนนั้น...' " (2ซามูเอล 12:1-7)

ดาวิดใช้มาตรฐานในการพิพากษา คือ เศรษฐีผู้นั้นต้องตาย และนาธันก็ได้เฉลยว่า "ท่านแหละคือชายผู้นั้น"

อย่ากล่าวโทษ เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน ถ้าเรากล่าวโทษว่าผู้อื่นไม่สัตย์ซื่อ แล้วเราสัตย์ซื่อกับพระเจ้าหรือเปล่า?

พระเยซูคริสต์มิให้เรากล่าวโทษ แต่ให้ช่วยเหลือ

 

อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 14/11/2010

เรื่อง จริยธรรมของคริสเตียน

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จริยธรรมของคริสเตียน (4/9)

มัทธิวบทที่ 7: ลักษณะของผู้ที่เป็นคนของพระเจ้า

มัทธิวบทที่ 7 กล่าวถึงลักษณะของผู้ที่เป็นคนของพระเจ้า ถ้าคนหนึ่งจะลุกขึ้นมาแล้วบอกว่าเป็นคริสเตียน เขาจะต้องมีคุณสมบัติที่กล่าวในมัทธิวบทที่ 7

10 กว่าปีนี้ ได้เกิดเรื่องที่น่าสลด เพราะคริสตจักรยกคนที่มีของประทาน มากกว่าคนที่มีชีวิตคริสเตียนที่ดี แต่พระเยซูคริสต์ตรัสว่า

"มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้" (มัทธิว 7:21)

คนที่เป็นคนของพระเจ้าจริง ๆ อย่าดูที่ของประทาน แต่ดูที่ชีวิตของเขา

ถ้ามีกล่องกล่องหนึ่ง หน้ากล่องเขียนว่า "โนเกีย" เมื่อพี่น้องเห็นกล่องนี้ คิดว่าเปิดกล่องออกมาแล้วจะพบอะไร? อาจจะไม่ใช่โนเกียก็ได้ อาจจะเป็นโนกัว ดังเช่นที่ประเทศลาว บางครั้งอาจพบเห็นกล่องเขียนว่า "นีโลเกีย" แต่เมื่อเปิดออกมากลับกลายเป็น "โตชิโบ"

คนที่มีของประทาน บางครั้งอาจไม่ใช่คนของพระเจ้าก็ได้ แต่คนที่เป็นของพระเจ้าจะต้องสำแดงชีวิตของพระเจ้า นี่คือใจความสำคัญของมัทธิวบทที่ 7 ทั้งหมด

 

อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 14/11/2010

เรื่อง จริยธรรมของคริสเตียน

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จริยธรรมของคริสเตียน (3/9)

มัทธิวบทที่ 6: การดำเนินชีวิตคริสเตียน

มัทธิวบทที่ 6 กล่าวถึงการดำเนินชีวิตของคริสเตียน เพราะชีวิตคริสเตียนอยู่ในโลกที่ถูกสาปแช่ง พบความทุกข์ยากลำบาก โดยเฉพาะเรื่องการทำมาหากิน พระเจ้าทรงเข้าพระทัยความรู้สึกและความต้องการของมนุษย์ดี พระองค์จึงสอนว่า

"31 เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม
32 เพราะว่าพวกต่างชาติแสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้ แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้
33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้
34 เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว" (มัทธิว 6:31-34)

พระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ให้ ไม่ใช่แค่ให้พอดี แต่เกินความพอดีเสียอีก ดังจะเห็นได้ว่า แท้จริงวันนี้เรารับประทานอาหารเพียงแค่ 20 บาทก็อิ่มแล้ว แต่เรารับประทานอาหารมื้อละเท่าไร? นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเพิ่มเติมให้แก่เรา ดังนั้น อย่ากระวนกระวาย

 

อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 14/11/2010

เรื่อง จริยธรรมของคริสเตียน

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จริยธรรมของคริสเตียน (2/9)

มัทธิวบทที่ 5: ความสัมพันธ์ 5 ประการของคริสเตียน

ท่านขงจื้อได้สอนเรื่องความสัมพันธ์ 5 ประการ (อู่หลุน) ได้แก่

  1. กษัตริย์กับประชาชน ผู้ปกครองกับประชาชน
  2. พ่อแม่กับลูก
  3. สามีกับภรรยา
  4. พี่กับน้อง
  5. เพื่อนกับเพื่อน

แต่สำหรับจริยธรรมคริสเตียน ได้มีความสัมพันธ์เพิ่มอีก 2 อย่าง ซึ่งขงจื้อไม่มี ได้แก่

  1. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าพระผู้สร้าง
  2. ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับศัตรู นี่คือเอกลักษณ์ที่สำคัญ

เมื่ออ่านมัทธิวบทที่ 5 พระเจ้าทรงเน้นความสัมพันธ์ คือ ความสัมพันธ์กับคนที่เราเกลียดและเกลียดเรา หรือความสัมพันธ์กับศัตรู

สาวกของพระองค์ ต้องการให้พระองค์กำจัดศัตรูของชาวยิว นั่นคือโรมัน แต่พระเยซูคริสต์ตรัสสอนให้อธิษฐานเผื่อศัตรู ทำดีแก่ศัตรู เช่นนี้แหละจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนของพระองค์

พระองค์ปรับเปลี่ยนชีวิตของเราทุกคน

เมื่อข้าพเจ้าเรียก พี่น้องผู้ชายคนหนึ่งจากที่ประชุม และถามว่าคนนี้เป็นพี่น้องกับผมหรือไม่ พี่น้องจะตอบว่าเช่นไร? พ่อของพ่อของพ่อของพ่อของพ่อของพ่อ.....ของผม คือ อาดัม และ แม่ของแม่ของแม่ของแม่ของแม่ของแม่.....ของผม คือ เอวา ดังนั้นเราจึงเป็นพี่น้องกัน

พระเจ้าทรงกำลังปรับเปลี่ยนความคิดของเรา เพราะเราทั้งหลายมาจากพ่อแม่คนเดียวกันทางสายเลือด คือ อาดัม และเอวา

 

อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 14/11/2010

เรื่อง จริยธรรมของคริสเตียน

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จริยธรรมของคริสเตียน (1/9)


"1 อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน
2 เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น
3 เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก
4 เหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า 'ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ' แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง
5 ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้
6 อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดตัวท่านด้วย
7 จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน
8 เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา
9 ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตร เมื่อเขาขอขนมปัง
10 หรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา
11 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาป ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์
12 จงปฏิบัติต่อผู้อื่น อย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน นั่นคือธรรมบัญญัติ และคำสั่งสอนของบรรดาผู้เผยพระวจนะ" (มัทธิว 7:1-12)


เวลาเหลือน้อยแล้วนะครับ ขอที่เราจะระลึกเสมอว่า "พระคุณของพระเจ้าให้เราไม่มีวันสิ้นสุด แต่วันเวลาที่เราจะรับใช้พระเจ้ามีวันสิ้นสุด" ขอที่เราจะรีบฉวยโอกาส ขณะที่ยังมีชีวิตและร่างกายอยู่นี้

 

มัทธิวบทที่ 5-7: ลักษณะของจริยธรรมคริสเตียน

มัทธิวบทที่ 5-7 ได้กล่าวถึงจริยธรรมของคริสเตียน ซึ่งเป็นจริยธรรมที่ไม่เหมือนอื่นใดในโลก ซึ่งมีลักษณะสำคัญ 3 ประการที่สำคัญที่จริยธรรมคริสเตียนแตกต่างจากจริยธรรมของโลกนี้ ได้แก่

1. จริยธรรมคริสเตียนมีที่มาจากพระเจ้า ไม่ใช่ผลิตผลความคิดของมนุษย์

คำว่า "จริยธรรม" ในภาษาจีน คือ "เสินเปิ่น" มีความหมายว่า มาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากมนุษย์ ดังนั้น มาตรฐานจริยธรรมคริสเตียนแตกต่างจากจริยธรรมของโลกนี้

2. จริยธรรมคริสเตียน เป็นจริยธรรมซึ่งคนที่ไม่มีชีวิตของพระเยซูคริสต์ทำไม่ได้

นั่นหมายความว่าพระเจ้าจะไม่ทรงยอมรับการกระทำนั้น แม้ว่าบางครั้งผู้ที่ไม่เชื่อจะมีจริยธรรมที่ดีกว่าคริสเตียนบางคน แต่พระเจ้าไม่ทรงยอมรับการกระทำของเขา เพราะแรงจูงใจของเขาไม่ถูกต้อง คนที่สามารถปฏิบัติจริยธรรมคริสเตียนได้ จะต้องเป็นคนที่มีชีวิตจากพระเยซูคริสต์เท่านั้น

"ถึงแม้เราจะเป็นครูสอนร้องเพลงเก่งขนาดไหน แต่เราก็สอนคนใบ้ร้องเพลงไม่ได้
ถึงแม้เราจะเป็นครูสอนวิ่งเก่งขนาดไหน เราก็สอนคนขาด้วนวิ่งแข่งไม่ได้
ถึงแม้เราจะเป็นครูสอนวาดสีน้ำที่เก่งที่สุดในโลก แต่เราก็สอนคนตาบอดวาดสีน้ำไม่ได้"

นั่นเป็นเพราะเขาเหล่านั้นไม่มีขีดความสามารถของชีวิต เช่นเดียวกัน คนที่จะสามารถดำเนินชีวิตจริยธรรมคริสเตียน ต้องมีชีวิตจากพระเยซูคริสต์เท่านั้น

3. จริยธรรมคริสเตียน เป็นหน้าที่ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เราทำ

คนโลกนี้ทำดีด้วยแรงจูงใจเพื่อตัวเองจะมีความสุข หรือเพื่อจะรับความรอด แต่คริสเตียนทำดีไม่ใช่เพื่อรับความรอด เรารอดแล้วเราจึงทำดี นี่เป็นหน้าที่ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เราทำ

ในพระคัมภีร์ มีอย่างน้อย 20 กว่าข้อความ ที่บอกว่า คริสเตียนถูกสร้างมาเพื่อให้ทำดี ไม่ใช่เพื่อรับความรอด พระเยซูคริสต์จึงตรัสว่า

"ฉันใดก็ดี เมื่อท่านทั้งหลายได้กระทำสิ่งสารพัด ซึ่งเราบัญชาไว้แก่ท่านนั้น ก็จงพูดด้วยว่า 'ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นบ่าวที่ไม่มีบุญคุณต่อนาย ข้าพเจ้าได้กระทำตามหน้าที่ซึ่งข้าพเจ้าควรกระทำเท่านั้น' " (ลูกา 17:10)

ขอหนุนใจพี่น้องที่จะศึกษา "คำเทศนาบนภูเขา" ในมัทธิวบทที่ 5-7 อย่างลึกซึ้ง เพราะพระธรรมตอนนี้ เป็นชีวิตคริสเตียนที่ครอบคลุมทุกด้าน

 

อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์

คำเทศนาการนมัสการภาคภาษาจีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 14/11/2010

เรื่อง จริยธรรมของคริสเตียน

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ


วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

งานฟื้นฟู "เราจะไป": ข่าวประเสริฐ (7/7)

4. ข่าวประเสริฐเป็นเรื่องพระคุณของพระเจ้า (2)

เมื่อพระเจ้าทรงเรียกอาจารย์เปาโล พระองค์ทรงใช้คริสเตียนอีกท่านหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก คือ อานาเนีย

"10 ในเมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่ออานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับผู้นั้นโดยนิมิตว่า 'อานาเนียเอ๋ย' อานาเนียจึงทูลตอบว่า 'พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยู่ที่นี่'
11 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า 'จงลุกขึ้นไปที่ถนนที่เรียกว่าถนนตรง ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลชาวเมืองทาร์ซัสอยู่ในตึกของยูดาส เพราะดูเถิด เขากำลังอธิษฐานอยู่
12 และเขาได้เห็นคนหนึ่งชื่ออานาเนีย เข้ามาวางมือบนเขา เพื่อเขาจะเห็นได้อีก'
13 แต่อานาเนียทูลตอบว่า 'พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินหลายคนพูดถึงคนนั้นว่า เขาได้ทำร้ายวิสุทธิชนของพระองค์ ในกรุงเยรูซาเล็มมาก
14 และในที่นี่เขาได้อำนาจมาจากพวกมหาปุโรหิต ให้ผูกมัดคนทั้งปวงที่อธิษฐานออกพระนามของพระองค์'
15 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า 'จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำนามของเราไปยังประชาชาติ กษัตริย์และพวกอิสราเอล
16 เพราะว่าเราจะสำแดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าใดเพราะนามของเรา'
17 แล้วอานาเนียก็ไป และเข้าไปในตึกวางมือบนเซาโล กล่าวว่า 'พี่เซาโลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเยซูได้ทรงปรากฏแก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา เพื่อท่านจะเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เต็มบริบูรณ์'
18 และในทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดตกจากตาของเซาโล แล้วก็เห็นได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นรับบัพติศมา" (กิจการ 9:10-18)

ขณะเมื่ออาจารย์เปาโลตาบอดและอธิษฐาน พระเจ้าก็ได้ทรงเรียกอานาเนีย ซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่ง และหลังจากเหตุการณ์นี้ก็ไม่มีใครได้ยินเรื่องราวของอานาเนียอีก

ครั้งแรกอานาเนียไม่ยอมไป เพราะกลัว แต่พระเจ้ามีแผนการใหญ่ที่จะใช้ชีวิตอาจารย์เปาโล และพระองค์ประสงค์ที่จะใช้ชีวิตของอานาเนียให้มีส่วนในงานของพระองค์ อานาเนียก็ได้เชื่อฟังพระเจ้า ออกไปหาเปาโล นำเปาโลมาหาพระเจ้า

แม้ว่าเปาโลจะบาปเพียงไร พระเจ้าก็ทรงยกโทษให้ได้ และแม้ว่าอานาเนียจะเล็กน้อยเพียงไร พระเจ้าก็ทรงใช้ได้

และโดยชีวิตของเปาโล เราต้องขอบคุณอานาเนีย ถ้าอานาเนียไม่ออกไป เราอาจไม่มีเปาโล และไม่ทราบว่าจะเป็นเช่นไร แต่เป็นเพราะสาวกคนหนึ่ง ที่ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก ได้เชื่อฟังพระเจ้า ออกไป นี่เป็นฤทธิ์เดชของพระกิตติคุณ และฤทธิ์เดชนี้จะขับเคลื่อนชีวิตของเรา

จุดยืนของเราอยู่ที่พระเยซูคริสต์ ถ้าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า ความเชื่อเราก็ไร้ประโยชน์ แต่ถ้าพระองค์เป็นพระเจ้าจริง พระกิตติคุณก็เป็นสิ่งที่มีค่ามากสุด เพราะพระกิตติคุณเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า สามารถช่วยจิตวิญญาณมนุษย์ได้ ถ้าใครเชื่อ เขาจะพบกับความรอด ได้ชีวิตนิรันดร์ ได้สิทธิเป็นบุตรของพระเจ้า พ้นจากการพิพากษา และได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไป

นี่เป็นเรื่องจริง เพราะพระคริสต์เมื่อทรงฟื้นขึ้นมา พระองค์ก็ทรงปรากฎพระองค์เองให้กับสาวกของพระองค์ คนเหล่านั้นได้เปลี่ยนแปลงโลก และบัดนี้พระองค์ทรงประทานพระวิญญาณเพื่อยืนยัน เป็นวิญญาณที่อยู่ในเรา

วันที่เราต้อนรับพระคริสต์เข้ามาในชีวิต เป็นวันที่เราให้พระองค์เสด็จมาเป็นส่วนในชีวิตของเรา เราจึงสามารถมีประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณกับพระเจ้าได้ เมื่อเรายอมให้พระเจ้าครอบครองชีวิตเรา ขับเคลื่อนชีวิตของเรา

"เราจงประพฤติตัวให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน" (โรม 13:13)

คนที่เมาพระวิญญาณ ฤทธิ์ของพระวิญญาณจะนำคนนั้น ที่เขาจะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เขาจะไม่กลัวการท้าทายที่มาถึงชีวิตของเขา

เราจะยอมรับการท้าทายหรือไม่? เราจะไม่นั่งอยู่เฉย ๆ แต่เราจะเป็นเหมือนอานาเนีย ที่จะออกไป และพบกับเปาโล และพระเจ้าจะใช้เรา

ขอที่เราจะเห็นคุณค่าของพระกิตติคุณ พระคุณของพระเจ้าจะต้องได้รับการสำแดงให้คนไทยอีกมากมาย มีคนที่เป็นมหาเศรษฐีกำลังรอเรา คนที่จะเข้ามาบริหารประเทศไทยกำลังรอเราอยู่ คนที่พระเจ้าจะใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยกำลังนั่งรอเราอยู่ คนจำนวนมากมายกำลังรอเราอยู่ ขอพระเจ้าใช้เราที่จะออกไป


ศจ. ยุทธศักดิ์ ศิริกุล

สรุปคำเทศนางานฟื้นฟู "เราจะไป" คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 10/09/2010

เรื่อง ข่าวประเสริฐ

 

หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ